ตารางที่ทั้งอัคนีกับกิตติกาต้องบินมาใต้เพื่อเข้าร่วมการประชุมกับผู้บริหารรีสอร์ตที่กำลังสร้าง ทั้งสองคนเข้ามาพักในห้องสวีทสุดหรูด้วยกัน แต่จริง ๆ แล้วเธอจองห้องนี้ไว้สำหรับเขาคนเดียว ส่วนเธอจะไปนอนห้องธรรมดาอีกห้อง แต่เขากลับเป็ฝ่ายลากกระเป๋าของเธอขึ้นมาไว้ในห้องเดียวกัน
“ห้องฉันอยู่อีกชั้นนะคะ”
“ปล่อยไว้นั่นแหละ แล้วคุณก็มานอนห้องนี้” เขาเดินเข้าไปหาร่างบางที่ยังยืนอยู่แถวประตูหน้าห้อง
“ไม่ต้องสนใจหรอก” ว่าแล้วก็ดันเธอให้ไปนอนราบอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ จัดแจงให้ตัวเองนั่งคร่อมตัวเองไว้
"แต่เรามาทำงานนะคะ" กิตติกายันหน้าอกเอาไว้ เมื่อเขาพยายามจะโน้มเธอให้เขาไปหา
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลางาน”
กิตติกาขมวดคิ้วกับคำบอกของเขา จะไม่ใช่ได้ไง ในเมื่อยังเป็วันธรรมดาเป็เวลางาน แต่ตอนนี้เป็การมาตรวจงานที่ต่างจังหวัดเท่านั้นเอง
“ตอนนี้ถือว่าไม่ใช่เวลางาน ให้เราไปอยู่ที่หน้างานก่อน แบบนั้นถึงเรียกว่าทำงาน”
“ประธานบริษัทพูดแบบนี้ได้เหรอคะ”
“ได้สิ” เขาบอกเธอทั้งที่ปากยังแนบชิดกับผิวตรงซอกคอ เม้มดูดผิวเนื้อหอมหวานให้ชื่นใจ
กิตติกาที่ถูกรุกรานร่างกายจากคนตัวใหญ่ ใบหน้าหล่อกำลังซุกไซ้ตรงซอกคอของเธอ กิตติกาพยายามปัดป้องเขาเพราะตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่างโร่อยู่ แถมตรงมุมนี้ยังเป็กระจกใสที่มองเห็นด้านนอกแบบพาโนราม่าอีกด้วย ถึงจะไม่มีใครปีนขึ้นมาดู แต่มันรู้สึกโจ่งแจ้งเกินไป
“คุณไฟ...เดี๋ยวก่อน”
“ทำไมละ”
“กลางวันแสก ๆ เลยเหรอคะ”
“ไม่เห็นมีใครเคยห้าม ว่าไม่ให้ทำอะไรกันตอนกลางวันนะ เราก็เปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง” เขาบอกด้วยแววตาวาววับเต็มไปด้วยความปรารถนาที่เธอรู้ว่าเขากำลัง้าอะไร
“รอตอนเย็นไม่ได้เหรอคะ” กิตติกาพยายามต่อรอง
“ไม่ได้ ผมอยากตอนนี้นี่นา ทำไมตัวคุณหอมจัง” ร่างหนาเบียดชิดเข้าหาเธอแล้วเริ่มซุกไซ้ พร้อมพึมพำชมกลิ่นกายสาว จมูกโด่งสูดดมกลิ่นผิวกายอย่างหลงใหล ผิวเนียนของเธอไม่ว่าเขาจะแตะต้องไปส่วนไหนก็หอมหวนไปหมด
ความเอาแต่ใจของเขาเป็ผล เมื่อตอนนี้สามารถทำให้เธอโอนอ่อนไปกับเขาได้อีกตามเคย ร่างกายของเธอไหวสั่นไปตามริมฝีปากร้อนที่แนบดูดเม้มไปทั่วร่างกาย เสื้อเชิ้ตตัวบางของเธอไม่รู้ว่าถูกถอดออกไปตอนไหน บราลูกไม้เองก็ถูกดึงให้ลงมาอยู่ใต้ฐานอก เพื่อให้เขาได้ฟอนเฟ้นความอวบหยุ่นได้อย่างเต็มไม้เต็มมือแบบไม่มีอะไรขวางกั้น
ปลายนิ้วหนาปัดป่ายผ่านยอดอกสีชมพูจนมันเริ่มแข็งเป็ไต ใบหน้าหล่อเหลาร้ายซุกซบจูบไปทั่ว ก่อนจะก้มลงไปหาความเต่งตึงที่ล่อตาล่อใจเขาอยู่
กิตติกากลั้นหายใจ เผลอห่อไหล่ไปกับััร้อนที่เขาเม้มดูดยอดอกแรง ๆ เขาค่อย ๆ ปาดเลียความอวบอิ่มอย่างเชื่องช้า เธอแอ่นตัวขึ้นหลับตาเม้มปากแน่นรับความเสียวซ่านนั้น
ปลายนิ้วเรียวยาวตรงเข้าไปัักับส่วนที่อ่อนไหวที่สุดบนร่างกายของเธอ กิตติกากัดปากกลั้นเสียงครางเอาไว้เมื่อนิ้วเรียวนั้น แหวกและแทรกเข้าไปยังรอยแยกที่เปียกชื้นช้า ๆ
“พร้อมแล้วนี่”
อัคนีดันนิ้วเข้าไปััส่วนอ่อนนุ่มด้านใน นิ้วหัวแม่มือก็ทำหน้าที่หมุนวนเกสรที่ตูมเต่ง กิตติการับความรัญจวนที่อยากจะต้านทานจนเธอต้องผวากอดคอเขาไว้แน่น
ใบหน้าคมเคลื่อนต่ำลงไปหาเนินเนื้อนูนสวย กิตติกากลั้นหายใจมองเขาทุกการเคลื่อนไหวนั้นของเขา ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดไปตามทางที่เขาเคลื่อนตัวทำให้เธอเกร็งสะท้านไปทั้งตัว
ปลายลิ้นสากปาดเลียรอยแยกนั้น ก่อนจะแหวกกลีบดอกไม้งามสีสวยที่มีน้ำหวานเปียกฉ่ำดูความสวยงามของเธอ อัคนีดูดกินความหวานจนเกิดเสียง ใช้ลิ้นตวัดหลอกเย้าจนเธอไม่สามารถกลั้นเสียงครางเอาไว้ได้ ร่างกายเกร็งยกสะโพกรับลิ้นร้อนเขาอย่างน่าอาย
เสียงครางหวานเล็ดลอดผ่านริมฝีปากที่เม้มแน่นเข้าหากัน เพื่อปิดกั้นเสียง แต่ก็ไม่สามารถอดกลั้นได้เพราะ ทั้งมือและลิ้นของอัคนีทำหน้าที่สอดประสานกันช่วยกันสร้างความซ่านเสียวของส่วนที่ไวต่อความรู้สึกสาวได้เป็อย่างดี
กิตติกาส่ายหน้าไปมาเมื่อความรู้สึกใกล้ถึงความสุขสมที่กำลังจะแตกโพล่งในกายเธอ มือบางสอดเข้าไปยังกลุ่มผมดำที่อยู่ตรงหว่างขากดเขาเอาไว้
สะโพกหนันแน่นยกขึ้นตอบรับไปตามจังหวะที่เรียวลิ้นปาดขึ้นลง และเรียวนิ้วที่ขยับเข้าออกกระตุ้นจุดอ่อนไหว
กิตติกาแหงนหน้าขึ้น แอ่นตัวส่งเสียงครางออกมาอย่างซ่านเสียวเกินจะทนไหว
“ชอบไหม?” เขาถามพร้อมกับยิ้มกริ่ม กดจูบลงที่แก้มนวลเบาๆ อัคนีชอบทุกครั้งที่เห็นเธอนอนหอบหายใจด้วยความสุขใต้ร่างเขาแบบนี้
กิตติกาไม่ได้ตอบคำถามนั้นได้แต่นอนอ่อนระทวยหายใจหอบแรงมองเขาด้วยสายตาฉ่ำปรือ อัคนีค่อย ๆ ถอดถอนนิ้วออกมาจากดอกไม้งามของเธอ ปาดเลียความเปียกชื้นที่ติดตามนิ้วออกมาด้วย กิตติกามองทุกการกระทำของเขาแต่กลับเป็คนที่สะเทิ้นอายซะเอง
อัคนียืดตัวขึ้น ดึงกางเกงในตัวจิ๋วของเธอออกไปตามเรียวขา ก่อนจะจัดการเสื้อผ้าที่เหลือบนร่างของเธอให้หมดไป แล้วก้มไปหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ แล้วค่อยกลับขึ้นมาถอดเสื้อโปโลกับกางเกงของตัวเองออกอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้เธอรอนาน
“มองแบบนี้ อยากจับตรงไหนบอกผมได้นะ” เขาถามเมื่อเห็นว่าเธอเองก็จ้องเขาอยู่เช่นกัน
“บ้า” เธอว่าแล้วเสมองไปทางอื่น
“คุณอยากทำอะไรตรงไหนก็ได้ ผมอนุญาต”
“ไม่ทำ”
“ไม่ทำเหรอ...งั้นผมทำเอง เอาไว้คุณค่อยทำรอบหน้าก็ได้”
อัคนีจับขาเธอแยกออกจาก เขาถูไถส่วนโค้งมนเข้ากับรอยแยกแย้มที่เต็มไปด้วยความเปียกชื้น ภายในของเธอเต้นตุบเต็มไปด้วยความถวิลหาจากการััของเขา
อัคนีส่งความแข็งขึงเข้าไปในตัวเธอช้า ๆ กิตติกาแอ่นตัวขึ้นไปกับความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นจากการฝากฝังตัวตนของเขาในตัวเธอ ใบหน้าหล่อเหลามองเธอด้วยแววตาหวานฉ่ำ กระซิบบอกเธอเสียงพร่า “ผมจะทำให้คุณมีความสุขที่สุด”
อัคนียกตัวขึ้นหลังจากที่ส่งตัวตนเข้าไปจนสุด มือหนาสอดประสานเข้ากับมือเรียวนุ่มทั้งสองข้างยกขึ้นไปชูไว้ข้างศรีษะของเธอ
เขาขยับสะโพกช้า ๆ กิตติกายกขาขึ้นโอบรัดเอวสอบเพื่อขยับสะโพกรับกับจังหวะที่เขาส่งมาเข้ากัน จนไม่สามารถอดกลั้นความสั่นสะท้านของร่างกายได้
อัคนีก้มลงซุกหน้าเข้าไปที่ลำคอของเธอ ถูไถจมูกสูดกลิ่นของเธอจนพอใจ แล้วค่อยเร่งสะโพกขยับระรัวกระชั้นขึ้น แรงขึ้น จนทำให้เกิดเสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นในห้องโถง
“คุณ...ไฟ” กิตติกาเรียกชื่อเขาก่อนจะส่งเสียงครางยาวออกมา ร่างอวบเกร็งสั่นสะท้าน กลางกายสาวตอดรัดเขาเป็จังหวะตุบ ๆ กิตติกาแพ้ให้กับความ้าทางกายที่เขาปรนเปรออย่างถึงใจอีกครั้ง
อัคนีสอดเสยเข้าไปอีกไม่กี่ครั้งร่างหนาก็กระตุกเกร็งตามเธอไป ปลดปล่อยความอุ่นร้อนเข้าไปในตัวเธอจนหมดสิ้น
“ถอยออกไปได้รึยังคะ” กิตติกาถามคนที่ยังไม่ยอมลุกจากตัวเธอ
“...”
“ฉันหนัก” เมื่อเห็นว่าเขายังไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นเธอจึงบอกเหตุผลที่ถาม
อัคนีลุกขึ้น ถอนตัวตนออกจากตัวเธอ
“อื้อ...” กิตติกาครางฮือด้วยความเสียวเมื่อแก่นกายยาวครูดออกไปตามความอ่อนนุ่มและจุดเสียวในตัวเธอ เธอมองค้อนเขาเมื่อรู้ว่าเขาจงใจแกล้งทำให้เกิดความเสียวซ่านนี้
“คุณไฟ!!!” กิตติกากำลังคว้านหาเสื้อผ้ากลับมาสวมใส่ ต้องร้องออกมาด้วยความใเมื่อร่างของเธอลอยหวืดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“หือ”
“ฉันจะเก็บเสื้อผ้า”
“ทิ้งไว้นี่แหละ เดี๋ยวค่อยมาเก็บ” อัคนีไม่สนใจคำบอกของเธอ เขาอุ้มพาร่างบางตรงไปยังห้องน้ำ ดันเธอให้ยืดชิดกับผนัง
“พอแล้วนะคะ”
“พอที่ไหน นี่เพิ่งจะอุ่นเครื่องเองนะ” เขาตอบหน้ามึน
“แต่ฉันเหนื่อยแล้ว” เธอบอกเขาเสียงอ่อน
เขาเชยคางเธอขึ้น “กริ่ง...แค่นี้ไม่ทำให้คุณเหนื่อยหรอก”
กิตติกาเม้มปากเน้น มองเขาตาเขียว ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ดูเคร่งขรึมจะบ้ากามได้ขนาดนี้
อัคนีพาเธอไปล้างตัวแล้วก็สำรวจในห้องน้ำอีกรอบ ก่อนจะพาเธอมาสำรวจเตียงของโรงแรมว่ามีความนุ่มสบายมากแค่ไหนอีกรอบ กิตติกาเหนื่อยหอบกับกิจกรรมทัวร์ห้องของเขาจนไม่สามารถกระดิกไปไหนได้ ทำได้แต่นอนสลบไสลไปหลังจากที่ผ่านกิจกรรมเร่าร้อนและเสร็จสมบนเตียงในครั้งสุดท้าย
ค่ำคืนใต้แสงจันทร์และเสียงคลื่นที่ซัดเข้าชายหาดเบา ๆ กิตติกานั่งกอดอก หน้าตาบึ้งตึง ริมฝีปากเม้มแน่น แววตาสะท้อนถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ทั้งที่ในร้านอาหารตกแต่งด้วยโคมไฟแสงสีเหลืองนวลห้อยระย้าลงมาจาก้า มีแต่ความโรแมนติกเต็มไปหมด
ช่างแตกต่างกับอัคนี ที่กำลังนั่งอมยิ้มส่งสายตาซุกซนมองเธออยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนแรกเขาดึงเก้าอี้ให้เธอมานั่งข้าง ๆ แต่หญิงสาวกับสะบัดหน้าเดินหนีไปนั่งฝั่งตรงข้ามแทน มิหนำซ้ำยังส่งสายตาเขียว ๆ มองมาไม่หยุด
อัคนีรู้ว่าเธอกำลังเคืองเขาที่ใช้แรงงานร่างกายเธอ จนหญิงสาวอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแบบนี้ กะว่าจะนอนยาวแต่ก็ถูกปลุกขึ้นมาเพื่อให้มาทานข้าวกับเขาที่นี่อีก
“คุณอยากกินอะไร?” เขาถามอย่างเอาใจ
กิตติกาเหลือบตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี “ไม่หิว” เธอตอบห้วน ๆ
“จริงเหรอ...ใช้แรงไปตั้งเยอะไม่หิวได้ไง ถ้าไม่หิวนี่แสดงว่าคุณถึกมากเลยนะ”
“...”
ร่างสูงลุกขึ้นไปนั่งข้างเธออย่างถือวิสาสะ “น๋า...บอกหน่อยสิว่าอยากกินอะไร ร้านนี้อร่อยทุกอย่างเลยนะ”
กิตติกามองค้อนเขาแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น
อัคนีหัวเราะในลำคอ ไม่คิดว่าจะได้เห็นมุมน่ารักของเลขาสาวสุดมั่นของเขาแบบนี้
“สั่งเร็ว พนักงานยืนรอนานแล้ว”
กิตติกาตวัดสายตาค้อนเขาอีกรอบ อัคนีอมยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป แค่มานั่งไม่ถึงสิบนาทีเขาโดนเธอส่งสายตาแบบนี้ไปกี่ครั้งแล้วนะ
กิตติกาหยิบเมนูขึ้นมาสั่งอาหารกับเครื่องดื่มเสร็จ เธอก็นั่งหน้าตูมเหมือนเดิม
“ขอโทษ กลับไปเดี๋ยวให้นอนเต็มที่เลย ผมกลัวคุณหิวเลยต้องปลุกขึ้นมาให้กินข้าวก่อน เลิกงอนได้ไหมครับ” เขาบอกเธอเสียงอ่อนพร้อมกับโอบไหล่บางเอาไว้ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มคนขี้งอนอีกสองฟอด
กิตติกายังนิ่งแต่ไม่ได้มีท่าทางปัดป้องเขา คิดตามแล้วก็รู้สึกดีที่เขาเป็ห่วงกลัวว่าเธอหิว แต่เธอง่วงนอนนี่นา
“งั้นให้ฉันกลับไปนอนที่ห้อง...”
“ไม่ได้ ถ้าคุณจะไปนอนห้องของคุณผมก็ตามไปอยู่ดี เพราะงั้นมานอนห้องใหญ่กับผมดีกว่า”
กิตติการีบหุบปากฉับกลับมานั่งหน้าตูมเหมือนเดิม ทำไมเขาถึงเอาแต่ใจแบบนี้นะ แต่เมื่ออาหารทยอยมาเสิร์ฟ กลิ่นหอม ๆ ก็เรียกน้ำย่อยในกระเพาะของเธอได้ดี ตอนแรกที่ว่าไม่หิวนั้นลืมไปสิ้น
อัคนีหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเธอมองอาหารตาเป็ประกาย ไหนบอกว่าไม่หิวไง เขาทำหน้าที่ตักข้าวสวยร้อน ๆ ให้เธอ ก่อนแกะกุ้งตัวโตไปจ่อที่ริมฝีปากเธอ “กินก่อน แล้วค่อยงอนต่อ”
กิตติกาหันขวับ ตวัดสายตาใส่เขา แต่กลิ่นหอมของเนยกระเทียมที่เคลือบอยู่บนกุ้งก็ทำให้เธอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เธอเม้มปากแน่น พยายามใจแข็ง
“อร่อยนะ” อัคนีทำเสียงอ้อน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววออดอ้อนเสียจนเธอเริ่มใจอ่อน
สุดท้าย กิตติกาก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะอ้าปากรับกุ้งที่เขาป้อนเข้าไป พอได้ลิ้มรสเนื้อกุ้งแน่น ๆ กับซอสเนยกระเทียมหอมกรุ่นที่เข้ากัน ทำให้รู้มันเป็จริงอย่างที่เขาพูด อร่อยมากจนแทบลืมความโกรธไปเลย
อัคนียิ้มกว้างอย่างพอใจ “อร่อยใช่ไหมล่ะ”
กิตติกากลืนอาหารลงคอ แล้วพยักหน้าตอบเขา
“งั้นต้องกินอีกคำ” อัคนีรีบแกะกุ้งให้เธออีกตัว
กิตติกาแสร้งทำเป็ลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาป้อนอีกคำ... และอีกคำ บรรยากาศโรแมนติกของร้านอาหารริมทะเล บวกกับความเอาใจใส่ของอัคนี ค่อย ๆ ทำให้ความโกรธที่มีอยู่ก่อนหน้าหายไปหมด ที่เหลือมีแต่ความใส่ใจจากเขาล้วน ๆ
หลังจากอิ่มท้องอัคนีจูงมือเธอมาที่บาร์ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เลือกที่นั่งตรงชานระเบียงที่ยื่นออกไปทางชายหาด เพราะสามารถมองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วก็เป็โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าเปิดโล่งเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า
เสียงเพลงเบา ๆ คลอไปกับบรรยากาศของบาร์ริมทะเล กิตติกานั่งจิบค็อกเทลผลไม้สีสวยด้วยท่าทางสบาย ๆ หลังจากที่อารมณ์ของเธอดีขึ้นจากอาหารทะเลเมื่อครู่
อัคนีกลับมาจากห้องน้ำ สายตากลับสะดุดกับภาพที่ไม่คาดคิดมีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกิตติกา
ใบหน้าแต้มรอยยิ้มเป็มิตรท่าทางดูสนิทสนม สายตาคมจ้องทั้งคู่เขม็ง แค่เห็นเธออยู่ใกล้ใครบางคนที่ไม่ใช่เขา อัคนีก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
เขาก้าวฉับ ๆ เข้าไปหาทันที ดวงตาคมเข้มของอัคนีมองทั้งคู่ด้วยความไม่พอใจ
“กริ่ง” น้ำเสียงทุ้มของเขาดึงสายตาของทั้งคู่ให้หันมามอง เขาเดินไปยืนข้างเธอ เขาเอื้อมมือโอบรอบเอวของกิตติการาวกับจะประกาศความเป็เ้าของ
กิตติกาชะงัก ก่อนจะแนะนำผู้ชายตรงหน้าให้เขารู้จัก “นี่กวินค่ะ เพื่อนฉันเอง”
อัคนีพยักหน้ารับรู้ แต่สายคมยังคงมองผู้ชายที่เธอบอกว่าเป็เพื่อนอย่างไม่เป็มิตรเอาซะเลย
“ส่วนนี่คุณไฟ เป็...”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อัคนีพูดสวนขึ้นมาก่อนที่เธอจะแนะนำเขาเสร็จ เขาไม่อยากให้เธอแนะนำว่าเขาเป็เพียงเ้านายของเธอ
“อ๋อครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” กวินบอกพลางยิ้มให้แบบที่คิดว่าเป็มิตรสุด ๆ แต่ก็เป็รอยยิ้มที่เกร็งรจนรู้สึกได้
“คุยกันเสร็จรึยังครับ?” อัคนีถามเขาด้วยรอยยิ้มเย็น
“เอ่อ ครับ เสร็จแล้วครับ” กวินยิ้มแห้ง ๆ แล้วพยักหน้ารับ
“งั้นเราสองคนขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับ”
อัคนีไม่รอให้เธอมีโอกาสท้วงติงอะไร เขาประคองเธอออกมาจากตรงนั้น เดินกลับมาที่โต๊ะของพวกเขาด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่น กิตติกาแอบอมยิ้มกับตัวเองนิด ๆ เพราะรู้ว่าท่าทางของเขาที่ทำแบบนั้นเพราะอะไร
“ทำไมทำแบบนั้นละคะ” เธอถามคนหน้าตึง
อัคนีโน้มหน้าเข้าไปใกล้ “ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งกับของของผม”
กิตติกาเบะปากใส่เขาอย่างหมั่นไส้ ทีตัวเองมีผู้หญิงมาเกาะแขนไม่เห็นใครเค้าจะว่าเลย
แต่คำบอกของเขาก็ทำให้เธอใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
วันนี้ทั้งอัคนีและกิตติกาเข้ามาประชุมกับผู้บริหารของโรงแรมในเครือ ทุกอย่างเป็ไปอย่างราบรื่นแผนการพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างรีสอร์ตก็ดำเนินไปได้เร็วกว่าที่คิดไม่มีอะไรน่าเป็ห่วง
หลังจากเสร็จงานอัคนีพากิตติกาไปนั่งล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกดินเป็การส่งท้ายก่อนกลับกรุงเทพ
แสงสีส้มของอาทิตย์ยามเย็นทาบทับเส้นขอบฟ้า อัคนีถือแก้วไวน์ในมือ พลางมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ กิตติกาอยู่ในชุดเดรสสีขาวพลิ้วไหว
หญิงสาวยืนถ่ายรูปบรรยากาศโดยรอบ ก่อนจะเดินกลับมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา
“วิวตรงมุมนี้สวยมากเลยค่ะ” เธอยืนมือถือให้เขาดูรูปที่เธอถ่าย
"สวย..." เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ
“จริงเหรอคะ” หญิงสาวยิ้มกริ่มเมื่อถูกเขาชมว่าถ่ายรูปสวย
“หมายถึงคุณ”
เธอเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอมือถือ "อ๋อ..เื่นี้ฉันรู้อยู่แล้วละ"
อัคนียิ้มก่อนเอนตัวไปเท้าศอกกับโต๊ะ "มั่นใจจังเลย"
“มั่นใจสิคะ หลักฐานเห็นชัดขนาดนี้”
“แต่ผมพูดจริง ๆ นะ”
กิตติกาหัวเราะเบา ๆ พลางหลบตา มือเรียวหยิบส้อมขึ้นมาตักอาหารตรงหน้าขึ้นมาชิม "ปากหวานจังนะคะวันนี้"
"จริง ๆ ก็หวานทุกวันนะ คุณน่าจะรู้ เพราะชิมอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ" เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบพร้อมส่งสายตากรุ่มกริ่ม
เธอกระแอมก่อนจะทำเป็ไม่สนใจคนตรงหน้า
อัคนีวางแก้วไวน์ลง ก่อนเอื้อมมือไปจับมือเธอ "ตอนนี้อยากชิมดูไหมว่าหวานเหมือนเดิมรึเปล่า"
“ไม่ละคะ ตอนนี้ยังไม่อยากของหวาน”
"ของคาวก็มีนะ"
“ทะลึ่ง”
อัคนีหัวเราะจนตาหยี่ที่สามารถแกล้งเธอได้ ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบเสียงทุ้มข้างหู "อยากเมื่อไหร่ก็บอก ผมพร้อมเสิร์ฟเสมอ"
“กินองุ่นนี่สิคะ ปากจะได้ไม่ว่าง”
ใบหน้ากิตติกาขึ้นสี เธอเบือนหน้าหนี แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ความสุขเหมือนจะรายล้อมคนทั้งคู่เอาไว้ขณะที่ดวงอาทิตย์ดวงกำลังจะลับขอบฟ้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้