ร่างของมู่อี้หานค่อยๆโน้มเข้าหาตัวเธอ เพียงริมฝีปากของเขาััโดนริมฝีปากของเธอ ก็เกิดเสียงดัง เพียะ! บนใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขา มู่อี้หานลูบไปที่ใบหน้าของตัวเอง “นี่เธอกล้าตบหน้าสามีตัวเองงั้นเหรอ ได้ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
วินาทีต่อมา ริมฝีปากของชายหนุ่มบดขยี้ลงไปที่ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ ในขณะที่มือของเขาก็จับไปที่ไหล่ของหญิงสาวจนแน่น ด้วยความเจ็บเธอจึงอ้าปากออกมา ชายหนุ่มจึงฉวยโอกาสนั้นขโมยความหวานจากริมฝีปากของเธอ
มู่อี้หานทึ้งเสื้อผ้าบนร่างของเธอออก จนเสื้อของเธอหลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นผิวขาวนวลน่าหลงใหล
หยิ่นยวี๋โม่ได้สติอีกครั้ง เมื่อรู้สึกได้ถึงััเย็นเฉียบตรงอก “เอามือสกปรกของคุณออกไปซะ ฉันไม่สนุกกับโชว์เปลื้องผ้าของพวกคุณหรอกนะ คิดซะว่าฉันไม่ได้มาที่นี่แล้วกัน”
เธอผลักมู่อี้หานออกไปจนสุดแรง แล้วมองโจวลี่ฉีด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด หลังจากนั้นวิ่งออกไป
“หาน ดูท่าภรรยาใหม่ของคุณคงจะเกลียดฉันมากแน่ๆ” โจวลี่ฉีออกมาจากผ้าห่ม โดยเปลือยกายอยู่ต่อหน้ามู่อี้หาน
มู่อี้หานเหลือบมองหล่อน “เมื่อกี้เธอเห็นเค้า”
“ฉัน...” มู่อี้หานจ้องโจวลี่ฉีด้วยสายตาเ็า ทำให้หล่อนเองถึงกลับกลืนน้ำลายจนพูดอะไรไม่ออก หยิ่นยวี๋โม่วิ่งออกจากห้องนั้น ในขณะที่กดลิฟต์มือของเธอยังคงสั่น เพียงประตูลิฟต์เปิดออก เธอเดินจ้ำเข้าลิฟต์อย่างรวดเร็ว และพยายามกดปุ่มปิดลิฟต์ด้วยความร้อนรน ระหว่างที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิด เธอก็เห็นเงาของใครบางคนที่ดูคุ้นตา
แต่ เห็นแล้วมันยังไง? ภาพนั้นยังคงชัดเจน ยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความคิด และภายในใจของเธอยังคงเ็ป
การทำงานนอกเวลาของเขา คือการพลอดรักกับผู้หญิงอื่นในห้องทำงาน
แล้วเธอล่ะ? คงเป็แค่ผู้หญิงหน้าโง่ ที่โง่ซ้ำโง่ซาก แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น
ลิฟต์กำลังลงมาทีละชั้น ทีละชั้น ขาของหยิ่นยวี๋โม่ไม่มีแรงเหลืออีกต่อไป เธอเหมือนคนที่กำลังทำความสะอาดผนังลิฟต์ตัวนี้ เพราะตอนนี้ร่างของเธอค่อยๆ ไถลลงมาจนถึงพื้น ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาทั้งสองข้าง ขณะอยู่บนพื้นลิฟต์ใบหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา หยิ่นยวี๋โม่สับสนไปหมด นี่เป็ครั้งแรกที่เขาทำให้เธอกลายเป็ตัวตลก และนี่ก็เป็ครั้งแรกที่เธอต้องเ็ปถึงขั้นน้ำตานองหน้า
หยิ่นยวี๋โม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองออกมาจากห้องทำงานนั่นได้อย่างไร เธอให้คนขับรถกลับไปก่อน ตอนนี้เหลือเพียงตัวเธอที่เดินอยู่บนถนน ปล่อยให้แดดยามบ่ายแผดเผาผิวขาวเนียนของเธอ
เธอเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ราวกับิญญาที่ล่องลอย รถวิ่งสวนไปมาอยู่ข้างๆ แต่ตัวเธอกลับไม่ได้สนใจรถพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว
เมื่อครู่ท้องฟ้ายังคงเต็มไปด้วยแสงแดด แต่จู่ๆ กลุ่มเมฆก็เข้ามาแทนที่ นี่แหละสภาพอากาศของเดือนมิถุนายน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เริ่มมีเสียงฟ้าร้องและมีฟ้าแลบปรากฏออกมา ในเวลาปกติหยิ่นยวี๋โม่กลัววันที่ฝนตกฟ้าร้องเป็ที่สุด แต่ในวันนี้เธอกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
ในขณะที่เม็ดฝนโปรยปรายลงมาราวกับม่านน้ำตา มีเพียงเธอเดินไปอย่างไร้จุดหมาย มันเป็เม็ดฝนหรือน้ำตากันแน่ ที่ทำให้ให้เธอได้ลิ้มรสชาติของความเค็มและความขมขื่นนี้ เธอหลงรักเขามาสิบปีเต็มๆ แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้รักเธอเลย แต่เธอยังยอมโง่แต่งงานกับเขา เพราะคิดเพียงว่า หากทำดีกับเขา เขาอาจจะเห็นถึงความดีของเธอบ้าง
แม้ว่าหนึ่งสัปดาห์ในการแต่งงาน เขาจะไม่ได้แตะต้องตัวเธอเลย ทั้งหมดนี้เธอรับได้ แต่เมื่อเห็นคนทั้งคู่ในร่างเปลือยเปล่าระหว่างร่วมรักกัน ก็ทำให้หัวใจของเธอแตกออกเป็เสี่ยงๆ
ตลอดทั้งบ่าย เธอยังคงเดินต่อไปแบบไร้สติ จนกระทั่งฝนหยุดตกและท้องฟ้าเริ่มมืดลง หยิ่นยวี๋โม่มองไปรอบๆ ซึ่งดูแปลกตา เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน
ในตอนนี้เธอยังไม่มีที่ไปไม่ใช่หรือ? คฤหาสน์ตระกูลหยิ่นก็ไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว ส่วนบ้านใหม่ เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะยังกล้ากลับไปที่นั่นอีกไหม? บางทีถ้าเธอกลับไป แล้วต้องเจอกับเหตุการณ์ที่เหมือนกับในห้องทำงานนั่นอีกครั้ง ตัวเธอจะยังทนไหวไหม? ชีวิตการแต่งงานของเธอเพิ่งจะเริ่มต้น แต่เป็เพราะความฝืนใจ มันกำลังทำให้ชีวิตเธอเหมือนตายทั้งเป็
หยิ่นยวี๋โม่กำลังขวัญหนีดีฝ่อ ยังคงเดินอย่างไร้สติ ถนนโล่งกว้างที่ยิ่งเดินก็ยิ่งเงียบลงทุกที รถที่สัญจรไปมาก็เริ่มน้อยจนบางตา เธอรู้สึกเหมือนว่ายิ่งมองออกไปก็ยิ่งเลือนรางเพราะแสงไฟสลัวริมถนน ทันใดนั้นกลับมีแสงไฟสว่างจ้าออกมาจากที่ไกลๆ ทำให้ตาของเธอพร่ามัว เอี๊ยด! เสียงเบรกรถดังขึ้น ในขณะที่รถไหลครูดไปตามถนน จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าหยิ่นยวี๋โม่ไม่ถึงสิบเิเ
“เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มที่เบาะหลังถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ ทว่าไม่ใช่เพราะการเบรกเมื่อครู่แต่อย่างใด
“นายน้อย เดี๋ยวผมลงไปดูให้เองครับ” ชายวัยกลางคนลงจากด้านคนขับรถ เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีชมพูสลบอยู่ด้านหน้ารถ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังจึงตามลงมา และเห็นหญิงสาวที่กำลังสลบอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเธอขาวซีดไร้สีเืบนใบหน้า ผมเผ้าเปียกปอนของเธอมีบางส่วนติดอยู่ตามใบหน้า เขาย่อตัวลง และแตะไปที่หน้าผากของเธอ ความร้อนจากร่างบางแผ่ซ่านเข้ามาที่มือของเขา
เธอเป็ไข้แล้วละ
เขาไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเื่ของคนอื่นสักเท่าไหร่ แต่ในครั้งนี้เขากลับทำแบบนั้น ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร มันเป็แค่ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เขาก้มตัวลงช้อนกายหญิงสาวขึ้นร่างเบาหวิวของเธออยู่ในอ้อมแขนของเขา และพาเธอขึ้นนั่งในรถ
“ไปโรงพยาบาล” เขาพูดเพียงสามคำเท่านั้น จากนั้นเขาก็มองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขน ในใจของเขารู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็นึกไม่ออก เขาเคยเจอเธอมาก่อนหรือเปล่า? คิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้น จนกระทั่งพาเธอมาถึงโรงพยาบาลในที่สุด
คนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยยังไม่ได้สติ แต่ชายหนุ่มในเชิ้ตสีขาวยังคงยืนอยู่ด้านหน้าเตียง จ้องมองหยิ่นยวี๋โม่อยู่แบบนั้นโดยไม่ขยับไปไหน
“ทำไมเธอยังไม่ฟื้นสักที?” เสียงที่เย็นะเืดังขึ้นถามพยาบาลที่อยู่ข้างๆ
“คุณคะ เธอเป็ไข้อยู่นะคะ ถึงจะฉีดยาแล้ว แต่ร่างกายของเธอยังอ่อนเพลียมาก คงยังไม่ฟื้นตอนนี้หรอกค่ะ” พยาบาลมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น แม้สีหน้าของเขาจะเ็า แต่ยังปรากฏความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา จนกระทั่งคนขับรถเข้ามาในห้องผู้ป่วย “นายน้อย ท่านต้องรีบไปขึ้นเครื่องแล้วนะครับ” ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วย
เมื่อหยิ่นยวี๋โม่ลืมตาขึ้น มองไปรอบกายมีแต่สีขาวเต็มไปหมด เธอมาอยู่โรงพยาบาลได้อย่างไรกัน? ความทรงจำที่มีอยู่ก็เลือนรางเหลือเกิน
“คุณผู้หญิงฟื้นแล้ว” พยาบาลคนหนึ่งเข้ามาเห็นหยิ่นยวี๋โม่กำลังตื่นขึ้น
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” หยิ่นยวี๋โม่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ความทรงจำของเธอหยุดอยู่แค่ก่อนที่เธอจะล้มลงไปเท่านั้น “คุณผู้หญิง คือแบบนี้นะคะ มีผู้ชายคนหนึ่งมาส่งคุณที่นี่ ดูแล้วท่าทางเขาก็ดูแลคุณดีนะคะ” พยาบาลพูดขึ้น เธอคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าคงจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็ใคร
หยิ่นยวี๋โม่ออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่มืดสนิท ดูเหมือนว่าตอนนี้คงจะเป็เวลามืดค่ำแล้ว เธอเปิดผ้าห่มออกพร้อมลุกลงจากเตียง แต่ก็ถูกพยาบาลห้ามเอาไว้ “คุณผู้หญิงคะ ตอนนี้คุณยังลุกจากเตียงไม่ได้นะคะ คืนนี้ต้องดูอาการที่โรงพยาบาลก่อน ถ้าพรุ่งนี้ดีขึ้นถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้นะคะ”