บทที่ 4 สมรภูมิแห่งแรก และการปฏิวัติโรงน้ำชา
คำพูดนั้นช่างแทงลึกและเ็ป หากเป็ไป๋ฟางซินคนก่อนคงจะร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว แต่นางในตอนนี้กลับไม่สะทกสะท้าน
"ท่านย่าเ้าคะ ท่านพ่อเป็ขุนนางตงฉิน ไม่เคยรับสินบน คลังของตระกูลเราส่วนใหญ่มาจากเบี้ยหวัดพระราชทานและรายได้จากที่ดินเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่อื่นๆ แล้ว ฐานะทางการเงินของเรานับว่ารั้งท้าย" นางเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น "หลานเคยโง่เง่า มัวเมาแต่เื่ไร้สาระ ใช้จ่ายเงินทองไปอย่างสิ้นเปลือง ทำให้ตระกูลต้องลำบากใจ บัดนี้หลานสำนึกได้แล้วเ้าค่ะ"
นางหยุดเว้นจังหวะ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น "หลาน้าหาเงินเข้าตระกูลเ้าค่ะ! เครื่องดื่มที่หลานทำขึ้นนั้น แม้จะดูเป็เพียงของว่าง แต่หลานมั่นใจว่ามันสามารถสร้างรายได้ให้เราอย่างมหาศาล! มันสามารถเป็ห่านทองคำที่จะทำให้ตระกูลไป๋ของเรามีเงินทุนมากพอที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็การสนับสนุนท่านพ่อในราชสำนัก หรือการปูทางอนาคตให้จื่อเซวียน!"
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองหลานสาวนิ่ง ดวงตาที่เคยเห็นโลกมามากของนางกำลังพิจารณาไป๋ฟางซินใหม่อีกครั้ง
'เด็กคนนี้...หลังจากล้มป่วยไปครั้งเดียว เหตุใดจึงเปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคน? คำพูดคำจาฉะฉาน ความคิดอ่านลึกซึ้ง มองการณ์ไกลถึงเพียงนี้...หรือว่านางแสร้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ?'
"ค้าขายเป็เื่ของพ่อค้าวาณิช ตระกูลขุนนางอย่างเราจะลดตัวลงไปทำเื่เช่นนั้นได้อย่างไร มันจะทำให้เกียรติยศของตระกูลป่นปี้" ท่านย่ากล่าวเสียงเย็น
"หลานไม่ได้จะให้เราไปเปิดแผงลอยข้างถนนเ้าค่ะ" ไป๋ฟางซินแย้งทันควัน "ท่านย่าลืมไปแล้วหรือเ้าคะ ว่าท่านมีโรงน้ำชา สดับวสันต์ อยู่ที่ถนนสายหลักของเมืองหลวงไม่ใช่หรือเ้าคะ โรงน้ำชาแห่งนั้นตอนนี้แทบจะไม่มีลูกค้า เพราะมีแต่ชากับขนมแบบเดิมๆ ที่น่าเบื่อหน่าย หากเรานำชาไข่มุก ของหลานไปวางขายที่นั่น โดยตั้งราคาให้สูง และจำกัดจำนวนขายในแต่ละวัน ทำให้มันกลายเป็ของหายากสำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น ท่านย่าลองคิดดูสิเ้าคะ เกียรติยศของเราจะไม่ลดลงแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ชื่อเสียงของโรงน้ำชาสดับวสันต์จะโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงในฐานะสถานที่เดียวที่มีเครื่องดื่ม์นี้จำหน่าย!"
ทุกคำพูดของนางผ่านการคิดมาอย่างดีแล้ว มันคือการนำเสนอแผนธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ!
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องโถงอีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลงอย่างช้าๆ นิ้วที่เหี่ยวย่นเคาะเบาๆ บนโต๊ะไม้เนื้อดี ในหัวของนางกำลังประมวลผลข้อมูลทั้งหมด
ข้อเสนอของฟางซิน มันน่าสนใจอย่างยิ่ง โรงน้ำชาสดับวสันต์นั้นขาดทุนมาหลายปีแล้วจริงๆ นางเก็บไว้เพียงเพราะมันเป็สินเดิมของมารดานางเท่านั้น หากทำตามที่หลานสาวว่า มันอาจจะพลิกฟื้นกลับมาทำกำไรได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือนางมองเห็นประกาย ในแววตาของหลานสาวคนนี้ มันไม่ใช่ประกายแห่งความดื้อรั้นเอาแต่ใจแบบเด็กๆ อีกต่อไป แต่เป็ประกายแห่งความมุ่งมั่น สติปัญญา และความทะเยอทะยานที่ถูกควบคุมไว้อย่างดี
นางลืมตาขึ้นอีกครั้ง "ข้าจะให้โอกาสเ้า"
หัวใจของไป๋ฟางซินเต้นรัว
"ข้าจะยกโรงน้ำชาสดับวสันต์ให้เ้าดูแลเป็เวลาหนึ่งเดือนเต็ม ทั้งเื่การจัดการ การเงิน และคนงาน ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย" ท่านย่ากล่าว "แต่ภายในหนึ่งเดือนนี้ เ้าจะต้องทำให้โรงน้ำชามีกำไรมากกว่ารายจ่ายทั้งหมดใน่ครึ่งปีที่ผ่านมาให้ได้"
นี่มัน บททดสอบที่โหดหินอย่างยิ่ง! กำไรหนึ่งเดือนต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายหกเดือน!
"หากเ้าทำสำเร็จ ข้าจะยอมรับในแนวทางของเ้า และจะสนับสนุนเ้าอย่างเต็มที่" ท่านย่าหยุดพูด ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบลง "แต่...หากเ้าทำไม่สำเร็จ เ้าจะต้องเลิกยุ่งกับเื่ไร้สาระเหล่านี้ กลับไปเรียนรู้งานบ้านงานเรือนและเตรียมตัวออกเรือนอย่างสงบเสงี่ยม เ้ากล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่ ไป๋ฟางซิน!"
บรรยากาศกดดันจนแทบหายใจไม่ออก นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ หากแพ้ ทุกอย่างที่นางวางแผนไว้จะพังทลายลงในพริบตา
แต่ไป๋ฟางซินที่ผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง จะหวาดกลัวต่อเื่เพียงเท่านี้ได้อย่างไร?
นางคุกเข่าลง คำนับท่านย่าอย่างหนักแน่นจนหน้าผากเกือบจรดพื้น
"หลาน...รับคำท้าเ้าค่ะ!"
เสียงของนางก้องกังวาน เด็ดเดี่ยวและมั่นคง ฮูหยินผู้เฒ่ามองภาพนั้นนิ่งงัน ในใจพลันรู้สึกสั่นะเือย่างรุนแรง
นางรู้สึกราวกับว่า นางไม่ได้กำลังมองหลานสาวของตนเอง แต่กำลังมองเห็นพยัคฆ์สาวที่เพิ่งจะลับเล็บและคมเขี้ยวจนแหลมคม กำลังเตรียมพร้อมที่จะกระโจนออกจากกรงขังแห่งโชคชะตา เพื่อประกาศศักดาให้ทั่วทั้งแผ่นดินได้ประจักษ์
ข่าวที่คุณหนูใหญ่ไป๋ฟางซินรับคำท้าจากฮูหยินผู้เฒ่า และจะเข้าไปบริหารโรงน้ำชา "สดับวสันต์" ที่กำลังจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่ แพร่สะพัดไปทั่วจวนเสนาบดีเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง บรรดาบ่าวไพร่ต่างจับกลุ่มซุบซิบกันด้วยความตกตะลึงระคนไม่อยากเชื่อ
"์! พวกเ้าได้ยินหรือไม่? คุณหนูใหญ่จะไปเป็เถ้าแก่เนี้ย!" สาวใช้คนหนึ่งกระซิบเสียงแหลมขณะกำลังปัดกวาดลานหน้าเรือน
"ข้าว่านางคงจะป่วยจนสมองกระทบกระเทือนไปแล้วจริงๆ! คุณหนูผู้สูงศักดิ์น่ะหรือจะไปคลุกฝุ่นกับเื่ค้าขาย? ข้าว่าไม่เกินสามวัน นางก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับมาฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว!" พ่อบ้านคนสนิทของเรือนฝั่งตะวันออกส่ายหน้าอย่างระอา
"แต่ข้าว่าไม่แน่... พวกเ้าไม่เห็นสายตาของคุณหนูตอนอยู่ในห้องครัวหรือ? มันน่ากลัวยิ่งกว่าสายตาของท่านเสนาบดีตอนไต่สวนนักโทษเสียอีก! ข้าว่าครั้งนี้...เมืองหลวงอาจจะมีเื่สนุกให้ดูแล้วก็ได้" พ่อครัวหวังที่ตอนนี้กลายเป็ผู้สนับสนุนหมายเลขหนึ่งของคุณหนูใหญ่ไปแล้วกล่าวขึ้น เขายังคงจำรสชาติของชาไข่มุกและความเด็ดขาดในน้ำเสียงของนางได้อย่างติดตาตรึงใจ
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เ่าั้ ไป๋ฟางซินกลับสงบนิ่งราวกับภูผา นางไม่ได้สนใจคำพูดของใครทั้งสิ้น เช้านี้...คือนัดแรกที่นางจะลงสู่สมรภูมิ
นางแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูทะมัดทะแมงและเรียบง่าย แต่กลับขับเน้นรัศมีสูงศักดิ์ที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาอย่างชัดเจน ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นด้วยปิ่นหยกธรรมดาหนึ่งอัน ดูไม่เหมือนคุณหนูที่จะไปเดินเล่น แต่เหมือนแม่ทัพหญิงที่กำลังจะออกไปตรวจการณ์รบเสียมากกว่า
"ชิงเหอ เ้าพร้อมแล้วหรือไม่?" นางถามสาวใช้คนสนิทที่กำลังยืนตัวสั่นเล็กน้อย ชิงเหอถูกสั่งให้เปลี่ยนเป็ชุดชาวบ้านธรรมดาเพื่อไม่ให้เป็ที่สังเกต
"พร้อม...พร้อมแล้วเ้าค่ะคุณหนู" ชิงเหอตอบเสียงอ่อย "คุณหนูจะปลอมตัวไปโรงน้ำชาจริงๆ หรือนี่? หากมีใครจำได้ขึ้นมา เกียรติของจวนเสนาบดีคงได้ป่นปี้แน่ๆ เลย! ข้าใจคอไม่ดีเลยสักนิด!"
ไป๋ฟางซินไม่พูดอะไรอีก นางเดินนำออกจากประตูหลังของจวนเสนาบดีอย่างเงียบเชียบ รถม้าธรรมดาคันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว นี่คือการเคลื่อนไหวแรกในกลยุทธ์ของนาง: "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" ก่อนที่นางจะเข้าไปในฐานะ "นายใหม่" นางจะต้องเข้าไปในฐานะ "ลูกค้า" เสียก่อน เพื่อที่จะได้เห็นสภาพที่แท้จริงของโรงน้ำชาสดับวสันต์ด้วยตาของตัวเอง
โรงน้ำชาสดับวสันต์ตั้งอยู่บนถนนสายรองที่ไม่พลุกพล่านนัก แม้จะยังอยู่ในย่านการค้า แต่ก็ถูกร้านค้าที่ใหม่กว่าและหรูหรากว่าบดบังรัศมีไปจนหมด ป้ายไม้แกะสลักชื่อร้านที่ครั้งหนึ่งเคยงดงาม บัดนี้สีซีดจางและมีหยากไย่เกาะอยู่ประปราย
ทันทีที่ก้าวเข้าไป กลิ่นอับชื้นก็ปะทะเข้ากับจมูกทันที ฝุ่นหนาเตอะจับตัวเป็ชั้นบนโต๊ะไม้เนื้อดีที่ครั้งหนึ่งเคยส่องประกาย ในร้านมีลูกค้าอยู่เพียงสองสามคน นั่งจิบชาอย่างซึมเซา อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความเฉื่อยชาและการถูกทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์แบบ
เสี่ยวเอ้อร์ (บริกร) หนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนพิงเสาหาวหวอดๆ เมื่อเห็นลูกค้าใหม่เข้ามา เขาก็เพียงแค่ปรายตามองอย่างเกียจคร้าน "เชิญนั่งก่อนนายหญิง อยากได้ชาอะไรก็สั่งมา"
น้ำเสียงนั้นช่างไร้ชีวิตชีวาและไม่ใส่ใจบริการแม้แต่น้อย
'นี่มันไม่ใช่โรงน้ำชาแล้ว นี่มันสุสานชัดๆ!' ไป๋ฟางซินคิดในใจอย่างเ็า
นางกับชิงเหอเลือกนั่งโต๊ะในมุมที่อับที่สุด "ขอน้ำชาหลงจิ่งหนึ่งกา กับขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยฮวา"
เสี่ยวเอ้อร์รับคำอย่างขอไปที ก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้าน ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ชาและขนมจึงถูกนำมาเสิร์ฟอย่างเสียไม่ได้ ใบชาในกานั้นมีแต่ก้านปนอยู่เต็มไปหมด น้ำชามีสีจางและรสชาติฝาดเฝื่อน ส่วนขนมเปี๊ยะนั้นก็ทั้งแข็งและเย็นชืดราวกับทำทิ้งไว้ั้แ่เมื่อวาน
ชิงเหอหน้าเหยเก นางแอบกระซิบข้างหู "คุณหนูนี่มันกินไม่ได้เลยนะเ้าคะ! ชาในห้องครัวของบ่าวยังจะดีเสียกว่า!"
ไป๋ฟางซินไม่ได้แตะต้องของบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแค่กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ พนักงานมีอยู่สี่คน รวมเสี่ยวเอ้อร์คนเมื่อครู่ด้วย อีกคนกำลังนั่งสัปหงกอยู่หลังฉากกั้น ส่วนอีกสองคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่หลังร้านอย่างออกรส ไม่สนใจลูกค้าแม้แต่น้อย และที่สำคัญที่สุด นางเห็นผู้จัดการร้าน ร่างท้วมในชุดผ้าไหมเก่าๆ กำลังนั่งนับลูกคิดอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
เขาคือ "ผู้จัดการซุน" คนเก่าแก่ที่ดูแลร้านนี้มาั้แ่สมัยที่มารดาของท่านย่ายังมีชีวิตอยู่
เมื่อรวบรวมข้อมูลได้เพียงพอแล้ว ไป๋ฟางซินก็วางเหรียญทองแดงสองสามอีแปะลงบนโต๊ะ แล้วเดินออกจากร้านไปอย่างเงียบๆ
นางไม่ได้กลับจวน แต่เดินตรงไปยังตรอกด้านหลังของโรงน้ำชา ที่นั่น นางได้พบกับพ่อบ้านจง ซึ่งเป็คนสนิทที่ท่านย่าส่งมาช่วยเหลือตามข้อตกลง พ่อบ้านจงได้นำ "สารแต่งตั้ง" และตราประทับประจำตัวของนางมาให้เรียบร้อยแล้ว
"คุณหนูใหญ่ ทุกอย่างพร้อมแล้วขอรับ" พ่อบ้านจงกล่าวด้วยความเคารพ แม้ในใจจะยังกังขา แต่คำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าถือเป็ที่สุด
"ดีมาก" ไป๋ฟางซินรับกล่องไม้มาถือไว้ "ท่านรออยู่ตรงนี้ อีกหนึ่งเค่อค่อยนำคนงานที่เตรียมไว้เข้ามา"
นางหันหลังกลับ เดินตรงไปยังประตูหน้าของโรงน้ำชาสดับวสันต์อีกครั้ง แต่คราวนี้รัศมีรอบกายนางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
"ปัง!"
