หลินเฟิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อเ้าพูดจบแล้ว ข้าก็มีบางสิ่งอยากพูดเช่นกัน”
“ตอนแรกน้องชายสวะของเ้าพยายามมาแย่งห้องฝึกของข้า ผลก็คือถูกข้าไล่ออกไปเหมือนสุนัข แต่คาดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะหน้าหนาไปพาเ้ามาช่วยแก้แค้น เขาฝืนกฎของสำนักและพยายามทำลายประตูห้องฝึกตลอดหนึ่งร้อยวันเพื่อก่อกวนคนอื่น แม้กระทั่งพูดจาเหยียดหยามสหายของข้า ดังนั้นที่ข้าสังหารเขาถือว่าสมควรไหม?”
หลินเฟิงกล่าวขณะมองไปที่เฮยม่อ
“เ้าฆ่าเขามันไม่ผิด แต่…” เฮยม่อ้าพูดแต่ถูกหลินเฟิงพูดแทรกขึ้นมาว่า “เมื่อกี้เ้าบอกว่าพูดจบแล้ว ดังนั้นหุบปากซะ!”
“หืม?!”
ฝูงชนต่างตกตะลึง ชายหนุ่มคนนี้ก้าวร้าวมากและยังบอกให้เฮยม่อหุบปาก เขาคงคิดว่าสามารถทำแบบนี้ได้เพราะเวิ่นอ้าวเสวี่ยอยู่ข้างๆ?
เฮยม่อเองก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ก็ได้ พูดต่อสิ”
“เ้าบอกว่าข้าสังหารน้องชายของเ้า แต่เ้าอย่าลืมสิว่าน้องชายของเ้าฝ่าฝืนกฎของสำนัก เห็นได้ชัดว่ามันเป็เพราะเ้าอนุญาตให้เขาทำ ทำให้เขากล้ายโสโอหังใส่คนอื่น ไม่เพียงเท่านั้น เ้ายังส่งคนมาช่วยน้องชายของเ้าอีก การกระทำของเ้ามันก็เหมือนกับการฉีกหน้าข้า ในเมื่ออยากช่วยน้องชายของเ้าเอาชีวิตข้า ยังคิดว่าข้าจำเป็ต้องไว้หน้าเ้าอีกไหม? เฮยม่อ เ้าปัญญาอ่อนหรือไง?! ถึงคิดว่าคนอื่นจะยอมให้เ้าฉีกหน้าเพียงเพราะว่าเ้าแข็งแกร่งเนี่ยนะ???”
คำพูดที่แหลมคมดุจมีด ทำให้ฝูงชนพากันตกตะลึงจนตาค้าง
“แม้ว่าสิ่งที่เ้าพูดจะเป็ความจริง แต่แล้วยังไง?” เฮยม่อกล่าวอย่างไม่แยแส
“ก็ไม่ยังไง ข้าพบผู้คนมากมายที่คิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ คนปัญญาอ่อนแบบนี้มีเยอะจนน่าสมเพช” หลินเฟิงหัวเราะอย่างเ็า จากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า “เ้าคงคิดว่าที่ข้ากล้าพูดเช่นนี้ เป็เพราะข้ามีเวิ่นอ้าวเสวี่ยอยู่ อย่างไรก็ตามไม่ว่าเวิ่นอ้าวเสวี่ยจะอยู่ที่นี่หรือไม่ คนอย่างเ้าก็ไม่มีปัญญาสังหารข้าอยู่ดี”
“อย่าพยายามลบล้างในสิ่งที่ข้าพูด รอจนเ้าได้ลองเองแล้วจะรู้ แต่ข้าขอเตือนว่าอย่าลองเลยจะดีกว่า ก็อย่างที่เ้าพูดทุกการกระทำย่อมมีราคาของมัน และต้องจ่ายด้วยชีวิต”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ากลัว บางคนในฝูงชนขมวดคิ้ว หลินเฟิงกล่าวว่า ไม่ว่าเวิ่นอ้าวเสวี่ยจะอยู่หรือไม่ เฮยม่อก็ไม่มีปัญญาสังหารเขาได้? ทั้งยังบอกว่าทุกการกระทำย่อมมีราคาของมันและต้องจ่ายด้วยชีวิต? นี่หมายถึงจะสังหารเฮยม่ออย่างนั้นหรือ? หมอนี่บ้าไปแล้ว
แต่หยวนซานไม่สงสัยในคำพูดของหลินเฟิง เขารู้ว่าเซียนสาวลึกลับที่ทรงพลังคนนั้นกำลังปกป้องหลินเฟิงอยู่ เขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของนางมาก่อน
แววตาของเฮยม่อแข็งกร้าวขึ้นมา “เ้าคงประเมินตัวเองไว้สูงมาก”
“ข้าไม่เคยประเมินตัวเองไว้สูง ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่น ข้าไม่เหมือนกับเ้าที่คิดว่าชีวิตของคนอื่นอยู่ในกำมือของตัวเอง หยิ่งยโสโอหังและไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา ข้าอยากถามเ้าสักข้อ ตอนนี้เ้าอยู่ในขอบเขตไหนแล้ว?”
หยิ่งยโส? ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา?
เฮยม่อยิ้มอย่างเ็า “ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ข้าไม่จำเป็ต้องออกแรงเลยสักนิด ก็สามารถบดขยี้เ้าได้”
“ฮะ?! ไร้สาระ เ้าต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ” หลินเฟิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนเหยียดหยามเฮยม่อไปว่า “เ้าเพียงแค่บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 แต่กลับพูดจาใหญ่โตราวกับเป็จักรพรรดิ เ้าคิดว่าขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ไร้เทียมทานแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“โลกนี้กว้างใหญ่นัก มีอัจฉริยะนับล้านที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ แต่เ้ายังกล้าคิดว่า ตัวเองนั้นพิเศษกว่าใคร คนอย่างเ้ามันก็เป็ได้แค่กบในกะลาเท่านั้น”
“วาจาคมคายยิ่งนัก!!!” ฝูงชนเห็นเฮยม่อพูดอะไรไม่ออก จึงคิดในใจว่าผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ของสำนักเทียนอี้ ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับเฮยม่อเลยสักคน กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ก็ยังไม่ถูกคัดเลือกให้เป็ 1 ใน 10 ศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของสำนักเลย แต่เฮยม่อกลับสามารถเป็ได้ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเฮยม่อนั้นไม่ธรรมดาเลย
แต่ถ้าจะบอกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ไร้เทียมทานแล้วล่ะก็ มันคงเป็คำพูดที่เกินจริงไปหน่อยแล้ว
หลินเฟิงกล่าวต่อไปว่า “เ้าอาจคิดว่าตัวเองนั้นน่าอัศจรรย์ เพราะสามารถติด 1 ใน 10 ศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสำนัก ดังนั้นถึงได้กล้าหยิ่งผยองขนาดนี้ แต่ในสายตาของข้า เ้าก็แค่กบในกะลาที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จ เมื่อกี้เ้าบอกว่าข้าหลบหลังเวิ่นอ้าวเสวี่ย? ถ้าอย่างนั้นเ้ากล้ารับคำท้าข้าไหม?! วันนี้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ข้าหลินเฟิงจะท้าประลองเป็ตายกับเ้า”
สิ้นเสียงของหลินเฟิง ฝูงชนก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมา
หลินเฟิงกล้าท้าประลองกับ 1 ใน 10 ศิษย์ที่ดีที่สุดของสำนัก ทั้งยังเอาชีวิตเป็เดิมพัน
หลินเฟิงเพิ่งเข้าร่วมสำนัก เขาคงไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
“เขาคงไม่รู้ว่าเฮยม่อทรงพลังขนาดไหน”
“เด็กน้อยคนนี้กำลังรนหาที่ตาย เขาบ้าไปแล้ว”
ฝูงชนต่างแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ไม่มีใครคิดว่าหลินเฟิงจะสามารถเอาชนะเฮยม่อได้ พวกเขามองว่าหลินเฟิงหาเื่ใส่ตัว
ความจริงแล้วไม่ต้องพูดถึงคนอื่นหรอก แม้แต่สหายของหลินเฟิงยังตกตะลึงจนตาค้างไปแล้ว พวกเขายอมรับว่าหลินเฟิงแข็งแกร่งมาก แต่ว่าท้าประลองกับเฮยม่อในสามเดือนข้างหน้า มันเกินตัวไปแล้ว!
เวิ่นอ้าวเสวี่ยจ้องมองไปที่หลินเฟิง เห็นได้ชัดจากสีหน้าของเขา เขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้
แน่นอน ไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร แต่สำหรับเฮยม่อแล้ว เขาเชื่อว่าหลินเฟิงคิดจะฉีกหน้าเขาต่อหน้าสาธารณชน
ศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมกับสำนักเทียนอี้ ไม่เพียงแค่สังหารน้องชายของเขา แต่ยังกล้าสร้างความอับอายให้กับเขาอีกด้วย ท้าประลองเป็ตายกับเขาในสามเดือนข้างหน้า?! นี่มันไม่ไว้หน้าเขาเกินไปแล้ว!!!
เฮยม่อแน่ใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะต้องแพร่กระจายไปทั่วสำนัก และศิษย์ที่ถูกจัดอันดับอีก 9 คน ก็คงเห็นเขาเป็ตัวตลกแน่ๆ
ในตอนนี้ใบหน้าที่ราวกับปีศาจของเฮยม่อ เริ่มดูเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาของเฮยม่อลุกโชนด้วยความโมโห
“เ้ารู้สึกว่าตัวเองเสียหน้า?” หลินเฟิงยิ้มเยาะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของเฮยม่อ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “เ้าคิดว่าตัวเองเสียหน้าอีกครั้ง? เ้าพาคนจำนวนมากมาด้วย และฉีกหน้าข้าต่อหน้าทุกคน ด้วยการป่าวประกาศว่าจะเอาชีวิตข้า ในเมื่อเ้าไม่ไว้หน้าข้า แล้วคิดว่าข้าจะไว้หน้าเ้าเหรอ?”
“ไม่ต้องมองข้าแบบนั้น ไว้เ้ามากอบกู้หน้าตาของตัวเองในอีกสามเดือนข้างหน้าจะดีกว่า แสดงพลังของเ้าให้ทุกคนได้เห็นว่าเ้า เฮยม่อ มีคุณสมบัติที่จะหยิ่งผยองหรือเป็แค่ไอ้โง่ที่หลงตัวเอง!”
เฮยม่อจ้องมองหลินเฟิงด้วยความโกรธ “สามเดือนข้างหน้า เ้าจะเข้าใจถึงความน่าสมเพชของตัวเอง”
เมื่อพูดจบเฮยม่อก็หันหลังเดินจากไป
ฝูงชนรู้สึกประหลาดใจที่สุด เมื่อเฮยม่อยอมรับคำท้าของหลินเฟิง
ในอีก 3 เดือนเฮยม่อจะทำให้หลินเฟิงต้องเสียใจที่กล้าท้าทายเขา
ฝูงชนจ้องมองแผ่นหลังของเฮยม่อ และหันกลับมามองหลินเฟิง แน่นอนว่าพวกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก แทบจะอดใจรอชมการต่อสู้ไม่ไหว
หลินเฟิงช่างบ้าบิ่นเหลือเกิน เขาท้าประลองเป็ตายกับเฮยม่อในสามเดือนข้างหน้า เขาเอาอะไรคิดว่าตัวเองจะชนะ?!
ในอีก 3 เดือนเฮยม่อจะต้องแข็งแกร่งขึ้น และสามารถทวงคืนศักดิ์ศรีของเขาได้
เวลาแค่สามเดือน สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วมันไวราวกับกะพริบตาเท่านั้น
“ไปกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าวกับสหายของตนขณะมุ่งหน้าออกจากสำนักเทียนอี้
ระหว่างทาง เวิ่นอ้าวเสวี่ยจ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าวว่า “เฮยม่ออยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 แม้กระทั่งศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 บางคนยังไม่กล้าท้าประลองกับเขา แทบไม่มีใครในสำนักที่สามารถเอาชนะเขาได้ ส่วนเ้าที่เพิ่งอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 เวลาแค่ 3 เดือนจะเอาอะไรไปชนะเฮยม่อ?! นี่มันเกินตัวไปแล้ว!!!”
หลินเฟิงยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เื่ง่าย “ข้า้าแข็งแกร่งเร็วๆ”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจความหมายที่หลินเฟิงกล่าว มันเกี่ยวกับเฮยม่ออย่างไร?
หลินเฟิงเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเวิ่นอ้าวเสวี่ย จึงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ความแข็งแกร่งมักจะมาในตอนที่ตกอยู่ในอันตราย เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายถึงชีวิต ก็จะสามารถแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินเฟิงกล่าว เวิ่นอ้าวเสวี่ยกลายเป็ตกตะลึง เสี่ยงชีวิตเพื่อแข็งแกร่ง? เด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเฟิงคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!