หลิ่วจิ้งแค่ฟังแล้วปล่อยผ่านไปหันกลับมาเตรียมตัวรับชมคนงามบนเวทีต่อแต่คำว่าองค์รัชทายาทที่ดังเข้ามาข้างหูกลับทำให้นางเกิดความสนใจขึ้นอีก
องค์รัชทายาทเป็คนที่นางไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยคืนแรกที่นางได้เข้าเฝ้า ก็ได้พบแค่กษัตริย์แห่งชางอี้และผู้สำเร็จราชการสองคนที่เป็ผู้กุมอำนาจในแคว้นนอกนั้นก็มีเพียงเหล่าขุนนางใหญ่โตทั่วไปองค์รัชทายาทที่คนผู้นี้เอ่ยถึงคือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นชางอี้หรือเป็องค์รัชทายาทในแคว้นอื่นกัน
ไม่ว่าจะเป็องค์รัชทายาทในแคว้นใด เื่ในราชสำนักทำนองนี้ล้วนกระตุ้นความสนใจของนางทั้งสิ้น
หลิ่วจิ้งลุกขึ้นเดินไปยังผนังห้องที่ใช้เพียงผ้ากั้นเอาไว้เอียงหูติดผนังคอยฟังความเคลื่อนไหวที่อีกฟากหนึ่ง แต่ห้องข้างๆ กลับไม่มีเสียงคนและไม่ได้ยินเสียงใดเลย
สิ่งที่นางทำส่งผลให้อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอสนใจขึ้นมาพวกนางสองคนเอาหูแนบผนังผ้าตามที่หลิ่วจิ้งทำด้วยความสงสัย
“เ้านี่มันหูหนวกหรือเป็ใบ้กันแน่ ไม่รู้จักตอบรับสักคำหรือไร?” ทันใดนั้นก็มีเสียงด่าทออย่างมีน้ำโหดังขึ้นคิดว่าคนที่ถามคงจะมีโทสะเอาการ จึงโยนถ้วยชาในมือลงพื้น
เสียงฆ้องกลองบนเวทีดังกลบเสียงถ้วยชาตกกระแทกพื้นกลับเป็น้ำชาที่เดิมทีมีอยู่เต็มกากระเด็นไปทั่วทิศรวมทั้งกระเด็นมาถึงม่านกั้นห้องจนเปียกไปเป็แถบด้วย ผ้าม่านใช้มาหลายปีแล้วเมื่อถูกน้ำจึงบางลงเหมือนกระดาษขาวบาง หลิ่วจิ้งลองใช้นิ้วจิ้มลงไปผ้าม่านก็ถูกนางเจาะจนเป็รูเล็กๆ
ไม่ทำไม่เริ่ม เริ่มแล้วไม่หยุดหลิ่วจิ้งถูกกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นเข้าให้แล้ว จึงแอบมองห้องข้างๆ ผ่านรูนั้นทำเอาอวี้จิ่นกับอิ๋งเหอสองคนต้องปากอ้าตาค้างมองนาง
“ฮูหยินทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องเกินไปแล้ว” พวกนางสองคนทำได้แค่กล้าคิดกลับไม่กล้าเอ่ยออกจากปาก
หลิ่วจิ้งตั้งใจมองเข้าไปในรูโหว่สีดำทันใดนั้นก็มองเห็นสายตาที่มืดมนและเซื่องซึมคู่หนึ่ง ในห้องข้างๆมีเด็กหนุ่มอายุราวสิบกว่าปีนั่งพับอยู่บนพื้น คนคนนี้เอนตัวนอนอยู่กับพื้น เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อยทำให้มองเห็นรอยช้ำม่วงเป็จุดๆ บนผิวตัวในส่วนที่เผยออกมาจากเสื้อผ้า
หลิ่วจิ้งขมวดคิ้ว นางเคยเห็นหน้าคนผู้นี้คล้ายว่าเคยเห็นจากที่ใดสักแห่ง
ในห้องยังมีชายอีกคนเดิมทีเขายืนก้มหน้ามองเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับขึ้นไปนั่งคร่อมตัวเด็กหนุ่มเอื้อมมือใหญ่ไปบีบคางของเด็กหนุ่มให้เชิดขึ้นมาและจ้องมองอย่างถี่ถ้วน
คนผู้นั้นหันหลังให้หลิ่วจิ้ง นางจึงมองไม่เห็นใบหน้าเขา
เด็กหนุ่มผู้นั้นพยายามขัดขืนด้วยการหันหน้าไปอีกข้างหนึ่งและเพราะอากัปกิริยาเช่นนี้นี่เองทำให้หลิ่วจิ้งนึกออกว่านางเคยเห็นเด็กหนุ่มที่ใดมาก่อน
ซึ่งก็คือคืนนั้นที่หั่วอี้พานางไปที่หอเยี่ยนเฟิ่งในขณะที่นางยืนชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่กราบเรือเพียงลำพังเรือเล็กของคนผู้นี้ก็ลอยลำมาบดบังสายตานางพอดี
ตอนนั้นมีลมวูบหนึ่งโชยมาเปิดผ้าม่านบนเรือเล็กทำให้นางเห็นเื่โสมมที่เกิดขึ้นภายในนั้นเด็กหนุ่มที่กำลังถูกคนคร่อมตัวอยู่เช่นในยามนี้ก็คือคนตรงหน้านางนี่เอง
หลิ่วจิ้งมองเห็นความเคียดแค้นปนเปกับความสิ้นหวังอยู่ในแววตาของเด็กหนุ่มและมองเห็นตัวเองครั้งเมื่อนางบ้านแตกสาแหรกขาดจากสายตาของเขาด้วยนางนึกถึงภาพที่มารดาต้องตายอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตานางความไม่สะทกสะท้านยามคนผู้นั้นสั่งตัดหัวคนทั้งบ้านนางแววตาของนางในเวลานั้นก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเคียดแค้นเช่นนี้
หลิ่วจิ้งรู้สึกว่านางทุกข์ทรมานนัก ไม่แม้จะคิดก็เร่งเดินไปยังห้องข้างๆในทันที อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอที่ไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นก็ได้แต่รีบเดินตามไป
คนที่คร่อมอยู่บนตัวเด็กหนุ่มไม่สบอารมณ์เสียอย่างยิ่งที่ถูกขัดจังหวะจึงเงยหน้าขึ้นมากำลังจะโวยวาย แต่พอเขาเห็นว่าผู้ที่มาเป็สตรีโฉมงามสามนางก็กลับมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
เขาลุกขึ้นจากตัวเด็กหนุ่ม แล้วมองหลิ่วจิ้งที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสายตาบ้ากาม“แม่นางน้อยทั้งสาม ไม่มีคนอยู่ด้วยรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเกินทนใช่หรือไม่วันนี้พี่ชายก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่พอดี มิสู้พวกเราทุกคนไปหาที่หาความสุขกันเป็อย่างไร?”
ระหว่างที่พูดอยู่ คนผู้นั้นก็เอื้อมมือจะมาลูบใบหน้าของหลิ่วจิ้งหลิ่วจิ้งจึงรีบก้มหน้าหลบ
“หยุดนะ ห้ามเสียมารยาทกับฮูหยิน” อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอเร่งตามมาทันเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองคนจึงรีบไปยืนขวางหน้าหลิ่วจิ้งบังตัวนางจากสายตาโสมมของชายผู้นั้น
“โอ้โห นึกไม่ถึงว่าพี่สาวสองคนนี้จะแข็งแกร่งไม่เบา เช่นนี้ดีๆถึงยามร่วมบรรเลงกันจะได้มีรสชาติ”
ชายผู้นั้นไม่ได้เห็นพวกหลิ่วจิ้งทั้งสามคนอยู่ในสายตาแต่อย่างใดอย่ามองเพียงว่าในห้องนี้มีแค่เขาและเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นเท่านั้นผู้คนที่เดินไปมาอยู่ในโรงงิ้วล้วนเป็พี่น้องของเขาทั้งสิ้นเขาย่อมไม่รู้สึกกลัวใดๆ
หลิ่วจิ้งผลักอวี้จิ่นกับอิ๋งเหอที่ยืนอยู่ข้างหน้านางออกเอ่ยเย็นเฉียบกับชายผู้นั้นว่า “ข้า้าคนที่อยู่บนพื้นนี้ เ้าว่าราคามา”
ั์ตาของเด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้นมีทั้งความสิ้นหวังและความเคียดแค้นแต่กลับไม่ตอบโต้หรือวิ่งหนี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนที่เป็ไทแก่ตัวต่อให้หนีก็ไม่มีหนทางให้หนี คนเช่นนี้คงใช้เงินซื้อตัวเขามาได้กระมัง
ชายผู้นั้นก้าวเข้ามาหมายจะลงมืออีกครั้งแต่เมื่อได้ยินคำของหลิ่วจิ้งเขาก็หยุดเดินแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มด้วยความสนใจยิ่ง ก่อนหันมองสตรีที่กำลังจดจ้องตนอยู่ด้วยสีหน้าเย็นเฉียบปราศจากความกลัวใดๆเขารีบใคร่ครวญในใจอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มเช่นนี้หาส่งเดชก็ยังหาได้อีกหลายคนจากท่าทีไม่เชื่องที่มันเป็เรื่อยมา มิสู้แลกเป็เงินมาก็ใช่ว่าจะไม่คุ้ม
เมื่อคิดได้ดังนี้ แววตาแห่งความโลภก็ปรากฏในดวงตาเขา บอกราคาสูงลิบลิ่วดั่งราชสีห์อ้าปากกว้าง“ได้ ทำตามคำฮูหยิน คนผู้นี้ราคาห้าร้อยตำลึงเงิน เพิ่มสักแดงได้ขาดสักแดงไม่ได้เด็ดขาด”
ชายผู้นั้นพูดจบก็กลับสำนึกเสียใจขึ้นมา บอกราคาไปสูงขนาดนี้ที่จริงขายได้สักหนึ่งร้อยตำลึงก็นับว่าได้กำไรมากโขแล้วทว่าเขายังมองลูกไม้ของสตรีตรงหน้าไม่ออก จึงทำได้เพียงจ้องนางตาเขม็ง
หลิ่วจิ้งสะดุ้ง ก่อนจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวพยักหน้า “ตกลง”
นางไม่ได้ขาดเหลือเงินแค่ห้าร้อยตำลึงเงิน ทว่าต้องมาเสียเปรียบให้คนโรคจิตเช่นนี้นางก็ต้องจ่ายเงินด้วยความไม่ยอมใจเสียอย่างยิ่งแต่เมื่อคิดว่านี่เป็หนทางเดียวที่จะช่วยเด็กหนุ่มผู้นี้ได้นางจึงได้แต่กัดฟันตกปากรับคำเสีย
นางตอบรับไปคำหนึ่งทำเอาทุกคนในห้องตกตะลึงดวงตาของเด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้นเป็ประกาย แต่ก็กลับมืดมนลงอีกครั้งเขาไม่เชื่อว่าใต้หล้านี้ยังจะมีคนดีที่ยื่นมือมาช่วยเขาด้วยใจบริสุทธิ์ไม่แน่ว่าเขาเพิ่งจะออกจากถ้ำเสือก็กลับเข้าไปในรังสุนัขป่าอีกเขาเลิกหวังว่าชะตาชีวิตของตนจะมีวันเปลี่ยนได้ไปแล้ว
อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอสองคนยิ่งหลงลืมเื่ที่ต่ำที่สูงไปนานแล้วแต่ละคนดึงแขนหลิ่วจิ้งคนละข้างพลางส่ายหน้าให้นาง
เงินห้าร้อยตำลึงเงินเป็เบี้ยเดือนครึ่งปีของฮูหยินทีเดียวนะเวลาครึ่งปีหากไม่กินไม่ดื่มไม่ใช้จึงจะเก็บเงินจำนวนนี้ได้ด้วยแล้วจะมาทิ้งไปทั้งเช่นนี้ได้อย่างไรต่อให้ฮูหยินไม่เสียดายแต่พวกนางก็เสียดายแทบตายแล้ว
ชายคนนั้นอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ได้ได้แต่ยืนยิ้มตาลอยอยู่ตรงนั้น
หลิ่วจิ้งไม่ไปสนใจชายผู้นั้นอีก ก่อนย่อตัวลงมานั่งสังเกตาแของเด็กหนุ่มนางไม่สะดวกจะเปิดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายเพื่อตรวจดูจึงทำได้เพียงมองจากเสื้อผ้าที่ขาดและพอจะมองออกว่าบนตัวเด็กหนุ่มต้องมีาแอยู่หลายแห่งหน้าตาเขาคล้ายว่าอายุราวสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น
เด็กหนุ่มหวาดระแวง หลบสายตาไม่ยอมมองนาง
“ฮูหยินๆ เงินเล่า เงินเล่า?” ชายที่ยืนอยู่เอื้อมมือไปหาหลิ่วจิ้ง
ดีที่วานนี้หลิ่วจิ้งเบิกตั๋วเงินออกมาสองพันตำลึงและยังเก็บอยู่กับตัวหาไม่แล้วเวลานี้นางก็คงไม่อาจเอาเงินตั้งมากมายขนาดนี้ออกมาได้ในทันที
นางลุกขึ้นยืนพลางหยิบตั๋วเงินออกมาจากตัวแต่ละใบเป็ตั๋วเงินใบละห้าร้อยตำลึง นางดึงออกมาใบหนึ่งโยนให้เขาแล้วก้มลงสังเกตเด็กหนุ่มต่อ อยากประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นมา เพราะก้มหน้าลงทำให้นางไม่ได้เห็นแววตาชั่วร้ายของชายผู้นั้น
_____________________________
