เล่มที่ 3 ตอนที่ 66 ผู้ที่ทำร้ายจิ่งเฉิน ไม่พ้นจี้ฉงเหวิน
คล้อยกันกับฤดูใบไม้ผลิที่มาถึง การสอบระดับจังหวัดก็กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ หลายวันมานี้เฉินเจ๋อิเร่งให้จ้าวจือชิงรีบจัดการลั่วชีเหนียงให้อยู่หมัด
“เ้าบอกมาสิว่าไฉนจึงไร้ความสามารถเช่นนี้ แค่ผู้หญิงคนเดียว เ้าอาศัยอยู่ในบ้านพวกเขา แล้วเหตุใดจึงยังจัดการไม่ได้!” เฉินเจ๋อิมองดูท่าทางซื่อบื้อของเขาจากนั้นจึงด่าทอ “สมกับเป็เ้าทึ่มจริงๆ ไม่รู้จักการหุงข้าวสารให้เป็ข้าวสุกหรือ!”
ขณะเพิ่งพูดจบ บ่าวที่อยู่ด้านข้างก็แทรกขึ้นมา “เกรงว่าเขาคงไม่รู้ว่าจะจัดการเื่นี้อย่างไรขอรับ? นายน้อยจะให้ข้าหาผู้หญิงมาสอนเขาหรือไม่ขอรับ?”
คำพูดนี้ดึงสติให้เฉินเจ๋อิ ใช่แล้ว เ้าทึ่มคนนี้คงยังไม่เคยมีประสบการณ์ เกรงว่าคงไม่รู้จักความสุขสม ตกดึกคืนนั้นจึงพาจ้าวจือชิงไปเปิดหูเปิดตาที่หอนางโลม
นับั้แ่ชีเหนียงรู้ว่าจ้าวจือชิงติดตามอยู่ข้างกายเฉินเจ๋อิ อีกทั้งเฉินเจ๋อิยังคอยจับตาดูโรงชานมของนางทุกวันจากโรงเตี๊ยมข้างๆ ดังนั้นเวลานางอยู่ว่างๆ ก็มักจะสอดส่องดูพวกเขากลับเช่นกันว่ามีแผนอันใด
หากแต่ครั้งนี้เมื่อสอดส่องดูดีๆ กลับพบว่าจ้าวจือชิงนั้นถูกพาไปเที่ยวหอนางโลม
จ้าวจือชิงต่อต้านสถานที่แบบนี้อย่างมาก พอเข้าไปด้านในเมื่อได้กลิ่นน้ำปรุงและเครื่องประทินโฉมก็จามติดกัน หลายครั้งที่อยากเดินหนีออกไป แต่ก็ถูกเฉินเจ๋อิห้ามไว้
“คนอย่างเ้านี่ไม่รู้จักความดีงามของสตรีเสียแล้ว มานี่ พวกเ้ามาปรนนิบัติคุณชายจ้าวให้ดี”
หญิงสาวทั้งหลายโผเข้ามาหาจ้าวจือชิง แต่ด้วยหน้าตาที่ดุร้ายของเขา บนใบหน้ายังมีแผลเป็จากรอยกรีดและเต็มไปด้วยหนวดเครา ทำให้เหล่าหญิงสาวเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา หากไม่เพราะเห็นแก่เงิน พวกนางคงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้
เฉินเจ๋อินั้นคิดมอมเหล้าจ้าวจือชิงเต็มที่ แต่ใครจะรู้ว่าจ้าวจือชิงกลับคอแข็งอย่างมาก หลังจากสุราสามไหผ่านไป เฉินเจ๋อิก็เริ่มเป็ฝ่ายเมามายและพูดจาเพ้อเจ้อ จ้าวจือชิงเห็นดังนั้นก็รีบไล่หญิงสาวที่ปรนนิบัติให้ออกไป ส่วนตนเองก็คลานเข้าไปกระซิบข้างหูเขา
“นายน้อย? นายน้อย? ท่านไม่ไหวเลยนะ ดื่มอีกสักหน่อยสิขอรับ”
“ไม่ เอิ้ก ไม่ดื่มแล้ว เอิ้กๆ” เฉินเจ๋อิโบกมือปัดไปมา “ดื่มไม่ลง ไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“โถ่ นายน้อย ท่านจะสอนข้าว่าควรสยบสตรีอย่างไรมิใช่หรือ? ดื่มไปมากมายแล้ว นายน้อยยังไม่ได้สอนข้าเลย หรือว่านายน้อยเองก็ไม่เคยโอบกอดสตรีมาก่อนเช่นกัน?”
คำพูดหยั่งเชิงของจ้าวจือชิงราวกับสะกิดาแในใจของเฉินเจ๋อิเข้า ด้วยฤทธิ์สุรา เฉินเจ๋อิจึงลุกขึ้นมาและชี้หน้าด่าเขา
“สารเลว! ข้าคือ เอิ้ก เอิ้ก คนที่เ้าจะเอาไปเปรียบได้หรือ”
“ชิงเฉิงไม่ใช่คนที่สตรีอย่างลั่วชีเหนียงจะมาเทียบได้ นางคือจันทราบนฟากฟ้า ได้แค่มองไม่อาจแตะต้อง เ้าจะไปเข้าใจอะไร?”
ชิงเฉิง ชื่อนี้จ้าวจือชิงเหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เพียงแต่เขาไม่เคยสนใจเื่ในเมืองหลวงมาก่อน เห็นทีคงต้องให้ผู้เฒ่าหลิงช่วยสืบ
“เื่นั้นมันแน่นอน ลั่วชีเหนียงไหนเลยจะเทียบกับจันทร์นวลผ่องของนายน้อย เดาว่าคุณหนูชิงเฉิงผู้นี้คงมีสถานะที่ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นจะคู่ควรกับนายน้อยได้อย่างไร” จ้าวจือชิงพูดประจบสอพลอ แน่นอนว่าเมื่อเฉินเจ๋อิได้ยิน ก็อดรู้สึกมีความสุขจึงพูดมากขึ้น
“รอข้าจัดการลั่วชีเหนียงได้ ชิงเฉิงก็ต้องตกอยู่ในมือข้า ถึงเวลานั้นข้าจะดูว่าผู้ใดยังกล้าหยุดยั้งการแต่งงานของข้ากับนาง”
ดั่งที่คาด ชิงเฉิงผู้นี้คือบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องจริงๆ
จ้าวจือชิงรีบตีเหล็กตอนร้อน “เฮ้อ หากนายน้อยสมปรารถนา ข้าคงลำบากแย่ ลั่วชีเหนียงยังเอาแต่คิดถึงจี้ฉงเหวิน ตัวข้าเองก็ไม่รู้จะลงมืออย่างไร”
“จี้ฉงเหวิน?” เฉินเจ๋อิได้ยินชื่อจี้ฉงเหวินก็ดูแคลนอย่างยิ่ง “ก็แค่เ้าไก่อ่อนที่พึ่งพาสตรี เขามีอะไรน่าคิดถึงกัน เ้าแค่บอกลั่วชีเหนียงไปว่า ขาของลูกชายคนโตสกุลลั่ว จี้ฉงเหวินเป็คนหักมันกับมือด้วยตัวเอง เสือร้ายยังไม่กินลูก จี้ฉงเหวินโเี้ทารุณ เพื่อไต่เต้าอำนาจ ถึงขั้นลงมือทำร้ายลูกของตนได้ลงคอ”
“ข้าต้องคุยกับท่านผู้นั้นให้ดี คนเช่นนี้เชื่อใจไม่ได้เด็ดขาด…”
เฉินเจ๋อิบ่นพึมพำ ทั้งยังต้านทานความง่วงงุนไม่ไหว จึงฟุบลงกับโต๊ะและหลับไป
เพียงแต่สิ่งที่เฉินเจ๋อิพูดออกมากลับทำให้จ้าวจือชิงโมโหจนตัวสั่น ขาของจิ่งเฉินถูกจี้ฉงเหวินผู้เป็บิดาตีจนหัก! เหตุใดไม่เคยได้ยินชีเหนียงพูดมาก่อน กระทั่งจิ่งเฉินก็ปิดปากไม่ยอมเอ่ยถึงเื่นี้ มิน่า ตอนที่เขาเคยหยั่งเชิงลั่วจิ่งเฉิน เมื่อเอ่ยถึงเื่ที่ขาหัก สีหน้าของลั่วจิ่งเฉินก็ดูย่ำแย่ขึ้นมาทันใด กระทั่งแผ่กลิ่นอายความมืดมนออกมาทั่วตัว
ตอนนั้นเขายังคิดว่าลั่วจิ่งซีอาจจะมุทะลุและก่อเื่ข้างนอกจนทำให้ลั่วจิ่งเฉินได้รับาเ็ แต่จากที่เห็นตอนนี้ กลับกลายเป็ว่าลั่วจิ่งเฉินาเ็จากการโดนทำร้ายโดยบิดาบังเกิดเกล้าที่จิตไม่ปกติ! ด้วยเหตุนี้…เ้าคนชั่วช้าจี้ฉงเหวินจึงสมควรชดใช้บาปกรรม!
จี้ฉงเหวิน เ้ารอก่อนเถอะ! ความทรมานที่อาเฉินได้รับ ข้าจะให้เ้าชดใช้เป็ร้อยเท่าพันทวี
......
จ้าวจือชิงกลับบ้านสกุลลั่วด้วยสีหน้าตึงเครียด จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปห้องของลั่วจิ่งเฉินโดยไม่บอกกล่าว
เมื่อเห็นจ้าวจือชิง ลั่วจิ่งเฉินถึงกับใ ทั้งสองไม่ถูกกันมาโดยตลอด พอเจอหน้ากันต่างฝ่ายก็มักจะหาเื่กันเสมอ แต่เหตุใดวันนี้จ้าวจือชิงถึงได้มาที่ห้องของตน
“ท่านมา…” ยังไม่ทันได้ถามคำถามจบ ลั่วจิ่งเฉินก็สังเกตเห็นสายตาของจ้าวจือชิงที่เผยความรู้สึกหลากหลายออกมา ทั้งเ็ป รู้สึกผิดและโกรธแค้น
ใครหาเื่คนผู้นี้กัน เหตุใดเขาถึงดูผิดปกติเช่นนี้
เดิมทีจ้าวจือชิงอยากเอ่ยถามเื่ขาที่หักจากลั่วจิ่งเฉิน แต่พอมาอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มเข้าจริงๆ กลับไม่รู้ว่าควรเอ่ยถามอย่างไรดีและควรถามด้วยสถานะอะไร
ชั่วขณะนั้นจ้าวจือชิงรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก จึงได้แต่บังคับให้ตนเองเค้นเสียงออกมา “ขาของเ้า หายดีแล้วหรือ?”
ลั่วจิ่งเฉินขมวดคิ้ว “ประหลาด”
เมื่อเห็นเขาไม่ยอมตอบคำถามตนเอง จ้าวจือชิงจึงยกขาของลั่วจิ่งเฉินขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด
“ท่านจะทำอะไรน่ะ? จ้าวจือชิง เ้าคนบ้าทำอะไรน่ะ...” เหตุใดอยู่ๆ จึงมาเลิกกางเกงเขาขึ้นกัน ลั่วจิ่งเฉินดิ้นรน แต่ไม่อาจสู้แรงได้ สุดท้ายก็ถูกจ้าวจือชิงจับข้อเท้าไว้
จากนั้นจ้าวจือชิงก็ตรวจดูขาของลั่วจิ่งเฉินอย่างละเอียดก่อนจะยื่นมือไปััตำแหน่งของกระดูกที่เคยหัก นับว่าเติบโตอย่างเข้ารูปเข้ารอย แม้ว่ากล้ามเนื้อจะอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่ไม่น่าห่วงเท่าใด ขอเพียงกระดูกไม่เป็ไร หากฝึกฝนให้มากหน่อย คาดว่าคงฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงได้แน่
ขณะที่เขากำลังคำนวณในใจ มือก็ออกแรงอย่างแ่เบา เมื่อเห็นลั่วจิ่งเฉินจัดการความเรียบร้อยของตนเสร็จ ก็สังเกตเห็นสีหน้าหลากหลายจากเด็กหนุ่มที่มองมาที่ตน ทั้งแววตาโกรธเคืองที่ปะปนไปด้วยความโกรธและขัดเขิน
เอาล่ะสิ ตนเองร้อนใจจนทำให้เขาโกรธอีกแล้ว
“แค่กๆ ข้าก็แค่เป็ห่วงเ้า ไม่ได้คิดเป็อื่น ในเมื่อกระดูกของเ้าหายดีแล้ว การสอบหลังจากเดือนนี้ต้องพยายามให้มากนะ”
จ้าวจือชิงแสร้งทำเป็กำชับไม่กี่คำ จากนั้นรีบอาศัยจังหวะที่ลั่วจิ่งเฉินยังไม่ะเิอารมณ์หนีออกจากห้องอย่างรีบร้อน
ลั่วจิ่งเฉินมองดูจ้าวจือชิงที่ออกจากห้องตนไปด้วยสภาพลุกลี้ลุกลน ตำแหน่งข้อเท้าที่โดนจับเมื่อครู่ยังหลงเหลือความร้อนอยู่ ในอดีตเขาวาดหวังมากเพียงใดที่จะให้มีคนมาห่วงใยตนเอง ถึงแม้ว่าตนจะไม่ยินยอมแต่อยากให้มีคนช่วยตรวจดูอาการาเ็ให้ เพียงแต่ต่อมาก็ล้มเลิกความหวัง พอมาวันนี้กลับได้รับความห่วงใยที่เคยวาดหวังในอดีตจากจ้าวจือชิง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด สายตาที่แฝงไปด้วยความห่วงใยและอบอุ่นที่มาจากจ้าวจือชิงเมื่อครู่ เขาจะไม่มีทางหวั่นไหวต่อการตัดสินใจของตนเองด้วยเื่นี้เด็ดขาด! จ้าวจือชิงเ้าเล่ห์เพทุบายเกินไป ทั้งครอบครัวรวมถึงท่านแม่ต่างก็ถูกเขาชักจูงหมด ตนเองจะไม่มีทางหวั่นไหวในเวลานี้
ชีเหนียงเห็นจ้าวจือชิงกลับออกมาจากห้องลูกชายคนโต จึงรีบเข้าไปถาม “เ้ากลับมาั้แ่เมื่อใด? เหตุใดจึงไปที่ห้องลูกใหญ่”
จ้าวจือชิงเห็นนางถาม จึงมองนางด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “ชีเหนียง ข้าอยากรู้เื่ของอาเฉิน”
“เื่ของลูกใหญ่ เกิดเื่อันใดขึ้นกับลูกใหญ่เช่นนั้นหรือ?”
-----