ในบรรดาพี่สาวน้องสาวในบ้าน คนที่เฉียวเยว่ชังน้ำหน้าที่สุดก็คือซูเฉี่ยวเยว่ ั้แ่นางโกหกใส่ร้ายป้ายสีฉีอันตอนห้าขวบ เฉียวเยว่จับนางขึ้นบัญชีดำ นี่ไม่ใช่การเหมารวมตัดสิน แต่หลายปีมานี้นางจับตาสังเกตอีกฝ่ายมาโดยตลอด แต่กลับพบว่าเฉี่ยวเยว่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แม้ว่านางจะไม่ได้ทำอะไร กลับมาทำตัวอ่อนโยนเชื่อฟังและรู้เหตุผล ดูเหมือนว่าจะต้องทำทุกอย่างให้ออกมาดีและสมบูรณ์แบบที่สุด แต่หลายครากลับรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างล้วนเป็การแสดงละคร
อาจเป็เพราะเหตุนี้ นางจึงไม่ชอบเฉี่ยวเยว่มากขึ้นเรื่อยๆ
ทำตัวเงียบสงบมาหลายปี หรืออาจบอกว่าเฉียวเยว่ไปจากบ้านนานถึงไม่รู้สึก แต่ตอนนี้กลับมา ก็รู้สึกถึงความชั่วร้ายของนางได้อีกครา
นางรู้อยู่เต็มอกแท้ๆ ไม่ว่าหรงเยว่หรือไท่ไท่รองล้วนไม่้าให้ผู้อื่นมาเห็นความทุกข์ของพวกนางเวลานี้ แต่เฉี่ยวเยว่ก็ยังคิดใช้อุบายเยี่ยงนี้
พูดตามตรง เฉียวเยว่คิดว่าคนที่แสดงออกอย่างเด่นชัดว่า 'ข้าไม่ชอบเ้า' อย่างชิงเยว่ยังจะดีเสียกว่า
อย่างน้อยก็เป็คนตรงไปตรงมา แต่คนประเภทชอบยุแยงตะแคงรั่วอย่างเฉี่ยวเยว่ช่างน่าชังยิ่งนัก
เฉียวเยว่นิ่งคิดสักพักก็พูดว่า "เ้ากลับไปนำสิ่งที่เ้าคุยกับข้าเมื่อครู่นี้บอกกับไท่ไท่รองของพวกเ้าอย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว"
"หืม?" สาวใช้ตะลึงงัน
เฉียวเยว่มองนางอย่างเ็า "ข้าไม่รู้ว่าเ้าถูกซูเฉี่ยวเยว่ซื้อตัวหรือเพราะความโง่งมของตนเองจริงๆ ถึงแยกแยะคนดีคนเลวไม่ออก แต่ตอนนี้จงกลับไปแล้วเล่าทุกสิ่งที่คุยกันที่นี่เกี่ยวกับซูเฉี่ยวเยว่ให้ไท่ไท่รองของพวกเ้ารับรู้เสีย"
คุณหนูเจ็ดซึ่งมักอ่อนโยนอยู่เสมอเกิดแข็งกร้าวขึ้นมา ทำให้สาวใช้รู้สึกมึนงง ในความคิดของนางคุณหนูเจ็ดกับคุณหนูแปดคือคุณหนูที่คุยง่ายที่สุดในจวนนี้แล้ว
นางอยากจะพูดบางอย่างแต่จู่ๆ ก็หน้าซีดเผือด ในที่สุดก็เพิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ เฉียวเยว่เห็นว่านางดูไม่คล้ายกำลังเสแสร้ง จึงพูดว่า "เ้ากลับไปเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่ข้าควรไปหาคุณหนูของเ้า"
สาวใช้รีบพยักหน้า พูดขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก "ขอบคุณเ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูเจ็ดสำหรับคำชี้แนะ เป็บ่าวที่หุนหันพลันแล่นทำสิ่งใดไม่ยั้งคิด"
นางลุกขึ้น "บ่าวจะกลับไปรายงานไท่ไท่ว่าคุณหนูสี่ไปปรากฏตัวที่นั่นได้อย่างไร ที่แท้เห็นบ่าวเป็คนโง่" พูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่สนใจอันใดอีก ยอบกายเล็กน้อยแล้วรีบเดินออกไป
อวิ๋นเอ๋อร์ส่ายหน้า "สาวใช้ที่ไท่ไท่รองเลือกให้คุณหนูสามคนนี้หุนหันพลันแล่นเกินไปและยังไม่มีความคิด เช่นนี้จะถูกผู้อื่นใช้เป็เครื่องมือได้ง่าย"
เฉียวเยว่พยักหน้าเห็นด้วย แต่แม้ว่าหรงเยว่จะอารมณ์ไม่ดี เฉียวเยว่กลับสบายใจขึ้น อย่างน้อยพี่หญิงสามก็จะไม่เกี่ยวข้องกับโจวเนี่ยนอีก เห็นเช่นนี้แล้วสิ่งที่โจวเนี่ยนพูดกับหร่วนหลีเมื่อวานก็ไม่ใช่คำลวง เขาคิดจะแต่งหร่วนหลีเป็ภรรยาจริงๆ
ซูซานหลางกลับมา่เย็น เฉียวเยว่ยังไม่ทันไปหา เ้าตัวกลับมาหาเฉียวเยว่ก่อน
"ท่านพ่อ" เฉียวเยว่เรียกเสียงหวาน
ซูซานหลางขบคิดสักพักก็ถามนางว่า "ก่อนหน้านี้เ้ากับองค์หญิงอวิ๋นเล่อเข้ากันได้ดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่เลิกคิ้ว "องค์หญิงอวิ๋นเล่อ?" จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด "ไม่ดีเ้าค่ะ"
ช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน
ซูซานหลางะเิเสียงหัวเราะออกมา พลางถอนหายใจ "เ้าพูดเช่นนี้ทำร้ายใจคนจริงๆ"
เฉียวเยว่ยิ้มร่าเดินเข้ามาใกล้ซูซานหลาง แล้วถามเสียงเบา "ท่านพ่อ เหตุใดจู่ๆ ก็ถามเื่นี้เล่า มีอะไรหรือเ้าคะ"
บุตรสาวโตแล้ว ซูซานหลางในฐานะบิดาจึงไม่อยากใกล้ชิดกับนางเกินไปนัก หากตอนเด็กๆ เห็นนางเช่นนี้ เขาก็คงบีบแก้มนุ่มๆ ของนางไปแล้ว
"วันนี้พ่อพบกับองค์หญิงใหญ่ในวัง นางเป็ฝ่ายเชื้อเชิญอยากให้เ้าเข้าวังไปเล่นกับนาง องค์หญิงใหญ่ทรงอยากขอคำชี้แนะจากเ้าถึงวิธีการปลูกดอกไม้ ถึงอย่างไร่นี้สำนักศึกษาก็หยุด เลยยากจะปฏิเสธได้" ซูซานหลางเห็นสีหน้าชอบกลแวบหนึ่งของบุตรสาว ก็รู้ว่านางไม่อยากไป
เขายิ้มมุมปาก "พ่อย่อมบอกปัดไปให้เ้าแล้ว แต่ไทเฮาก็มีพระประสงค์ให้เ้าเข้าวังเหมือนกัน"
เฉียวเยว่เข้าใจ เื่เช่นนี้บิดาก็มีความลำบากใจของตน มิอาจปฏิเสธไปหมดทุกอย่าง นางหัวเราะเบาๆ "เช่นนั้นก็ไปเถอะเ้าค่ะ อันที่จริงข้าก็ไม่มีอันใด เพียงแค่นางมีสถานะสูงศักดิ์ เวลาอยู่กับนางข้ามักกังวลว่าคำพูดประโยคไหนจะไปะเืใจของนางเข้า กลัวว่าจะไม่ดี แต่มาคิดอีกที ข้าเป็ใคร ข้าเป็เทพธิดาน้อยที่สามารถรับมือได้แม้กระทั่งท่านพี่หรงจ้านเชียวนะเ้าคะ ย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"
ซูซานหลางหัวเราะขึ้นมาทันที เขาตระหนักความเอาใจใส่ของบุตรสาวเป็อย่างดี ก่อนจะถอนหายใจออกมา "เ้าเฉลียวฉลาดมีไหวพริบเช่นนี้มาั้แ่เล็ก พ่อมีความสุขเหลือเกิน"
เฉียวเยว่เชิดหน้า "นั่นเพราะข้ามีความสามารถเ้าค่ะ"
"หากบอกว่าเ้ามีความสามารถ เช่นนี้เื่นี้ก็ต้องชมตัวข้าเองแล้ว ข้าเป็บิดาของเ้า ย่อมจะมีความสามารถยิ่งกว่า"
เฉียวเยว่ยู่ปากน้อยๆ รำพึงเสียงเบา "จบกัน จบกัน เดิมทีคิดว่าข้าคงครองตำแหน่งขี้โม้อันดับหนึ่งของครอบครัวเรา แต่ตอนนี้ถูกท่านพ่อชิงไปเสียแล้ว ข้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก"
ซูซานหลางพูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ เห็นเด็กหญิงตัวน้อยเล่นเองร้องเอง เหมือนเมื่อก่อนตอนยังไม่โต แต่นางใกล้จะเป็สาวแล้ว อีกสองปีก็คงจะมีคนมาสู่ขอ
พอนึกถึงว่าหัวผักกาดน้อยที่ตนเองเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่จะถูกเ้าหนุ่มสารเลวมาขุดเอาไป ในใจเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
มีสิทธิ์อะไร!
ซูซานหลางพูดอย่างเด็ดขาด "ต่อไปเฉียวเยว่ออกเรือน ต้องเลือกบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้า หาใช่ที่สถานะสูงต่ำ หรือมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง แต่ต้องรักเฉียวเยว่ของเราอย่างแท้จริง หากหาดีไม่ได้ ข้ายินดีให้เฉียวเยว่ของเราไม่ต้องแต่งงานชั่วชีวิต เ้าวางใจ ไม่ว่าเมื่อใด พ่อจะดูแลเ้าและยืนอยู่ข้างเ้าตรงนี้เสมอ"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ซูซานหลางก็ยังพูดเสริมในใจ แต่พวกคนเสเพล หน้าตาอัปลักษณ์ สูงวัย ยากจน ไม่มีการศึกษา นิสัยแย่ เอาอกเอาใจเฉียวเยว่ไม่เป็ ก็จงไสหัวไปให้หมด!
แม้ว่าบุตรสาวจะเพิ่งสิบขวบ แต่เขาก็เริ่มวิตกกังวลว่าบุตรสาวจะถูกคนลักพาตัวไป
แต่พอเอ่ยถึงเื่นี้ เฉียวเยว่ก็เอ่ยทันทีว่า "ท่านพ่อ ข้ามีเื่อยากคุยกับท่าน"
ท่าทางของนางจริงจังอย่างมาก ซูซานหลางเอ่ยอย่างงุนงง "เ้าว่ามา"
เฉียวเยว่เล่าเื่ที่ตนเองพบเห็นในงานร้อยบุปผารวมถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ซูซานหลางฟังอย่างละเอียด
"ข้ารู้การนินทาผู้อื่นลับหลังคือสิ่งที่ไม่ดี แต่พี่หญิงสามเป็พี่สาวของบ้านเรา ข้าไม่อยากเห็นนางไม่มีความสุข ไม่รู้ก็ช่างเถอะ เมื่อรู้แล้ว ข้าต้องคิดหาวิธีบอกให้นางรู้ ดีที่วันนี้พวกเขาต่างฝ่ายต่างไม่พึงใจซึ่งกันและกัน ทำให้ข้าสบายใจขึ้นเยอะ"
บางครั้งเฉียวเยว่ก็เป็เด็กน้อยไร้เดียงสา แต่บางคราก็เฉียบแหลมทรงปัญญาจนน่าใ
ซูซานหลางเม้มปาก แล้วเอ่ยว่า "เ้าวางใจ เื่นี้เ้าไม่ต้องเก็บมาคิดมาก เอาไว้อีกสักพักพ่อจะเตือนท่านลุงรองของเ้าเอง เ้าไม่ต้องทำอะไร"
เื่เช่นนี้เฉียวเยว่ไม่ควรเข้ามาก้าวก่าย ซูซานหลางรับปากแล้ว ในที่สุดนางก็เบาใจขึ้นมาก พยักหน้าตอบว่า "ได้ท่านพ่อช่วยเหลือย่อมไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว"
วันรุ่งขึ้น
วันนี้เฉียวเยว่ต้องเข้าวัง อย่างไรเสียก็ต้องแต่งตัวหน่อย องค์หญิงใหญ่เป็แม่นางที่มีความคิดซับซ้อนและอารมณ์อ่อนไหวง่าย หากแต่งหรูหราเกินไปหรือจืดชืดเกินไปล้วนอาจทำให้นางไม่พอใจ
เฉียวเยว่คิดมาคิดไป ก็ตัดสินใจเลือกทางที่ปลอดภัยไว้ก่อน นางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอิงเถา ่นี้อากาศยังไม่นับว่าอบอุ่น หากสวมชุดกระโปรงอย่างเดียวอาจจะเย็นไปหน่อย เฉียวเยว่จึงเลือกเสื้อคลุมสีชมพูอ่อนสวมทับชุดกระโปรงยาวสีชมพูอิงเถาอีกชั้น แล้วส่องดูคันฉ่อง ทว่ายังรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าต่างหูมุกที่สวมอยู่ดูไม่เข้ากับชุดนี้ จึงเปลี่ยนไปเป็ต่างหูดอกเหมยสีเขียวมรกตแทน
โดยทั่วไปเครื่องประดับดอกเหมยมักทำจากทองหรือไข่มุก แต่การใช้หยกเขียวเช่นนี้มาทำนับว่าเป็ของแปลกใหม่
เครื่องประดับแปลกใหม่ของเฉียวเยว่ล้วนเป็จินตนาการเพ้อฝันของนางเอง ผสมผสานกับรูปแบบการวาดของยุคปัจจุบัน ผู้ที่สามารถทำให้เป็จริงขึ้นมาย่อมจะเป็ท่านลุงของนาง
ฉีจือโจวไม่เคยคลางแคลงการตัดสินใจใดๆ ของเฉียวเยว่ และในสายตาเขา ไกวเยว่คู่ควรที่จะได้สิ่งของที่ดีที่สุดในใต้หล้า
เฉียวเยว่หาสร้อยและเครื่องประดับผมที่มีรูปแบบเดียวกันออกมา หลังจากสวมใส่แล้ว ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าตัดกับชุด ตรงข้ามกลับมีความสวยงามอย่างน่าประหลาดใจ
นางมัดผมทรงไหมย้อย [1] แม้ดูเหมือนจะเป็การลดทอนความเฉิดฉันลงมา แต่กลับเพิ่มความน่ารักเข้าไปหลายส่วน หากไม่ดูเื่รูปร่างและส่วนสูง การแต่งกายน่ารักเช่นนี้ชวนให้รู้สึกคล้ายเด็กเจ็ดแปดขวบ
นางสูงขึ้นค่อนข้างเร็ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหมือนกัน คะเนว่าอาจเป็เพราะนางชอบยืดเส้นยืดสายมาั้แ่เล็ก
ชีวิตในชาติก่อน นางเคยอิจฉาเหอเซียนกูลูกพี่ลูกน้องคนโตที่มีรูปร่างอย่างซูเปอร์โมเดล ปรารถนาอยากจะมีเรียวขายาวๆ เช่นนั้นบ้าง แม้บางครั้งนางจะอึดอัดใจที่อวี้อ๋องชอบแกล้งทำเป็เดียดฉันท์ติตรงโน้นว่าตรงนี้ แต่ความริษยาในใจก็ยากจะกล่าวออกมาเหมือนกัน
วันนี้เฉียวเยว่พาอวิ๋นเอ๋อร์กับเสี่ยวชุ่ยเข้าวังไปพร้อมกัน
"ถึงแม้ไม่ใช่คราแรกที่เข้าวัง แต่นี่เป็ครั้งแรกที่เข้าวังมาคนเดียว พวกเ้าอย่าอยู่ห่างข้าเป็อันขาด ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่ต้องร้อนใจเกินไป ถึงอย่างไรก็เป็วังหลวง ตราบใดที่พวกเราไม่เสียมารยาทก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
เสี่ยวชุ่ยกับอวิ๋นเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก แม้ว่าปรกติพวกนางจะสงบนิ่ง แต่เหมือนเช่นที่คุณหนูกล่าว นี่คือครั้งแรกของพวกนางเหมือนกัน
เฉียวเยว่สวมเสื้อคลุมผ้าไหมกันลมสีเขียว ทอยิ้มสดใส "เอาล่ะ เอาล่ะ ไปกันเถอะ"
เฉียวเยว่นั่งรถม้าเข้าวัง ประตูวังไม่สามารถเข้าได้ตามอำเภอใจ นางมอบป้ายและเดินไปตามทางที่มีผู้ชี้นำ ในใจมิได้รู้สึกกังวลมากนัก
"คุณหนูซู"
เฉียวเยว่ได้ยินคนเรียก ก็หันมามอง เป็สวี่ม่านหนิงคนสนิทของท่านหญิงฉางเล่อ
นางยอบกายน้อยๆ "พี่หญิงสวี่"
สวี่ม่านหนิงสวมอาภรณ์สีฟ้าน้ำทะเล นางโตกว่าเฉียวเยว่สองสามปี รูปร่างบอบบางอ่อนช้อย อาภรณ์ชุดนี้ขับเสริมให้นางยิ่งดูมีสง่าราศี ดูเป็คุณหนูจากสกุลใหญ่ที่มีฐานะ
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนล้วนมีมาตรฐานเกี่ยวกับความงามเป็ของตนเอง เหมือนเช่นยุคนี้ที่ค่อนข้างชมชอบสตรีที่อ่อนช้อยนุ่มนวล แต่หากถามว่าจะแต่งเข้าบ้านหรือไม่ ก็ยังไม่แน่ เพราะเอาเข้าจริงไท่ไท่และฮูหยินทั้งหลายกลับชมชอบสตรีที่มีความสุขุมและหนักแน่นแลดูสูงส่งสง่างามมากกว่า
สตรีดุจสายน้ำอ่อนโยนแม้จะให้ความรู้สึกผ่องพิสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนธุลีแห่งแดนมนุษย์ แต่ดูไม่คล้ายว่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างคนปรกติได้
แน่นอนว่าสตรีที่เห็นความงดงามเฉิดฉันั้แ่ยังอายุน้อยเช่นเฉียวเยว่ยิ่งไม่ใช่แบบที่คนชมชอบ จะว่าไปตอนเฉียวเยว่ยังเล็กก็เป็แม่นางน้อยที่งามพิสุทธิ์แบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเติบโตขึ้นก็เปลี่ยนไปตามวัย ความผุดผ่องไร้เดียงสาเริ่มลดน้อยลง แต่กลับยิ่งพิลาสเฉิดฉันมากกว่าเดิมหลายส่วน
สวี่ม่านหนิงเห็นเฉียวเยว่เข้าวัง มุมปากก็โค้งขึ้น "ช่างบังเอิญยิ่งนัก"
ตามคำกล่าวของเฉียวเยว่ รูปลักษณ์เช่นสวี่ม่านหนิงจึงจะเป็ที่นิยมชมชอบมากที่สุด ไม่ถึงกับงามหยาดเยิ้ม สุภาพเรียบร้อยดูมีสง่าราศี แต่รูปโฉมไม่จืดชืด
นางยิ้มอย่างเป็มิตร "องค์หญิงใหญ่เชิญเ้ามาเที่ยวหรือ? ประจวบเหมาะจริงๆ นางก็เชิญข้าเหมือนกัน เช่นนั้นพวกเราไปพร้อมกันดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ แล้วเดินไปพร้อมกับสวี่ม่านหนิง
สวี่ม่านหนิงมองเฉียวเยว่อย่างพิจารณา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "่นี้ข้าเข้าวังมาพบองค์หญิงใหญ่บ่อยครั้ง มักได้ยินองค์หญิงเอ่ยถึงเ้าอยู่เสมอว่าน่ารักไร้เดียงสา ไม่รู้เมื่อไรถึงจะเติบโต"
เฉียวเยว่ก้มศีรษะยิ้ม หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา "ข้ากลับปรารถนาให้ตนเองไม่มีวันโต จะได้มีชีวิตอยู่ภายใต้ความรักใคร่โปรดปรานของทุกคนตลอดไป"
...
[1] ผมทรงไหมย้อย เป็การมัดแกละสองข้างแล้วผูกไล่ออกมาเป็หลายข้อ หรือข้อเดียวก็สุดแล้วแต่ เป็ทรงผมที่ได้รับความนิยมในหมู่เด็กสาวอายุ 12-18 ปี สมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้