21.
ผมไม่ได้เสียใจกับคำสารภาพของเขา
ในทางกลับกัน ผมกลับรู้สึกดีที่เขากล้าพูดกับผมตรง ๆ ถึงแม้ว่าผมจะพอเดาท่าทางของเขาได้อยู่บ้าง แต่ผมมักก็จะหาข้ออ้างมาเพื่อย้ำกับตัวเองเสมอว่าเขาไม่ได้คิดอะไร เขาแค่หวังดีในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่ง อาจจะเพราะผมดูน่าสงสารในสายตาเขา และผมก็จะคอยบอกกับขนุนอยู่เสมอ คนอย่างพี่ปรงไม่มีทางมาชอบคนแบบผมหรอก
ส่วนเื่พี่อูน ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่ได้ชอบพี่อูนแล้วจริง ๆ หลังจากที่ผมห่างหายจากเขาไปนาน พอได้กลับมาคุยกัน มันทำให้ผมรู้เลยว่าจริง ๆ ความชอบที่ผมมีต่อเขาก็เป็แค่ความชื่นชมเท่านั้น จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมองเขาด้วยสายตาที่ชื่นชมอยู่เสมอ แต่แค่ไม่ได้คิดว่าตัวเองชอบเขาแบบนั้นอีกแล้ว ผมถึงได้กล้าบอกกับพี่ปรงไปตรง ๆ ว่าผมไม่ได้ชอบแล้ว
เมื่อวานหลังจากที่เขาบอกเื่นั้นกับผมเสร็จแล้ว เขาก็ถูกอาจารย์เรียกตัวให้ไปช่วยงานทันทีโดยที่ปล่อยให้ผมค้างคาอยู่คนเดียว วันนี้ผมจึงเลือกที่จะมาแต่เช้าเพื่อมาดักรอเขาที่ทางเข้าคณะ ยังไงวันนี้ผมกับเขาก็ต้องคุยกันให้รู้เื่
ท่าทางที่ดูลับ ๆ ล่อ ๆ ของผมให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างมองด้วยความสงสัย ผมยืนรออยู่แบบนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพี่ปรงก็ปรากฏตัวขึ้นให้ผมเห็น แต่เขาดันไม่ได้เดินเข้ามาในคณะเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาเดินมาพร้อมกับเพื่อนของเขาอีกประมาณห้าถึงหกคน และหนึ่งในนั้นก็คือพี่อูนที่เดินรั้งท้ายมาโดยเว้นระยะห่างนิดหน่อย
“น้องคนนั้นเขามาจีบมึงเหรอไอ้ปรง” เสียงของเพื่อนพี่ปรงพูดดังมาจากไกล ๆ จนผมต้องหันไปมอง ไม่รู้ว่าปกติแล้วพวกเขาคุยกันดังแค่ไหน แต่ตอนนี้พวกเขาคุยกันดังมาก ขนาดผมที่ยืนอยู่ไกลจากเขาก็ยังได้ยินเื่ที่เขาคุยกันอย่างชัดเจน
“น้องคนที่เรียนภาคพืชไร่ปะ น่ารักดีนะคนนั้น ทำงานก็เก่งด้วย มึงชอบคนทำงานเก่งไม่ใช่เหรอ” เพื่อนอีกคนของพี่ปรงเอ่ยขึ้นต่อจากนั้น ผมพยายามมองหาพี่ปรงว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่เขาก็ยังนิ่งและไม่ตอบอะไร
พี่ปรงเขาชอบคนทำงานเก่งเหรอเนี่ย
แล้วเขามาชอบผมได้ยังไงกันวะ
ผมอาจจะเป็หนึ่งในคนที่ขยันทำงานที่สุดในคณะ แต่ถ้าพูดถึงเื่ทำงานเก่งล่ะก็ ตัดชื่อผมออกไปได้เลย ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ทำงานเก่ง เน้นทำงานตามที่รับได้มอบหมายมาอย่างเดียว ผมเลยแอบแปลกใจอยู่นิดหน่อยว่าอะไรในตัวผมที่ทำให้พี่ปรงเกิดความรู้สึกพิเศษขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขาสมเพชเวทนาผมมากจนสุดท้ายมันกลายเป็ความชอบขึ้นมาหรอกนะ เพราะถ้าเป็แบบนั้นจริง ๆ ผมก็ใม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเปล่า
“ใครวะ ทำไมมึงไม่เคยบอกพวกกูเลย” เพื่อนคนเดิมของพี่ปรงพูดขึ้นอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดยืนคุยกันอยู่ตรงหน้าทางเข้าเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ผมจึงต้องหดหัวกลับเข้ามาเพื่อไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็นว่าผมยืนแอบฟังอยู่ตรงนี้ นั่นเลยทำให้ผมไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของพี่ปรงเลยสักนิด ได้ยินแต่เสียงพูดของเพื่อนเขา
ผมพยายามจะเงี่ยหูฟังว่าพี่ปรงจะตอบว่าอะไร แต่พวกเขาก็เงียบกันไปนานจนสุดท้ายผมต้องยื่นหน้าออกไป เป็จังหวะเดียวกันกับที่พี่ปรงเดินเข้ามาพอดี เขาดูในิดหน่อยที่เห็นผมโผล่ออกไปแบบนั้น เขาสบตากับผมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่เขาจะเผยยิ้มที่มุมปากออกมาแบบที่เขาชอบทำ แล้วจึงหันไปตอบคำถามของเพื่อนเขา
“พวกมึงไม่รู้จักหรอก แต่เป็คนในคณะเรานี่แหละ”
ประโยคนั้นพี่ปรงพูดตอบเพื่อน แต่เขากลับมองมาทางผมอยู่นานจนเพื่อนเขามองตามมาด้วย ผมก้มหัวให้รุ่นพี่พวกนั้นเล็กน้อย พวกเขาเป็รุ่นพี่ในภาคที่ผมพอจะเห็นหน้าค่าตามาบ้าง พอพวกเขาเห็นว่าคนที่พี่ปรงกำลังจ้องอยู่คือผม พวกเขาก็หันกลับไปคุยกันโดยไม่คิดอะไร แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ดูจะรู้เื่ดีที่สุด และกำลังยิ้มให้กับสถานการณ์ในตอนนี้
พี่อูน
พี่ปรงหันไปพยักหน้าให้เพื่อน ๆ ของเขาเดินไปก่อน ในขณะที่พี่อูนก็เอาแต่ส่งยิ้มมาให้ผมเหมือนว่าเขาจะรู้เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้ว ซึ่งเขาก็ยอมเดินตามเพื่อน ๆ ของเขาไปอย่างรู้งาน จนในท้ายที่สุดแล้วก็เหลือแค่ผมกับพี่ปรงที่ยืนอยู่ตรงบริเวณนี้เท่านั้น พี่ปรงมองหน้าผมเหมือนกำลังกดดันให้ผมพูดอะไรสักอย่าง
“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ปรงที่กำลังยืนกอดอกมองมาทางผมอยู่เหมือนกัน เขาพยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก ผมจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไปคุยกันตรงนู้นได้ไหม”
“มันเป็ความลับเหรอ”
“ผมอยากคุยในที่ที่มีแค่เราสองคน” ผมพูดพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตัว แม้ว่าตอนนี้จะเป็เวลาเช้ามาก แต่คนที่เดินเข้าออกตึกคณะก็ยังมีอยู่ตลอด มันคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ถ้าเราจะคุยเื่นั้นกันตรงนี้
“งั้นตามมา”
พี่ปรงเดินนำออกไปจากตึกคณะเป็คนแรก เขาเดินเลี้ยวไปทางด้านขวาของตึก เป็จุดที่ปกติแล้วผมไม่ได้ไปทางนั้นเท่าไหร่ เพราะมันเป็บริเวณที่มีดอกไม้นานาชนิดของเด็กพืชสวนปลูกอยู่เต็มไปหมด ผมไม่ค่อยกล้าเดินเข้าไปเพราะกลัวว่าตัวเองจะเดินไปเหยียบดอกไม้ของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ได้แต่มองไกล ๆ ซึ่งผมรู้สึกว่าก็สวยดี
ร่างสูงโปร่งของพี่ปรงหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าสวนก่อนจะหันมาสบตากับผม ตอนนี้พวกเรายืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นสูง ๆ วิวด้านหน้าของสวนดอกไม้ที่มีสีสันหลากหลาย แถมยังมีลมพัดผ่านมาเบา ๆ จนทำให้รู้สึกเย็นสบายอีกต่างหาก เพราะวันนี้เหมือนจะมีฝนตก ท้องฟ้าก็เลยครึ้มมากเป็พิเศษ ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีแดดเลย
“พี่ปรงมาเช้าจังเลยนะครับ” ผมเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่สิ้นคิดสุด ๆ เพราะพี่ปรงเอาแต่จ้องหน้าผมจนผมพูดอะไรไม่ถูก เลยพูดแบบนั้นออกไป ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่ปรงยิ่งขมวดคิ้วมากกว่าเดิม
“เข้าเื่เลย”
พี่ปรงเมินคำพูดของผมไปและพยายามกดดันให้ผมพูดในสิ่งที่คิดจริง ๆ ออกมาสักที ผมลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะคิดหาคำพูดอยู่ในหัว พยายามจะเรียบเรียงมันออกมาให้ดีที่สุด ผมไม่อยากให้ตัวเองดูลนลานตอนที่พูดถึงเื่นั้น ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าจริง ๆ แล้วผมก็เขินอยู่เหมือนกัน
“เื่เมื่อวาน”
“อ่าฮะ”
“ผมว่าเรายังคุยกันไม่จบ พี่ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าเื่มันเป็มายังไง พี่พูดมาแค่นั้นแล้วก็หายไปเลย ผมนึกว่าพี่จะพยายามมาคุยกับผมซะอีก” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ พูดตรง ๆ คือผมไม่พอใจที่เขาหายเงียบไป เขาถูกอาจารย์เรียกไปช่วยงานเป็เื่ที่เลี่ยงไม่ได้ แต่กลายเป็ว่าวันนั้นทั้งวันเขาหายหน้าหายตาไปเลย
“มีตรงไหนที่ยังไม่เข้าใจอีกล่ะ” พี่ปรงตอบกลับมาเพียงเท่านั้น ท่าทางที่ดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจของเขาทำให้ผมโมโหขึ้นมานิด ๆ เขาทำเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดมาเมื่อวานเป็เื่เล่น ๆ ที่เขาพูดขึ้นมาเพื่อแกล้งผม ในขณะที่ตัวผมว้าวุ่นใจจนทนไม่ได้ แล้วต้องมาดักรอเพื่อทำความเข้าใจกับเขาแบบนี้
“ก็ทุกตรงเลยอะ”
“พี่ยังพูดไม่ชัดเหรอ”
“พี่ปรง สรุปว่าเื่นี้มันเป็เื่เล่น ๆ สำหรับพี่ใช่ไหม ผมจะได้ทำเป็ไม่ได้ยินสิ่งที่พี่พูดเมื่อวาน” ผมตอบกลับไปและเงยหน้าขึ้นจ้องตากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งพี่ปรงก็ยังคงมีท่าทีที่ดูนิ่งซะจนผมอยากจะเดินหนีออกไปเลย
“พี่ไม่ได้พูดเล่น ๆ หรอกนะ เื่นี้มันก็ยากสำหรับพี่เหมือนกัน พี่ขอโทษที่ทิ้งะเิใส่น้องแล้วหนีไปแบบนั้น แต่พี่แค่อยากให้น้องเก็บเอาคำพูดของพี่ไปคิดก่อน พี่ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าวันนี้ก็จะมาคุยกับน้องให้เข้าใจเหมือนกัน” พี่ปรงตอบกลับมาอย่างยืดยาว เขาขยับตัวเปลี่ยนท่าทาง จากที่ตอนแรกเขายืนกอดอกนิ่ง ๆ กลายเป็ว่าตอนนี้เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหันไปมองรอบ ๆ ข้าง เหมือนว่าเขาเองก็กำลังประหม่าอยู่ไม่น้อย
“ถ้าพี่พูดจริง งั้นพี่บอกได้ไหมว่าทำไมพี่ถึงชอบผม”
“มันไม่มีเหตุผลอะ”
“ไม่ได้ มันต้องมีดิ”
“ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าไปชอบตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว แค่รู้สึกว่าชอบเวลาที่เราได้ใช้เวลาด้วยกัน” พี่ปรงตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม จากตอนแรกที่ผมเอาแต่คาดคั้นเขา กลายเป็ว่าตอนนี้ผมกลับรู้สึกประหม่าซะเอง
“พี่แน่ใจเหรอว่ามันคือความรู้สึกชอบจริง ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกสงสาร”
“ชอบจริงๆ”
“…”
“แล้วก็เพิ่งรู้ตัวด้วยว่าชอบมากขนาดนี้”
“…”
“พี่ไม่ได้หวังว่าน้องจะต้องตอบตกลงหรือว่าอะไรนะ พี่แค่อยากให้น้องรู้ว่าสิ่งที่พี่ทำไปทุกอย่าง พี่ทำไปเพราะเต็มใจทำให้จริง ๆ แล้วก็ไม่อยากให้รู้สึกผิดกับเื่นั้นแล้ว” พี่ปรงพูดพร้อมกับยื่นมือมาจับไหล่ของผมเบา ๆ ซึ่งผมก็รู้ว่าเขาพูดถึงเื่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะคอยบอกผมอยู่ตลอดว่ามันไม่ใช่ความผิดของผม แต่เขาก็คงรับรู้ได้ว่าผมโทษตัวเองมาตลอด
“ผมไม่อยากให้พี่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”
“หมายความว่าไง”
“ผมรู้นะว่าพี่ไม่อยากให้ผมต้องเจ็บตัวหรือถูกใครเอาเปรียบ แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ต้องมาเดือดร้อนเื่ของผมเหมือนกัน” ผมรีบตอบกลับไปเมื่อเห็นว่าแววตาของพี่ปรงเปลี่ยนไป เขาคงเข้าใจผิดกับคำพูดของผมในตอนแรก แต่ผมไม่ได้หมายความว่าไม่อยากให้เขามาทำอะไรให้แล้วนะ ผมแค่ไม่อยากให้เขาทำเพื่อผมจนลืมนึกถึงตัวเอง
“…”
“ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร แต่ผมก็อยากขอบคุณพี่มาก ๆ เลยกับทุก ๆ เื่ที่ผ่านมาที่พี่ทำให้ผม พี่เป็คนแรกเลยนะที่ผมจะนึกถึงเสมอเวลาที่เจอทั้งเื่ที่ดีและไม่ดี”
“…”
“เวลาที่ผมไปเจอเื่ร้าย ๆ ผมก็จะนึกถึงพี่ เพราะพี่เป็คนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งเวลาที่อยู่ด้วย และเวลาที่ผมไปเจอเื่ดี ๆ ผมก็จะนึกถึงพี่ก่อนตลอด อยากให้พี่มาอยู่ตรงนี้ด้วยกัน เพราะที่ผ่านมาพี่ดีกับผมมากจนรู้สึกว่าผมโชคดีจังที่ได้มารู้จักกับพี่” ผมตอบกลับพร้อมกับเผยยิ้มออกมา ซึ่งพี่ปรงที่กำลังมองมาทางผมก็หลุดยิ้มออกมาเหมือนกัน
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้แทบจะไม่มีแดดเลย แต่ดอกไม้ในสวนกลับเบ่งบานราวกับตอนนี้เป็่เวลาในฤดูร้อนที่สดใส ผมกับพี่ปรงหันหน้าหนีกันไปคนละทางเพื่อแอบยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าทำไมถึงจะต้องแอบด้วย ในเมื่อก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าต่างคนต่างยิ้มให้กับสถานการณ์ตรงหน้า และพอคิดมาถึงตอนนี้แล้ว ผมััได้ถึงความรู้สึกจริง ๆ ของพี่ปรงที่เขาบอกว่าเขาไม่ได้คาดหวังอะไรจากผม เขาหมายความแบบนั้นจริง ๆ เพราะเขาไม่ได้คาดคั้นหรือถามถึงคำตอบจากผมเลยสักนิด
“พี่ดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้” พี่ปรงตอบกลับมาเท่านั้นหลังจากที่เราทั้งสองคนเงียบไปนาน เขายิ้มออกมาเหมือนคนที่มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้ ซึ่งผมไม่เคยเห็นเขาเป็แบนนี้มาก่อน ในขณะที่ผมเองก็พยายามจะเม้มปากสุดฤทธิ์ แต่พอได้เห็นรอยยิ้มจากเขา มันก็ทำให้ผมหลุดยิ้มตามออกมาตลอด
ผมพูดเลยว่าคนที่ยิ้มสวยเป็อันดับหนึ่งในใจผมตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว รอยยิ้มของพี่อูนที่ทำให้รุ่นน้องใจละลายกันขนาดนั้น สู้รอยยิ้มตอนนี้ของพี่ปรงไม่ได้เลยสักนิด แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันพิเศษก็เพราะว่ารอยยิ้มนี้ของพี่ปรง
คงมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่จะได้เห็น
“ผมต้องไปที่แปลงแล้ว วันนี้อาจารย์จะมาตรวจผัก” ผมเอ่ยบอกหลังจากที่เรายืนยิ้มให้กันเหมือนคนเสียสติมานานหลายนาที พอยกนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่าตอนนี้เป็เวลาที่อาจารย์จะเริ่มตรวจงานเดี่ยวแล้ว ซึ่งตอนนี้เหลืออีกแค่ไม่กี่คนที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผักไปส่ง หนึ่งในนั้นก็คือผมที่เพิ่งปลูกไปได้ไม่กี่อาทิตย์เท่านั้น
“ให้พี่ไปด้วยได้ไหม อยากรู้ว่าผักรอบนี้จะเป็ยังไง” พี่ปรงเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่ง ๆ เขายกมือขึ้นมากอดอกเหมือนเดิมและเอียงมองมาทางผมเหมือนกำลังรอคำตอบจากผม โดยที่เขาไม่จำเป็ต้องขออนุญาตเลยสักนิด
“ไปสิ รอบนี้พี่เป็คนช่วยปลูก ผมจะได้ยกความดีความชอบให้พี่หมดเลย” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นพี่ปรงก็ขยับเข้ามาแล้วยกมือขึ้นมาวาดพาดบนไหล่ของผมก่อนจะกึ่งเดินกึ่งดึงให้ผมเดินตามไปเลย
ไม่ว่าที่ผ่านมาผมจะสนิทกับเขามากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยกอดคอผมแบบนี้มาก่อนเลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็ท่าธรรมดาทั่ว ๆ ไปที่ใคร ๆ เขาก็ทำ แต่ผมกลับใจเต้นแรงขึ้นมาซะอย่างนั้น และเพราะพี่ปรงเขาสูงกว่าผมมาก ทำให้ไหล่ของผมกลายเป็ที่วางแขนของพี่ปรงไปเลย
เราเดินเข้ามาในแปลงผักพร้อมกันท่ามกลางสายตาของเพื่อน ๆ ในภาคที่มองมา อาจจะเป็เพราะผมมาช้าที่สุด คนอื่นก็เลยมองกันเป็ปกติ แต่ผมดันเขินจนต้องดันพี่ปรงให้ออกห่างไปนิดหน่อย ผมเชื่อว่าไม่มีใครคิดอะไรหรอก แต่เพราะใจผมรู้ดีว่าผมกับพี่ปรงรู้สึกยังไงต่อกัน มันเลยกลายเป็ว่าพวกเรามีพิรุธกันเอง โดยที่ยังไม่มีใครจับสังเกตอะไรได้เลย
ผมเดินไปประจำที่ผักของตัวเองที่ตอนนี้โตสวยจนเกือบจะพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว ส่วนพี่ปรงก็เดินเข้าไปพูดคุยอะไรบางอย่างกับอาจารย์ในขณะที่อาจารย์ก็เดินตรวจผักไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอาจารย์เดินมาถึงยังผักของผม
“โตดีแล้วนี่รอบนี้” อาจารย์ก้มลงมาแหวกผักของผมดูอย่างพิจารณา ก่อนที่จะจดอะไรบางอย่างลงในกระดาษที่ถือมาด้วย หลังจากนั้นอาจารย์ก็เงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะถามต่อ “เก็บเกี่ยวได้เมื่อไหร่ ทานตะวัน”
“อีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ครับ”
“ตอนนี้อาจารย์ว่ามันก็โตดีแล้วนะ แต่รออีกสักอาทิตย์อย่างที่บอกก็ได้ ผักจะได้ไม่ขมจนเกินไป” อาจารย์พูดกับผมพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ซึ่งนั่นทำให้ผมโล่งใจมาก ๆ ที่ได้เห็นว่างานของผมมันกำลังจะผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากที่ผมต้องปวดหัวกับมันมาหลายเดือน ครั้งนี้คงเป็การปลูกผักครั้งสุดท้ายของผมแล้วจริง ๆ
“ขอบคุณครับอาจารย์”
“ผักของทานตะวันนี่สวยที่สุดเลยนะั้แ่ที่อาจารย์ดูมา ไม่มีรอยเกิดโรคหรือว่ารอยแมลงกินใบเหมือนคนอื่น ๆ ด้วย แบบนี้ก็คงได้คะแนนเยอะที่สุดในคลาสแล้วล่ะมั้ง” อาจารย์พูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ก็ได้พี่ปรงนี่แหละครับที่มาช่วย”
“มันเป็เพราะว่าเธอดูแลผักดีด้วยต่างหาก อาจารย์คิดเอาไว้อยู่แล้วแหละว่าเธอจะต้องทำได้ ปลูกเสร็จช้าที่สุดแต่ทำได้ดีกว่าคนอื่นมากเลยนะ เอาล่ะทุกคน วันนี้แยกย้ายกันได้ แล้วอย่าลืมเปิดสแลนกันฝนก่อนกลับด้วยล่ะ เดี๋ยวฝนตกหนักแล้วผักจะตายหมด” อาจารย์พูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนที่จะเดินออกจากบริเวณนี้ทันที
ไปแล้ว แต่พี่ปรงไม่ได้เดินตามไปด้วย เขาใช้มือแหวกผักเหมือนที่อาจารย์ทำในตอนแรกจนผมต้องยื่นมือไปตีมือเขาเบา ๆ เพื่อให้เขาเลิกจับผักของผมสักที ไม่งั้นผักของผมคงได้ช้ำก่อนจะได้เก็บเกี่ยวกันพอดี
“แอบใช้สารเคมีหรือเปล่าเนี่ย” พี่ปรงเอ่ยถามขึ้น
“ใช่ แอบฉีดเวลาไม่มีคนอยู่”
“สงสัยต้องฟ้องอาจารย์แล้วล่ะมั้ง”
“ขอบคุณนะพี่ปรง ถ้าไม่ได้พี่มาช่วย ผมต้องแย่แน่ ๆ” ผมหันไปพูดกับเขา ต้องยอมรับเลยว่าผักผมจะไม่โตขึ้นดีขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ปรงคอยช่วย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองติดหนี้เขาอยู่หลายเื่เลย
“อย่างที่อาจารย์บอก มันไม่ใช่เพราะพี่ทั้งหมดหรอก ทานตะวันเองก็เก่ง”
“ไม่จริงหรอก”
“จริง” พี่ปรงพูดพร้อมกับจับไหล่ผมให้หมุนตัวหันกลับไปหาเขา ก่อนที่เขาจะพูดต่อ “ที่ผักมันโตได้ขนาดนี้ ก็เพราะน้องคอยมารดน้ำ คอยมาดูแลมันไม่ใช่หรือไง ให้เครดิตตัวเองหน่อย”
“…”
“อย่าคิดว่าตัวเองไม่เก่ง”
“…”
“เพราะสำหรับพี่ ทานตะวันเก่งที่สุดเลย”
เป็อีกครั้งที่คำพูดของพี่ปรงมีผลกับใจผมมหาศาล หัวใจที่เต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้แก้มของผมเริ่มเปลี่ยนสี การกระทำและคำพูดของเขามักจะทำให้มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจผมเสมอ และผมก็รู้ตัวเองทันทีว่าความรู้สึกนั้นมันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ มันไม่ได้เพิ่งเกิด เพียงแต่ว่าผมเพิ่งเข้าใจเท่านั้นเอง
ตอนนี้ผมตอบคำถามของขนุนที่เคยถามได้แล้ว มันเคยถามผมว่าความรู้สึกชอบที่ผมมีต่อพี่ปรง มันคือความรู้สึกชอบแบบไหน ซึ่งผมก็ยังตอบไม่ได้แบบชัดเจนว่าผมชอบเขาแบบไหน
แต่ผมไม่ได้ชอบเขาแบบรุ่นน้องชอบรุ่นพี่แน่นอน