จวนสกุลกู่
นี่เป็วันที่สามแล้ว ที่กู่ไห่และพวกได้เดินทางกลับมา
ภายในด่านหู่เหลา ช่างฝีมือมากมายยังคงยุ่งอยู่กับการก่อสร้างทั้งกลางวันกลางคืน เสียงคนเดินพลุกพล่าน ควันและฝุ่นละอองลอยคลุ้งไปทั่วพื้นที่
ณ เรือนแห่งหนึ่งของจวนสกุลกู่ ที่ตอนนี้ด้านนอกถูกคุ้มกันอย่างแ่าโดยเหล่าองครักษ์
ภายในเรือน กู่ไห่กำลังนั่งอยู่ในห้องรับรองแขก พลางถือถ้วยชาเอาไว้ในมือ ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ขณะมองเิไท่ที่กำลังฝืนลุกขึ้นมา
“เ้าไม่รังเกียจข้าหรอกหรือ?” เิไท่ยกถ้วยชาขึ้น ก่อนมองกู่ไห่นิ่ง
“ไม่! ข้าเคยบอกเ้าแล้ว ว่าข้ายังคงรังเกียจเ้าอยู่ เืเย็น ไร้ความปรานี ร้ายกาจและโเี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายยอมทำได้ทุกอย่าง… โอ้! น่าเสียดาย ที่สุดท้ายเ้าก็ล้มเหลว แต่ข้าไม่ได้นึกสงสารเ้าหรอกนะ!” กู่ไห่กล่าวเสียงเรียบ พลางส่ายศีรษะปฏิเสธ
“แล้วเ้ายังคิดจะรับข้าไว้อีกหรือ? เ้า้าสร้างแคว้น จึง้าให้ข้าเข้าไปเป็ขุนนางอย่างนั้นหรือ?” เิไท่ถลึงตามองกู่ไห่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แคว้นไม่ใช่แค่จวน! สิ่งที่ข้ากำลังจะเผชิญคือหน้าที่อันยิ่งใหญ่ การดูแลปกครองบ้านเมืองก็เหมือนกับม้า ที่ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน ก็ไม่จำเป็ต้องวิ่งเร็ว แต่หากก้นของม้ามีตั๊กแตนกัดอยู่ ม้าตัวนั้นก็จะวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต
แคว้นของข้าจะยอมรับผู้มีความสามารถ อันเป็คุณประโยชน์แก่แคว้น แต่มีแค่คนเก่งกาจอย่างเดียวไม่พอ หากยังต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่คอยกดดัน เช่นเดียวกับตั๊กแตนคอยกัดม้าเช่นกัน!” กู่ไห่พูดเสียงต่ำ พร้อมยกถ้วยชาขึ้นจิบ
“ตั๊กแตน?” เิไท่แสดงท่าทีไม่อยากจะเชื่อ
กู่ไห่้าสร้างแคว้น และเิไท่ก็เดาได้ว่าการจะค้นหาคนนับไม่ถ้วน ให้มาอยู่ใต้อาณัติตน เพื่อแต่งตั้งเป็ขุนนางนั้นไม่ยาก หากแต่การหาผู้สร้างความวุ่นวายในราชสำนัก กลับทำให้เิไท่เกิดความสับสนขึ้นมา... ตั๊กแตน? เขา้าใช้ตนเพื่อกระตุ้นเหล่าขุนนาง?
“เปรียบเทียบเช่นนี้ อาจจะไม่ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนนัก หากเป็อีกอย่าง อาจจะเข้าใจได้มากกว่า... เ้าเคยเห็นชาวประมงออกไปตกปลาดุกในทะเลหรือไม่?” กู่ไห่ถามกลับ พลางมองไปยังเิไท่
เิไท่ส่ายหน้า ในฐานะผู้ฝึกตนคนหนึ่ง จะไปสนใจอะไรกับชาวประมงที่หยาบคายเ่าั้
“มีเื่เล่าต่อๆ กันมาว่า เมื่อชาวประมงออกไปจับปลาจินเชียง[1]นั้น ปลาจำนวนมากมักจะขาดออกซิเจนตายก่อนที่จะถึงฝั่ง เขาจึงขายไม่ได้ราคานักเพราะปลาไม่สด เมื่อหาสาเหตุ ก็พบว่าตอนอยู่ในน้ำตื้น ปลาจินเชียงจะไม่ยอมเคลื่อนไหว ทำให้ในถังมีอากาศน้อย มันจึงตายในที่สุด
แต่ถ้าเพิ่มปลาดุกตัวหนึ่งเข้าไป ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ปลาดุกจะชอบว่ายวนไปมาทั่วทั้งบริเวณ ทำให้เกิดออกซิเจนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ปลาจินเชียงจึงสามารถมีชีวิตรอดไปจนถึงชายฝั่ง” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
แม้เิไท่จะไม่เข้าใจความหมายของ ‘ออกซิเจน’ แต่เมื่อฟังความโดยรวม ก็พอจะรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่าย้าสื่อนั้นคืออะไร
“เ้ากำลังกังวลว่า เมื่อแคว้นเติบโตขึ้น ราชสำนักก็จะสูญเสียความกระตือรือร้น เหมือนถังน้ำที่ไร้ซึ่งออกซิเจน? จึงอยากให้ข้าที่เป็คนเลว เข้าไปกวนน้ำในถังของเ้า?
ดูเ้าจะคิดการณ์ไกลเกินไปแล้ว ตอนนี้เ้าควรเริ่มคิดเกี่ยวกับการถ่วงดุลระหว่างขุนนางมิใช่หรือ!” เิไท่มองกู่ไห่ด้วยความประหลาดใจ
“ไม่นานอย่างที่เ้าคิดหรอก อีกเดี๋ยวข้าก็จะตั้งแคว้นแล้ว!” กู่ไห่เอ่ย พลางรินน้ำชาใส่ถ้วยของตน
เิไท่ชะงัก ทุกวันนี้เขาไม่ได้สงสัยกับพลังของกู่ไห่อีกแล้ว แม้ ระดับแก่นทองคำจะถือว่าด้อยกว่าตน แต่หากต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็เชื่อว่าอีกฝ่ายคงจะจัดการเขาได้ไม่ยาก
แม้จะไม่เคยประมือกับกู่ไห่มาก่อน ทว่า เิไท่ก็รู้สึกหวั่นเกรงอยู่ลึกๆ เช่นกัน
“เข้าใจแล้ว… ข้าเข้าใจแล้ว! สร้างแคว้น? หลังจากที่ตั้งแคว้น เ้า้าให้ข้าทำบางอย่างแทนสินะ? แบกรับคำสาปแช่ง และความเกลียดชังของเหล่าขุนนาง ส่วนเ้า ก็จะนั่งอยู่บนบัลลังก์ของแผ่นดินอย่างมั่นคง” เิไท่กล่าว พลางถลึงตาใส่กู่ไห่
“ข้าจะจัดตั้งหน่วยงานพิเศษโดยใช้ชื่อว่า ‘องครักษ์เสื้อแพร[2]’ ซึ่งทำหน้าที่ในการตรวจสอบและจับกุม ภายใต้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน มีส่วนร่วมในการสืบสวน สอบสวน และจับกุม รวมทั้งทำภารกิจอื่นๆ เช่นการสอดแนมกลุ่มขุนนางและแคว้นของข้าอย่างลับๆ ดังนั้นองครักษ์เสื้อแพรจึงถือว่าเป็ทหารองครักษ์ของข้า ไม่จำเป็ต้องรับคำสั่งจากใครอื่น แต่ขึ้นตรงต่อข้าเพียงผู้เดียว!” กู่ไห่พูดเสียงเรียบ
“องครักษ์เสื้อแพร?” ดวงตาของเิไท่สั่นระริก
เมื่อได้ยินคำอธิบายสั้นๆ ของอีกฝ่าย เขาย่อมสามารถััได้ถึงสิทธิพิเศษที่อยู่เื้ัสถานภาพนี้ ‘อยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น’… ช่างเป็อภิสิทธิ์ชนนัก
กู่ไห่ที่นั่งอยู่ด้านข้าง ยกแก้วชาขึ้นจิบเงียบๆ
“เหอะ! แล้วเ้าไม่กลัวหรืออย่างไร ว่าข้าอาจจะก่อฏขึ้นในภายหลัง ข้าอาจหักหลัง หรือหาโอกาสสังหารเ้า แล้วขึ้นแทนที่ก็เป็ได้?” เิไท่หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางจับจ้องกู่ไห่
“ประการแรก ข้าคิดว่าเ้าคงกลับไปยังหออี้ผินไม่ได้แน่ ชื่อเสียงของเ้ามันเน่าเฟะไปหมดแล้ว
ประการที่สอง หากเ้า้าที่จะมีชีวิตเป็อิสระ... น่าเสียดายนักที่คิดน้อยเกินไป สถานการณ์โดยรวมยังไม่ทำให้เ้ารู้อีกหรือ ว่าหากไม่มีข้า เ้าก็ไม่อาจมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ เช่นนี้แล้ว เ้ายังจะกล้าฏต่อข้าอีกหรือ?
หึ! ั้แ่ข้ากล้าเลือกใช้เ้า ก็หาได้กลัวการฏไม่ เพราะก่อนที่จะฏ เ้าควรคิดให้ดี ถึงราคาที่ต้องจ่าย!” กู่ไห่กล่าว น้ำเสียงราบเรียบ
เิไท่มองกู่ไห่ด้วยสายตาหวาดหวั่น
“หากไม่มีข้า เ้าคงตายไปนานแล้ว แต่ข้ารู้ว่าเ้าจะไม่จดจำความดีนี้ และก็ไม่ได้อยากให้เ้าจดจำเช่นกัน แต่ความอดทนของข้ามีจำกัด ดังนั้น จะให้เวลาเ้าสามวัน ปรับความรู้สึก แล้วเข้ารับตำแหน่งเสีย อีกสามวัน หวังว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของเ้า!” กู่ไห่วางถ้วยชาลง ก่อนลุกขึ้น แล้วเดินออกจากห้อง
“ข้า... ข้ายังไม่ได้รับปากว่าจะเป็ขุนนางของเ้าเลยนะ!” เิไท่ถลึงตาใส่
กู่ไห่ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเิไท่ ไม่ได้ตอบโต้ แต่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า ก่อนหมุนตัวเดินออกจากเรือน
จากนั้น กู่ไห่ก็ไปพบหลงหว่านชิง ไต้ซือหลิวเหนียน และเว่ยเซิงเหริน ในห้องรับรองอีกแห่ง คนทั้งสามดูเหมือนกำลังรวบรวมสิ่งของบางอย่างกันอยู่
เมื่อเห็นกู่ไห่เดินมา ทั้งสามคนก็หยุดการกระทำลง
“ผู้าุโเว่ยเซิงเหริน ไม่ทราบว่าที่ศพของติงรุ่ยพบความผิดปกติอันใดหรือไม่?” กู่ไห่ถามอย่างนึกสงสัย
เว่ยเซิงเหรินตอบกลับด้วยการส่ายหน้า พลางเอ่ย “ดวงจิตทั้งสามของติงรุ่ยถูกหลี่ฮ่าวหรานทำลายไปแล้ว ตายโดยไม่ทิ้งเบาะแสอันใดไว้เลย!”
คิ้วของกู่ไห่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ในตอนนั้น ซ่างกวนเหินก็เคยบอกแบบนี้เช่นกัน ว่าแต่... เขารู้ได้อย่างไร?
“น่าเสียดายนัก!” กู่ไห่พูดเสียงสลด ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน
“กู่ไห่ พวกเราพร้อมที่จะเดินทางกลับแล้ว ข้าจะรายงานท่านตาเกี่ยวกับเื่เหล่านี้... เ้าจะไปกับเราไหม? หากกลับไปพร้อมกัน ข้าจะได้ช่วยเ้าลงทะเบียนที่สำนักงานใหญ่ของหออี้ผิน เพื่อให้เ้าสามารถเปิดรับพลังหยวนได้อย่างที่้าอย่างไรล่ะ” หลงหว่านชิงมองกู่ไห่ พลางถามอย่างคาดหวัง
กู่ไห่ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนกล่าว “อีกหนึ่งเดือนข้าจะสร้างแคว้น จึงมีเื่ที่จะต้องทำมากมาย คงไม่อาจเดินทางไปกับท่านได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” หลงหว่านชิงถอนหายใจเล็กน้อย
“หนึ่งเดือนหรือ? พวกเราอาจจะไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีก!” ไต้ซือหลิวเหนียนบอก ด้วยความเศร้าใจเล็กน้อย
กู่ไห่พยักหน้ารับทราบ และในที่สุด ก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่ข้องใจมานาน “ถังจู่ ตลอดมาข้ายังไม่เคยถามเลย ว่าท่านตาของท่านคือ...?”
“นี่เ้าไม่รู้จักท่านตาของข้าอย่างนั้นหรือ?” หลงหว่านชิงนิ่งงัน
แม้แต่ไต้ซือหลิวเหนียนก็ยังใไม่น้อย และมองกู่ไห่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ข้าไม่เคยสนใจเื่นี้มาก่อน” กู่ไห่ส่ายศีรษะ พลางตอบ
“ท่านหัวหน้าสังกัดวารีกู่ช่างมีจิตใจที่กว้างขวางนัก! แท้จริงแล้ว การให้ความสนใจเร็วเกินไปก็ไร้ประโยชน์!” ไต้ซือหลิวเหนียนพยักหน้า ก่อนจะมองไปที่อีกฝ่าย ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
“ราชวงศ์์ต้าเฉียน เ้ารู้จักหรือไม่?” หลงหว่านชิงเอ่ยถาม
“หนึ่งในสามราชวงศ์์ของแคว้นเสินโจว? เข้าเคยได้ยินมาบ้าง!” กู่ไห่ตอบ พลางพยักหน้า
“ท่านตาของข้าคือจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์์ต้าเฉียน ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเสินโจว ประมุขสูงสุดของเหล่าราชวงศ์์!” หลงหว่านชิงบอกอย่างเต็มภาคภูมิ
“ราชวงศ์์ต้าเฉียน?” กู่ไห่เลิกคิ้วเล็กน้อย
“หออี้ผิน กองทัพเฉินจีหยิง และองค์กรอื่นๆ ล้วนเป็หน่วยงานด้านการทูตของราชวงศ์์ต้าเฉียน รับผิดชอบเื่เล็กน้อยของราชวงศ์
หัวหน้าหออี้ผินคนแรก ก็คือท่านแม่ของข้า ผู้ดำรงตำแหน่งโหวเจวี๋ย[3] หนึ่งในสิบราชทูต แต่น่าเสียดาย เมื่อข้าได้รับตำแหน่งนี้ กลับทำได้ไม่ดีนัก!” หลงหว่านชิงพูด พลางถอนหายใจเล็กน้อย
กู่ไห่พยักหน้ารับรู้
“ผู้าุโเว่ยเซิงเหรินก็จะตามข้าไปพบท่านตาเช่นกัน พวกเรากำลังจะไปแล้ว เมื่อได้พบท่านตา และตรวจสอบวัสดุของจดหมายทั้งสองฉบับเสร็จ ข้าจะแจ้งผลให้เ้าทราบ” หลงหว่านชิงบอก
“ได้!” กู่ไห่พยักหน้า
หลังจากกล่าวคำอำลา หลงหว่านชิงและคนกลุ่มหนึ่ง ก็ขึ้นเรือเหาะ แล้วพุ่งทะยานจากไป
หลังจากส่งทุกคนแล้ว กู่ไห่ก็มุ่งหน้าไปยังหอคอยทะยาน์ เพื่อเก็บตัวทำบางอย่าง โดยมีผู้แข็งแกร่งมากมายคอยปกป้องอยู่นอกจวน
ชายหนุ่มนั่งอยู่ในหอคอยทะยาน์ ที่ตรงหน้ามีหนังสือ “โครงสร้างเมือง์” เปิดเอาไว้
“ตราประทับ คือเกียรติยศของฮ่องเต้ผู้ปกครองแคว้น ใช้ในการกุมชะตาแคว้นและแผ่นดิน การใช้หยกัเพื่อซ่อนชีพจรั ต้องใช้โลหิตเป็สื่อ ผนึกจะแข็งแกร่งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพลังของสมบัติวิเศษ หลังจากทั้งสองผสานกันแล้ว พึงถือครองอย่างเคารพ และเมื่อสร้างแคว้น ต้องใช้พลังกุศลเข้าไปเสริมผนึก เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองของแว่นแคว้น!”
กู่ไห่อ่านข้อความนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
เมื่อมองดูหยกัที่อยู่ในมือ ตามที่กล่าวไว้ใน ‘โครงสร้างเมือง์’ เขาจำเป็ต้องมีสมบัติวิเศษอีกอย่างหนึ่ง ที่จะหลอมรวมเข้ากับมัน โดยใช้โลหิตเป็สื่อ... หยดเืลงไปเพื่อหลอมรวมเป็ตราประทับ?
แล้วสมบัติวิเศษที่ว่าคืออะไร?
ในช่องว่างมิติของหลี่ฮ้าวหรานและติงรุ่ย มีสมบัติมากมาย แต่กู่ไห่กลับรู้สึกมืดแปดด้านในเื่นี้
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง กู่ไห่จึงเอื้อมมือไปััหว่างคิ้วของตน
“ฮึ่ม!”
พลัน หมากดำที่คอยช่วยเหลือกู่ไห่ ก็ลอยออกมาจากหว่างคิ้ว
กู่ไห่คว้าหมากดำ พลางกระชับมือแน่น
“ยิ่งสมบัติวิเศษมีพลังมาก ตราประทับก็จะยิ่งแข็งแกร่ง? หากนำหมากดำชิ้นนี้มาหลอมรวมเป็ตราประทับ ไม่รู้ว่าผลจะเป็เช่นไร!” กู่ไห่พึมพำเสียงต่ำ
เขาเอื้อมมือออกไป ก่อนจะเจาะปลายนิ้ว เืสดๆ หยดลงบนหมากดำแล้วค่อยๆ ส่งไปยังหยกั
“ฮึ่ม!”
เมื่อหยกััักับโลหิตสีแดงสด ก็ราวกับว่าจะมีชีวิตขึ้นมากระนั้น เพียงพริบตา ก็ดูดเอาเืของกู่ไห่ไปจนหมดอย่างตะกละตะกลาม ขณะเดียวกัน ก็มีัหยกเก้าตัวปรากฏออกมาจากหยกั มันกางกรงเล็บออก และเริ่มกลืนกินหมากดำ
“ฮึ่ม!”
ทันใดนั้น พลันเกิดแสงสีดำขึ้น
“โฮก!”
ภายในหยกั ชีพจรักำลังสั่นสะท้าน คล้ายหวาดกลัวแสงสีดำนั่น และร้องด้วยความเ็ป
กู่ไห่ผสานหยกัด้วยโลหิตอย่างรวดเร็ว
เืและหมากดำหลอมรวมเข้ากับหยกั แล้วจิตใจของเขาก็เชื่อมโยงกับวัตถุตรงหน้าเช่นกัน ประหนึ่งว่าสามารถควบคุมหยกัได้ในทันที
หยกัรูปทรงกลม ค่อยๆ กลายเป็สี่เหลี่ยมจัตุรัส เหนือรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีเก้าัโอบล้อม ทุกใบหน้าแสดงถึงความเกรี้ยวกราดและดุร้าย เพ่งตรงไปยังหมากล้อมสีดำ ที่อยู่ตรงกลาง
เมื่อหมากดำและหยกัหลอมรวมเข้าด้วยกัน หยกัก็เปลี่ยนเป็สีดำคล้ำไปในชั่วพริบตา บัดนี้ตรงหน้าเขา มีตราประทับสีดำชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น
“โฮก!”
เืสีแดงสดค่อยๆ ไหลทะลักเข้าสู่ตราประทับเก้าั และที่ฐานด้านล่างก็มีตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่แปดตัวนูนออกมา
“รับโองการ์ ทรงพระเจริญนิรันดร[4]!”
ฉึกๆ!
ภายใต้การควบคุมของจิตใจ ตราประทับฮ่องเต้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น และเปล่งแสงสีหยกจางๆ
บางทีหมากดำอาจจะทรงพลังเกินไป ดังนั้น เมื่อหลอมตราประทับเสร็จ จึงเหมือนมีน้ำหนักถึงหมื่นจิน[5]
ตูม!
ตราประทับฮ่องเต้ร่วงหล่นลงสู่พื้นตรงหน้ากู่ไห่
ตูมๆ!
ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น หอคอยทะยาน์ขนาดใหญ่นี้ กำลังจะพังทลายลงภายใต้แรงกดดันมหาศาล
“อะไรกัน?” สีหน้าของกู่ไห่เปลี่ยนไปทันที รีบเอื้อมมือไปคว้าตราประทับเอาไว้มั่น
ตราประทับฮ่องเต้เกิดจากการหลอมของเขา แม้ว่าจะหนัก แต่ก็สามารถถือไว้ในมือได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หอคอยทะยาน์ไม่อาจที่จะทรงตัวอยู่ได้อีก และกำลังจะพังถล่ม สีหน้าของทุกคนในจวนสกุลกู่จึงเต็มไปด้วยความกังวล
“พ่อบุญธรรม!” กู่ฉินที่อยู่ไกลออกไป อุทานอย่างตื่นตระหนก
“พวกเ้า... อย่าเข้ามาใกล้!” เสียงะโดังมาจากซากปรักหักพัง
กู่ฉิน ซ่างกวนเหิน เฉินเทียนซาน และคนอื่นๆ พากันหยุดชะงัก พร้อมมองซากปรักหักพังตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
ลึกลงไปในซากอาคาร กู่ไห่ถูกขังอยู่ในพื้นที่แคบๆ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ใส่ใจสถานการณ์ในยามนี้เท่าใดนัก ชายหนุ่มพลิกมือ เพื่อทดสอบตราประทับอีกครั้ง ก่อนจะประทับมันลงบนพื้นดิน
ตูม!
แรงดันมหาศาลพุ่งออกจากซากปรักหักพัง แล้วกระจายไปทุกทิศทาง พลังอันมหาศาล ทำให้ผืนดินโดยรอบทั้งสี่ด้านของจวนสกุลกู่สั่นะเื ดุจกำลังจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ทุกคนที่อยู่บริเวณรอบนอก ต่างแสดงสีหน้าตะลึงงัน เพราะไม่รู้ว่ากู่ไห่กำลังคิดที่จะทำอะไร
ตราประทับหยกสีดำ มีตัวอักษรสีเืขนาดใหญ่ ‘รับโองการ์ ทรงพระเจริญนิรันดร’ ดวงตาของกู่ไห่ฉายแววพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำว่า “นับแต่นี้เป็ต้นไป ข้าจะเรียกเ้าว่า ‘ตราประทับศักดิ์สิทธิ์เมือง์’ จงปกป้องแผ่นดินแทนข้า!”
“ฮึ่ม!”
ตราประทับศักดิ์สิทธิ์เมือง์ที่มีสีดำสนิทนั้น สั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังตอบรับกู่ไห่
กู่ไห่วางมันเบา ๆ ที่หว่างคิ้วของตน
“ฮึ่ม!”
คล้ายกับหมากดำก่อนหน้านี้ ตราประทับศักดิ์สิทธิ์เมือง์หายกลับเข้าไปในหว่างคิ้วของเขาทันที
เมื่อหมากดำหายไปจากหว่างคิ้ว ผลึกสีขาวดูเหมือนจะกระสับกระส่าย และ้าที่จะหลบหนี
ตูม!
ตราประทับศักดิ์สิทธิ์เมือง์พลันปรากฏขึ้น และแผ่พลังกดดันลงบนผลึกสีขาว จึงทำให้มันสงบลง
ตราประทับศักดิ์สิทธิ์เมือง์ลอยอยู่บนเวหา ใต้หล้าเบื้องล่างกระดานหมากรุกมากกว่าสามหมื่นกระดาน ยังคงผสานรวมกันอยู่
หลังจากที่ตราประทับศักดิ์สิทธิ์เมือง์ เข้าไปในหว่างคิ้วแล้ว จิตสำนึกของกู่ไห่ก็จมลงสู่ห้วงมิติตามไป
“เอ๊ะ!”
ในตราประทับศักดิ์สิทธิ์เมือง์ ชีพจรัยังคงคำรามเสียงดัง แต่พลังของหมากดำนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป มันจึงได้แต่ร้องคำรามอย่างเ็ป จากนั้นเขาก็ถ่ายทอดความรู้สึกเข้าไปปลอบประโลมจิตใจของมัน ทำให้ชีพจรัสงบลงพลัน
“หมากดำช่างเป็สมบัติล้ำค่านัก! เมื่อนำไปหลอมรวมเข้ากับตราประทับศักดิ์สิทธิ์เมือง์ ก็สามารถข่มชีพจรัได้ดีเลยทีเดียว
ภายในเวลาอีกหนึ่งปี ข้าจะปรับแต่งชีพจรันี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถึงตอนนั้น ก็จะสามารถแยกชีพจรัออกมา และเลี้ยงมันไว้ใต้ผืนแผ่นดินได้” ดวงตาของกู่ไห่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ตูม!
เสียงะเิดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง กู่ไห่ทำลายเศษหินที่ขวางกั้น แล้วค่อยๆ เดินออกจากซากปรักหักพัง
----------------------------------------------
[1] ปลาจินเชียง คือ ปลาทูน่า
[2] องครักษ์เสื้อแพร เป็หน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายองค์กรตำรวจลับ เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ิ มีหน้าที่รับใช้องค์จักรพรรดิโดยเฉพาะ
หน่วยองครักษ์เสื้อแพร ถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยจักรพรรดิหงหวู่ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ิ ในปี ค.ศ. 1368 เพื่อทำหน้าที่เป็ผู้คุ้มกันส่วนพระองค์ ทั้งยังมีอำนาจในการดำเนินคดี มีอิสระเต็มที่ในการจับกุมสอบสวน และลงโทษผู้กระทำผิดทุกคน รวมไปถึงบรรดาขุนนาง ตลอดจนพระญาติขององค์จักรพรรดิ
[3] โหวเจวี๋ย หนึ่งในตำแหน่งของขุนนางของจีน เทียบเท่าตำแหน่งพระยาของไทย
[4] ‘รับโองการ์ ทรงพระเจริญนิรันดร’ เป็ภาษาไทยที่แปลมาจากอักษรจีน 8 ตัว ว่า ‘受命于天,即寿永昌 ’ ซึ่งเป็ข้อความบนตราประทับ หรือพระราชลัญจกรของจักรพรรดิ ‘ฉินฉื่อหวังตี้’ หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม ‘จิ๋นซีฮ่องเต้’ นั่นเอง
[5] จิน คือ หน่วยวัดน้ำหนักของจีนในสมัยโบราณ โดย 1 จิน จะเท่ากับครึ่งกิโลกรัม หรือ 500 กรัม ดังนั้นหมื่นจิน จึงเท่ากับ 5,000 กิโลกรัม หรือ 5 ตัน โดยประมาณ