ซุนกงกงเห็นลั่วหยิ่งเดินเข้ามา ในใจจึงรู้สึกเย็นะเืไปกว่าครึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของเขาทั้งหมด เขาถึงกับสิ้นหวัง ใครๆ ต่างก็รู้ว่าลั่วหยิ่งเป็คนสนิทที่อยู่ใกล้ชิดฮ่องเต้ที่สุด คำพูดของเขาเปรียบเสมือนราชโองการของฮ่องเต้ หากเขาพูดเช่นนี้นั่นย่อมเป็ความจริง
ฮองเฮากำลังจะย้ายกลับมาตำหนักเว่ยยาง และกลับมามีอำนาจในการดูแลตำหนักในอีกครั้งหรือ
ไฉนจึงเป็เช่นนี้
คนที่ก้าวเข้าไปในตำหนักเย็นแล้ว เหตุใดจึงออกมาได้อีก
นี่มันไม่สมเหตุสมผล!
เมื่อชิงเหอกูกูและเหล่านางกำนัลทั้งหลายได้ยินข่าวนี้ต่างพากันยินดี ปฏิกิริยาที่มีนั้นต่างกับซุนกงกงราวฟ้ากับดิน
“เหนียงเหนียงย้ายกลับมาตำหนักเว่ยยางแล้ว!”
“เหนียงเหนียงย้ายกลับมาตำหนักเว่ยยางแล้ว!”
“ดีเหลือเกิน!”
เห็นท่าทางยินดีจากใจจริงของพวกนางแล้ว ในใจเฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกอุ่นซ่าน พลันรู้สึกว่าวังหลวงที่มีเพียงความเ็าแห่งนี้ไม่ได้เ็าเช่นนั้นอีกแล้ว
ซุนกงกงรู้ว่าครั้งนี้ตนเองเคราะห์หนักเสียแล้ว จึงรีบคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา “เหนียงเหนียงโปรดละเว้นชีวิต เหนียงเหนียงโปรดละเว้นชีวิต! บ่าวสำนึกผิดแล้ว บ่าวมีโทษสมควรตายหมื่นครั้ง!”
ขันทีน้อยอีกสองคนรีบคุกเข่าขอความเมตตาตามไปด้วย
เฟิ่งเฉี่ยนกวาดสายตามองผ่านพวกเขาไป “พวกเ้ามิใช่ชอบแทะเมล็ดแตงมากหรอกหรือ เปิ่นกงส่งเสริมพวกเ้า!”
ซุนกงกงตกตะลึง หัวใจเต้นระรัว
เฟิ่งเฉี่ยนมองไปทางชิงเหอ “กูกู ไปเอาเมล็ดแตงมาหนึ่งร้อยจิน[1]!”
ชิงเหองงงัน ไม่เข้าใจความหมายของนาง
เฟิ่งเฉี่ยนชี้ไปที่ซุนกงกงทั้งสามคนแล้วพูดต่อว่า “หากพวกเ้าสามคนไม่แทะเมล็ดแตงทั้งหนึ่งร้อยจินนี้ให้หมด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ต้องไปจากที่นี่!”
ซุนกงกงทั้งสามคนนั่งแปะลงกับพื้นด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
เพียงไม่นาน ด้านหน้าประตูตำหนักเว่ยยางมีภาพเหตุการณ์ชวนขันเกิดขึ้น
ขันทีสามคนก้มหน้าก้มตา คุกเข่าอยู่ที่นั่น เบื้องหน้ามีเมล็ดแตงหนึ่งตะกร้าเต็มๆ วางอยู่ คนทั้งสามแทะเมล็ดแตงไม่หยุด...
แต่ไม่เห็นว่าเมล็ดแตงจะลดน้อยลงแต่อย่างใด สีหน้าของคนทั้งสามจึงดำเป็เถ้าถ่าน เมล็ดแตงเต็มตะกร้าเชียว จะแทะไปถึงปีใดเดือนใดวันใดกันเล่ากัน
นางกำนัล ขันที และองครักษ์ที่เดินผ่านไปมาเห็นภาพนี้เข้า ล้วนรู้สึกประหลาดใจ ได้แต่หยุดลงเพื่อพิจารณาพร้อมทั้งพากันกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์
“นี่ไม่ใช่ซุนกงกงขันทีข้างกายฉีเหม่ยเหรินหรือ เหตุใดเขาจึงมาคุกเข่าแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตูได้”
“ได้ยินว่าหลายวันมานี้ซุนกงกงมาก่อเื่วุ่นวายที่ตำหนักเว่ยยางทุกวัน ไม่มีผู้ใดกล้าจัดการเขา คิดไม่ถึงว่าวันนี้มีคนมาจัดการในที่สุด ไม่รู้ว่าเป็ฝีมือของผู้ใดที่ทำเื่ดีเช่นนี้ ช่างทำให้คนสาแก่ใจนัก”
“ใช่แล้ว ควรมีคนมาจัดการเขานานแล้ว!”
นางกำนัลสองคนที่กำลังสอดส่องดูแลอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดคาดเดาต่างๆ ของทุกคน คนทั้งสองประสานสายตากันอย่างเห็นขัน หนึ่งในนั้นจึงส่งเสียงว่า “ทุกคนไม่ต้องคาดเดาส่งเดชแล้ว เป็ฮองเฮาเหนียงเหนียงของข้าที่กลับมาแล้ว!”
ทุกคนต่างตกตะลึง
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงกลับมาแล้วหรือ”
“เมื่อสักครู่ข้าได้ยินว่า ฮองเฮาเหนียงเหนียงไปอาละวาดที่ตำหนักยีหลัน สั่งสอนฮูหยินรองของสกุลเฟิ่งและโจวหมัวมัวของตำหนักยีหลันจนหลาบจำ ฮูหยินรองและโจวหมัวมัวต้องตบหน้ากันหนึ่งร้อยครั้ง หน้าตาบวมปูดกระทั่งบิดามารดายังจดจำไม่ได้”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน! ฮองเฮาเหนียงเหนียงเก่งกาจจริงๆ! เพิ่งจะสั่งสอนฮูหยินรองและโจวหมัวมัวเสร็จ กลับมายังสั่งสอนซุนกงกงอีก แต่ฮองเฮาเหนียงเหนียงมิใช่ถูกฮ่องเต้ส่งตัวเข้าตำหนักเย็นหรือ เหตุใดนางจึงออกมาได้อีกเล่า”
นางกำนัลได้ยินเช่นนั้นจึงรีบอธิบาย “ฝ่าาทรงมีพระราชโองการลงมา อนุญาตให้เหนียงเหนียงของพวกเราย้ายกลับมาตำหนักเว่ยยางและคืนอำนาจในการดูแลตำหนักในให้เหนียงเหนียงด้วย!”
คนทั้งหมดได้แต่ตะลึงงันอีกครั้ง
“ย้ายกลับมาตำหนักเว่ยยาง คืนอำนาจการดูแลตำหนักในหรือ”
“นี่มันเร็วเกินไปกระมัง เพิ่งจะเข้าตำหนักเย็นได้ไม่กี่วัน ก็ออกมาเร็วเช่นนี้”
“ไม่มีอะไรให้ต้องประหลาดใจหรอก อย่างไรเสียฮองเฮาก็มีที่พึ่งพิง นางมีใต้เท้ามหาเสนาบดีเป็บิดา ใครเล่าจะกล้าล่วงเกินนาง กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังต้องให้หน้าใต้เท้ามหาเสนาบดีสามส่วน”
“ฮองเฮาออกมาแล้ว ครานี้ในวังจะต้องมีเื่สนุกสนานให้ดูชมแน่นอน”
“ตอนนี้มิใช่มีให้ดูอย่างสนุกสนานหรือ”
นางกำนัลอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ซุนเต๋อลี่และคนของเขาอีกสองคนล่วงเกินฮองเฮาเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงมีเมตตา ไม่ได้สั่งปะาพวกเขา เพียงแต่ลงโทษให้พวกเขาแทะเมล็ดแตงหนึ่งร้อยจิน เพื่อเป็การสั่งสอนให้หลาบจำ!”
“แทะเมล็ดแตงหนึ่งร้อยจินให้หมดหรือ เอ๊ะ วิธีการลงโทษเช่นนี้เป็วิธีการใหม่และประหลาด! จะบอกว่าชั้นสูงก็ไม่ใช่ พื้นบ้านก็ไม่เชิง!”
“แค่เพียงแปลกใหม่ที่ไหนกัน เป็วิธีการที่ไม่เคยมีคนใช้มาก่อนต่างหากเล่า!”
“ซุนกงกงช่างโชคร้าย ออกจากเรือนไม่ดูฤกษ์ ถูกฮองเฮาจับได้คาหนังคาเขา”
ได้ยินทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กัน นางกำนัลทั้งสองนางได้แต่ขำขันอยู่ด้านข้าง พร้อมกับเร่งซุนเต๋อลี่และพวก
“รีบหน่อย! ช้าอย่างพวกเ้า สามวันสามคืนก็แทะไม่หมด!”
“ในยามปกติเห็นพวกเ้าแทะเมล็ดแตงคล่องแคล่วนัก เหตุใดวันนี้จึงได้เชื่องช้าเช่นนี้ พวกเ้าคงไม่ได้จงใจใช่หรือไม่”
“ข้าดูแล้ว พวกเขาไม่เห็นฮองเฮาอยู่ในสายตา ตั้งใจจะเป็ปรปักษ์กับฮองเฮา”
“ข้าไปทูลฮองเฮาเอง!”
ซุนกงกงใจนหน้าถอดสี เขารีบร้องเรียกนางกำนัลทั้งสอง “อย่าๆ แม่นาง ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ! พวกเราจะเร่งความเร็วขึ้น พวกเราจะเร่งความเร็วขึ้นเดี๋ยวนี้!”
ล้อเล่นหรือไร หากปล่อยให้พวกนางไปฟ้อง ์เท่านั้นที่จะรู้ว่าฮองเฮาจะคิดหาวิธีประหลาดมาจัดการพวกเขา
ใครพูดไว้ว่า ทั้งวังหลวงมีเพียงฉีเหม่ยเหรินที่มีวิธีการทรมานคนมากมายที่สุด ตามที่เขาเห็น ฮองเฮาโเี้กว่าฉีเหม่ยเหรินมากนัก! ดูวิธีการทำโทษนี้สิ ดูเหมือนไม่ได้รุนแรงอันใด แต่ใครเป็ผู้ประสบกับตนเองย่อมรู้ดี หากต้องแทะเมล็ดแตงทั้งหนึ่งร้อยจินนี้ให้หมด นี่แทบจะเอาชีวิตกันเลยทีเดียว!
วิธีการทำโทษที่ทำร้ายคนเช่นนี้ นอกจากฮองเฮาแล้ว ใครจะคิดออกมาได้อีก
ภายในตำหนักบรรทมของตำหนักเว่ยยาง เฟิ่งเฉี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้หงที่ทำมาจากไม้หนานมู่ขลิบไหมทอง นางทอดสายตาชื่นชมตำหนักบรรทมที่ตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหราภายในตำหนักให้ความรู้สึกตะลึงงัน
ที่นอนหยกขาวอยู่บนพื้น เตียงไม้กฤษณาความกว้างขนาดหกฉื่อ[2] รอบๆ ยังปักลวดลายด้วยไหมเงินเป็ลายดอกไห่ถังจนไปถึงมุ้งทรงกลม มันไหวยวบยาบเมื่อมีสายลมพัดมา ประดุจทะเลเมฆที่ลอยอยู่บนยอดทิวเขา แสงแดดที่ส่องผ่านลวดลายฉลุของหน้าต่างเข้ามาเป็จุดๆ เล็กๆ ้าของเพดานมีไข่มุกราตรีขนาดใหญ่แขวนอยู่ ทำให้ส่องสว่างราวกับแสงจันทร์ก็ไม่ปาน
เป็ครั้งแรกที่เฟิ่งเฉี่ยนได้พบเห็นงานประณีตและงดงามเช่นนี้
ที่แท้ที่นี่ก็คือตำหนักบรรทมของฮองเฮา เมื่อเปรียบเทียบกับตำหนักเย็นแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน มิน่าเล่าคนมากมายล้วน้าจะเข้ามาพำนักอยู่ในตำหนักเว่ยยาง!
ทว่านางที่ต้องมาอยู่ที่นี่ กลับรู้สึกว่าตนเองไม่เข้ากับสถานที่แห่งนี้ นางรู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเอง!
ลั่วหยิ่งก้าวเข้ามาพูดว่า “ทูลเหนียงเหนียง ได้จัดให้แม่นางจื่อซูพักผ่อนแล้ว อีกประเดี๋ยวหมอหลวงจะมาตรวจอาการของแม่นางจื่อซูพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า “ดีมาก ลำบากเ้าแล้ว”
ลั่วหยิ่งลังเลใจครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “เหนียงเหนียง มีคำพูดประโยคหนึ่ง หากกระหม่อมไม่ได้พูดออกไปก็คงจะรู้สึกอึดอัดใจพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนผายมือ “คำพูดอะไร เ้าพูดมาเถิด”
ลั่วหยิ่ง “ฉีเหม่ยเหรินอาศัยว่าบิดาของนางเป็ถึงเสนาบดีกรมอาญา จึงมักจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในวังอยู่เสมอ เป็คนที่ไม่ควรเข้าไปข้องแวะด้วยอย่างยิ่ง วันนี้พระองค์สั่งสอนคนของนาง นางจะต้องไม่มีทางยอมรามือแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนเลิกคิ้ว “นางไม่ใช่คนที่ควรเข้าไปยุ่งด้วย หรือเปิ่นกงเป็คนที่ยุ่งด้วยง่ายๆ”
“โอ๊ะ...” ลั่วหยิ่งถึงกับเป็ใบ้
ใช่แล้ว เขาลืมไปได้อย่างไรกัน ฮองเฮาต่างหากที่เป็คนเผด็จการไม่น่าข้องแวะด้วยมากที่สุดในวังหลวงแห่งนี้!
ฉีเหม่ยเหรินเปรียบเทียบกับนาง นั่นเป็เช่นแม่มดตัวเล็กปะทะแม่มดตัวใหญ่!
เขาเป็ห่วงฮองเฮาเป็เื่ที่ไม่จำเป็
เขาประสานมือเป็หมัด “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
รอเมื่อลั่วหยิ่งจากไป ชิงเหอกูกูเดินเข้ามารายงานว่า “เหนียงเหนียง นับั้แ่พระองค์ถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็น มีนางกำนัลสามนางและขันทีอีกสองคนไปจากที่นี่ พวกเขาถูกโยกย้ายไปทำงานในตำหนักอื่น เวลานี้ที่เหลืออยู่ที่นี่นอกจากบ่าวแล้ว ยังมีนางกำนัลที่เพิ่งมาใหม่อีกหกนาง คนที่โยกย้ายไปเ่าั้ พระองค์คิดว่าจะ...”
เฟิ่งเฉี่ยนผายมือ “คนทุกคนต่างมีอุดมการณ์ พวกเขาคิดจะจากไปก็ให้พวกเขาไปเถิด! ฝืนใจรั้งเอาไว้ ก็ไม่ได้มีใจภักดี”
“เหนียงเหนียงตรัสถูกต้องแล้วเพคะ” ชิงเหอกูกูเหลือบมองฮองเฮาด้วยความประหลาดใจ นางมีความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง เหนียงเหนียงดูเหมือนแตกต่างจากเมื่อก่อน
[1] จิน คือหน่วยวัดน้ำหนักของจีนสมัยโบราณ หนึ่งจิน เท่ากับ ครึ่งกิโล, สองจิน เท่ากับ หนึ่งกิโล, หนึ่งร้อยจิน เท่ากับ ห้าสิบกิโลกกรัม
[2] ฉื่อ คือ หน่วยวัดความยาว ฉื่อ หรือ เชียะ เท่ากับ 10 ชุ่น (หรือ 10 นิ้ว) 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ (ประมาณ 2.5 เมตร)