หลังจากยืนยันกับระบบว่าเขา้าััชีวิตอื่น และทิ้งคำพูดไว้กับหลิ่วอีอีแล้ว เขาก็หมดสติไป
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างกายที่อ่อนปวกเปียก และถูกชายวัยกลางคนที่มีพุงพลุ้ยเตะกระเด็น
“เฉินเฟิง ไอ้พวกเข้าทางหลังบ้าน [1] อย่างแก คิดว่าตัวเองเป็ใครวะ! แกกับเด็กชั่วที่เกิดจากหญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้อย่างเฉินเชียน คิดเหรอว่าคู่ควรให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันบริจาคไขกระดูกเพื่อช่วยลูกของแก? มาทางไหนไสหัวไปทางนั้น! ฉันกำลังหาวิธีรักษาต้อกระจกให้ลูกชายอยู่”
ความทรงจำมากมายของร่างเดิมไหลเข้ามาในหัวของเฉินเฟิง ส่งผลกระทบต่อิญญาข้ามมิติของเฉินเฟิงอย่างมาก จนทำให้รู้สึกหวาดกลัวไปชั่วขณะ
ณ โรงพยาบาลเย่ซื่อตงจี้ เฉินเฟิงผู้ยากจนอดอยากมาหลายวันติดต่อกัน มีเพียงน้ำเย็นและขนมปังแข็งๆ พอประทังชีวิต หลังจากถูกลุงเย่ซานปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เขาก็ไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าแพทย์ประจำที่ชั้นยี่สิบของโรงพยาบาล
เขาคุกเข่าลงอ้อนวอนหมอหวังจงหลี่ให้ช่วยรักษาลูกสาวเขา
“คุณหมอหวัง ได้โปรด ช่วยพูดกับคุณลุงเย่ซานให้ผมทีเถอะ ขอให้เขาบริจาคไขกระดูกของลูกชายเขาเพื่อช่วยชีวิตลูกสาวผมด้วย”
ร่างสูงใหญ่ของเขาคุกเข่าอยู่บนพื้น ในขณะที่หมอตัวเล็กกำลังนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้ ช่างเป็ภาพที่ขัดกันอย่างยิ่ง!
น่าเสียดายที่หมอหวังจงหลี่คนนี้สายตามืดบอดเพราะเงินตรา!
เขารู้ว่าเฉินเฟิงใช้เงินก้อนสุดท้ายไปกับการรักษาลูกสาวจนหมดแล้ว ทำให้่ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาก็เมินเฉยไม่สนใจไยดี
ครั้งนี้ถึงขนาดกล้าดูถูกและข่มขู่เฉินเฟิง
"ถ้าไม่มีเงินค่ารักษา ก็เตรียมส่งลูกแกไปโลกหน้าดีกว่า...อ้อ ลืมไป... คงไม่มีเงินพอจะเตรียมส่งลูกสาวไปโลกหน้าด้วยละสิ? ไหนๆ ฉันก็ขอเตือนไว้ว่า แม้ลูกชายของคุณชายสามจะมีสายเืมารดาเดียวกับลูกของแก แต่แกคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้เขารู้เื่ที่ก่อนเย่ชิงโหรวจะให้กำเนิดลูกชายให้เขาเรอะ จริงๆ แล้วหล่อนมีลูกสาวกับแก ลูกเขยรุ่นที่สี่ของตระกูลเย่จริงเหรอ ต่อให้พวกเราช่วยพูดตรงๆ เพราะเห็นแก่หน้าภรรยาของแกซึ่งเป็ผู้นำตระกูลเย่ แต่แกคิดว่าเขาจะยอมบริจาคไขกระดูกลูกชายเขาเพื่อช่วยลูกสาวแกที่เป็ลูคีเมียระยะสุดท้ายรึไง?!"
เฉินเฟิงได้แต่เดินโซซัดโซเซคอตกอย่างไร้เรี่ยวแรงออกไป และปิดประตูห้องด้วยความระมัดระวัง
ทว่า
ทันใดนั้นก็มีแก๊งคอลเซนเตอร์โทรมาหลอกเขาอีกครั้ง หลายวันที่ผ่านมา พวกนี้พยายามโทรมาหลอกลวงเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เฉินเฟิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขากดรับสายเปิดลำโพงโทรศัพท์แล้วะโอัดเสียงดังสนั่น
"ไม่เบื่อเหรอวะ! ฉันมันก็แค่ไอ้ยาจกคนหนึ่ง ไม่มีเงินแม้กระทั่งรักษาชีวิตลูกสาว จะตั้งใจโทรมาหลอกทำซากอะไรบ่อยๆ วะ เหนื่อยเป็ไหม? ไอ้พวกแก๊งต้มตุ๋นสารเลว มันสามวันติดแล้วนะเว้ย!"
แต่เสียงที่ดังลอดจากปลายสายกลับเป็เสียงผู้หญิงที่นุ่มนวลไพเราะชวนรื่นหู แต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้า
"มะ...ไม่ใช่นะคะ คุณชายน้อย! คุณจะเป็ยาจกได้ยังไง? คุณเป็ถึงศิษย์เอกเพียงคนเดียวของเ้าสำนักเซียนแพทย์เทวะ คุณออกจากหุบเขาเพื่อปกป้องเขตแดน ต่อสู้แลกเืจนได้รับการยกย่องเป็เทพเ้าา..."
เฉินเฟิงรู้สึกหัวร้อนจนตัดสายทิ้งทันที เพราะบทพูดหลอกลวงซ้ำๆ พวกนี้ เขาฟังจนท่องจำได้แล้ว
เฉินเฟิงบล็อกหมายเลขโทรศัพท์นี้ต่อ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเอง
'ไอ้โง่เอ๊ย ทำไมเสียงมันเพราะขนาดนี้
ไอ้ฉันมันก็เป็แค่เขยที่ถูกตระกูลเย่รังเกียจ ถ้าไอ้พวกแก๊งต้มตุ๋นพวกนี้พอจะมีสมองสักนิด คงไม่แต่งเื่เพ้อฝันให้เป็ถึงตัวตนแบบนั้น... อา ถ้าเป็เื่จริงก็คงดี แต่มันคงไม่มีทางหรอกมั้ง?
แม้จะมีความทรงจำใน่หกปีที่ผ่านมา แต่เื่ราวก่อนหน้ากลับขุ่นมัวไม่ชัดเจน
ห้าปีก่อน ฉันพาลูกสาวที่เพิ่งเกิดออกมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ตัวก็ไร้ญาติขาดมิตร ฉันจึงแต่งเข้าเป็ลูกเขยตระกูลเย่เพื่อช่วยเหลือเย่ชิงโหรว หรือบุตรสาวคนโตรุ่นที่สี่ของตระกูลเย่ซึ่งเป็หมัน เพื่อให้เธอมีสิทธิ์ในการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล' หลังจากนั้น เฉินเฟิงก็รีบเดินกลับไปที่เตียงของลูกสาว
ใกล้ห้องน้ำชายชั้นยี่สิบของโรงพยาบาล กลิ่นเหม็นฉุนรุนแรงกระจายอยู่รอบบริเวณ ห่างออกไปประมาณสามเมตรหลังประตูหนีไฟ กลับมีเตียงคนไข้เก่าๆ พังๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่
เพี๊ยะ เพี๊ยะ...
"ตื่น!"
สาวสวยคนหนึ่งซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าอย่างดีและผ้าปิดปาก เธอกำลังเขย่าตัวและตบแก้มเด็กหญิงอายุราวๆ สี่ห้าขวบบนเตียงอย่างแรง
ข้างเตียงผู้ป่วยมีเพียงถังออกซิเจนหนึ่งใบ ท่อออกซิเจนจากถังลากยาวเข้ารูจมูกเด็กน้อยบนเตียง
หนูน้อยเฉินเชียนอายุห้าขวบผู้เป็โรคลูคีเมียระยะสุดท้าย และเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันในชีวิต แต่เธอกลับถูกปลุกด้วยแรงตบ
เธอเริ่มร้องไห้งอแงเงยหน้ามองสาวสวยตรงหน้าด้วยท่าทีที่อ่อนแรง
"หนูเจ็บ ป้าตีหนูทำไม? หนูทำอะไรผิดหรือเปล่า? บอกเชียนเชียนนะคะ เชียนเชียนจะขอโทษป้า ขอให้ป้าให้อภัยเชียนเชียน"
สาวสวยคนนั้นมองผลตรวจความเข้ากันได้ของไขกระดูกและใบรับรองการตรวจหาหมู่เืซึ่งวางอยู่บนเตียงผู้ป่วย ก่อนจะก้มมองแบบฟอร์มยินยอมการปลูกถ่ายกระจกตาในมือตัวเอง
"ป้าเป็แม่ของแก ตอนนี้น้องชายต่างพ่อของแกได้รับาเ็ที่ดวงตาจนตาบอด ต้องได้รับการปลูกถ่ายกระจกตาจากแก ยังไงแกก็เป็ลูคีเมียอยู่แล้ว อีกไม่กี่วันก็ตาย ถึงแม้ว่าไขกระดูกของน้องชายต่างพ่อจะตรงกัน แต่การบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดให้แกก็ไร้ความหมายอยู่ดี นี่เป็ความรับผิดชอบของแกในฐานะพี่สาวที่จะช่วยให้น้องชายเห็นแสงสว่างอีกครั้ง!"
ได้ยินดังนั้น เฉินเชียนรวบรวมเรี่ยวแรง แล้วพยายามส่ายหัวน้อยๆ ไปมาราวกับกลองป๋องแป๋ง
"คุณป้าเข้าใจผิดแล้ว แม่ของหนูคือผู้นำตระกูลเย่ เย่ชิงโหรว! แล้วพ่อยังบอกหนูด้วยว่า จะมีน้องชายใจดีคนหนึ่งบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดให้หนู ช่วยชีวิตหนูไว้ ให้หนูจดจำบุญคุณนี้ให้ดีและตอบแทนบุญคุณเขาในอนาคต"
ผู้หญิงคนนั้นมองหนูน้อยด้วยสายตาเ็า
"ตอบแทนบุญคุณ? ฮ่าๆ อย่างแกมีค่าพอ? ไอ้พ่อจนๆ แค่หลอกแกเพื่อให้แกตายตาหลับเท่านั้นแหละ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง"
ทันใดนั้นเอง ชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยก็เดินออกมาจากโถงทางเดิน
เขาที่ได้ยินคำพูดของเฉินเชียนพอดีอยากรู้ว่าใครเป็คนพูด
"หลานสาวคนโตของฉัน เย่ชิงโหรวเป็หมันั้แ่เกิด มีลูกไม่ได้ แต่มีคนกล้ามาแอบอ้างเป็ลูกสาวเธอ? เย่กังคนนี้อยากดูให้เห็นกับตา!"
แต่เขากลับต้องแปลกใจเมื่อเห็นหน้าสาวสวย
"จู้เจินฉิงมาทำอะไรที่สกปรกๆ แบบนี้? เดินหาตั้งนาน ได้ยินจากอธิการบดีว่าเธอเจอผู้บริจาคกระจกตาให้ลูกชายของเราแล้วเหรอ?"
ทางด้านสาวสวยที่ถูกเรียกว่า จู้เจินฉิง เธอรีบซ่อนใบรับรองการตรวจหมู่เืและใบรับรองการจับคู่ไขกระดูกบนเตียงผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
เธอหันขวับไปพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับเย่กัง
"ท่านพ่อบุญธรรม กระจกตาของเด็กน้อยใกล้ตายคนนี้เข้ากับเย่เอ๋อร์น้อยของเรามาก!"
เย่กังรีบวิ่งตรงเข้าไปด้วยความดีใจ เขาแทบจะควักดวงตาของเฉินเชียนออกทันที พลางพูดด้วยเสียงหัวเราะ
"ดีเลย ยังไงเธอก็ใกล้ตายอยู่แล้ว! รีบเอากระจกตาของเธอไปปลูกถ่ายให้ลูกชายสุดที่รักของเราดีกว่า!"
แต่ชายคนนั้นต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเขาเห็นใบหน้าของเฉินเชียน
"ลูกสาวของไอ้เขยไร้ประโยชน์เฉินเฟิง เฉินเชียน?"
เมื่อเฉินเชียนเห็นเย่กัง ใบหน้าเล็กๆ ของเธอพลันซีดเผือด เธอพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
"ลุงสาม..."
เขาตบหน้าเฉินเชียนอย่างแรง ก่อนคำรามลั่นด้วยความโมโห
"มารหัวขนใกล้ตายอย่างแก กล้าดียังไงเรียกฉันว่าลุงสาม? จู้เจินฉิง อุ้มมันไปห้องผ่าตัดเลย รีบปลูกถ่ายกระจกตาให้ลูกเราตอนนี้เลย! เกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง ฉันเป็ทั้งเ้าของโรงบาลนี้และผู้บัญชาตำรวจสายตรวจ!"
เฉินเชียนกุมใบหน้าด้วยความเ็ป รวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้าย ะโร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง
"ปะป๊า! ปะป๊าอยู่ไหน... คุณลุงสามกับป้าจะควักดวงตาหนู... ปะป๊าช่วยหนูด้วย..."
ทันใดนั้น เฉินเฟิงที่อยู่ห่างจากลูกสาวเพียงสิบเมตรก็ได้ยินเสียงคำรามของเย่กังดังจากทางเตียงคนไข้
เขาได้ยินคำด่าทออย่าง 'ไอ้มารหัวขน' และ 'อุ้มมันไปห้องผ่าตัดเลยรีบปลูกถ่ายกระจกตา' จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ขอความช่วยเหลือของลูกสาว
ใจของเฉินเฟิงตกไปอยู่ตาตุ่ม เขารีบแบกขาอันหนักอึ้งวิ่งไปที่เตียงของลูกสาว
"ลูกรัก... ปะป๊ามาแล้ว..." ภายในใจเขาก็ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวและเป็ห่วงลูกสาวมาก
"ไอ้ระยำ! ปล่อยเฉินเชียนเดี๋ยวนี้!"
เฉินเฟิงพุ่งตัวเข้าไปขวางทั้งสอง
เมื่อเฉินเชียนที่ถูกจู้เจินฉิงหนีบไว้ใต้รักแร้เห็นเฉินเฟิงที่โกรธจัด เธอก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม
"ปะป๊า! ช่วยหนูด้วย! หนูโดนหนีบ เจ็บไปทั้งตัวเลย!"
เย่กังยกยิ้มฟันเหลืองอย่างชั่วร้าย
"ไอ้มารหัวขนตัวน้อย แกคิดว่าแค่พ่อของแกมาช่วย แล้วแกจะรอดเหรอ? พ่อแกมันก็แค่ยาจกขี้แพ้ นอกจากอยู่ไปให้เสียข้าวสุกแล้ว มันทำอะไรได้อีก? ต่อหน้าฉัน มันก็แค่หมาตัวหนึ่งที่ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม!"
ัมีเกล็ดย้อน [2] หากใครััก็ต้องตายกันทุกผู้คน!
ใบหน้าอันหวาดหวั่นของเฉินเฟิงกำลังกำหมัดแน่นจนส่งเสียงดังกึก
เขาคว้าถังออกซิเจนข้างตัว แล้วเขวี้ยงมันไปหาเย่กังอย่างแรงพร้อมร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง
"ไอ้แม่เ**ด!"
เชิงอรรถ
[1] เข้าทางประตูหลัง เป็คำด่ารุนแรง ใช้เหยียดคนนอกไม่นับเป็คนในบ้านเดียวกัน มักใช้กับคนที่แต่งงานเข้าบ้านแต่ไม่ถูกนับเป็สมาชิกครอบครัวที่แท้จริง
[2] ัมีเกล็ดย้อน เกิดจากความเชื่อที่ว่าใต้คางัจะมีเกล็ดที่หันไปทางตรงข้ามกับเกล็ดส่วนอื่น หากใครแตะเกล็ดส่วนนี้จะทำให้ัโกรธ สำนวนนี้จึงมีความหมายว่าตัวจักรพรรดิผู้เป็ดั่งั ใครทำให้จักรพรรดิบันดาลโทสะคนผู้นั้นต้องตาย
