คนทั้งจวนรู้ว่าฮูหยินค้างคืนที่เรือนท่านแม่ทัพ ทุกคนหวังว่าจะได้เห็นภาพหวานชื่นของคู่แต่งงานใหม่ แต่กลับพบบรรยากาศอึมครึมราวกับมีเมฆดำก้อนใหญ่ปกคลุมในจวน
“เหตุใดจึงเป็เช่นนี้นะ” เสี่ยวฉู่พึมพำกับพ่อบ้าน “ท่านพ่อบ้านไปแนะนำอย่างไรถึงได้กลายเป็เช่นนี้”
“ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” พ่อบ้านโคลงศีรษะไปมา หลังจากผ่านค่ำคืนเร่าร้อนน่าจะเต็มไปด้วยบรรยากาศหอมหวาน เขายังตระเตรียมอาหารสำหรับบำรุงร่างกายให้นายท่านและฮูหยิน แต่ไฉนฮูหยินกับท่านแม่ทัพก็ยังดูเหินห่างเหมือนเดิม
หรือจะพูดให้ถูก ดูห่างเหินมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
คนที่ดูร่าเริงสดใสกว่าน่าจะเป็สตรีที่ชื่อเฉียวฉู่ ประเดี๋ยวก็อยากกินโน้น ประเดี๋ยวก็อยากกินนี่ ที่นอนแข็งไปบ้าง ในห้องนอนมีกลิ่นอับ เสื้อผ้าสวมใส่ไม่พอดี คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือฮูหยินที่ต้องเข้าไปจัดการให้ถูกใจแม่นางไร้มารยาทผู้นั้น
“ป่านนี้ยังไม่ส่งคนมารับกลับอีก ไม่ใช่ว่าจะทอดทิ้งแล้วรึ” เสี่ยวฉู่เบ้ปาก “ข้าเห็นใจฮูหยินจริงๆ นะ เหตุใดท่านแม่ทัพถึงทำเช่นนี้ หรือว่า...”
“จะพูดอะไรก็พูดใจจบสิ เสี่ยวฉู่!” ป้าแม่ครัวหงุดหงิด หยิบหนอไม้ปาใส่เสี่ยวฉู่ ยามนี้ทุกคนในจวนล้วนเป็ห่วงฮูหยินกันทั้งนั้น
“หรือว่าท่านแม่ทัพจะรับสตรีผู้นั้นมาเป็ภรรยาอีกคนไงเล่า!” เสี่ยวฉู่ยกมือปัดไปมา แม้จะไม่เลอะเทอะนักแต่เกรงว่าจะมีหน่อไม้ติดตามตัว
“พูดจาเหลวไหล” ป้าแม่ครัวขึงตาใส่สาวใช้ก่อนกันไปทางพ่อบ้าน “ไม่จริงใช่ไหมเ้าค่ะ ท่านแม่ทัพแต่งงานยังไม่ถึงสามเดือน จะรับภรรยาใหม่แล้วรึ”
“ข้าก็ไม่รู้”
พ่อบ้านถอนหายใจเฮือกใหญ่ บุรุษมีสามภรรยาสี่อนุก็ไม่ใช่เื่แปลกอันใด แต่สามีที่ละเลยภรรยาเอก ใส่ใจแต่ภรรยารองก็เกรงว่าจะเป็ที่นินทาไปทั่ว แต่ฮูหยินก็เป็สตรีที่ฮ่องเต้ประทานมา ท่านแม่ทัพคงไม่ทอดทิ้งเป็แน่
“เสี่ยวฉู่”
“เ้าค่ะ”
เสียงจ้าวจื่อรั่วทำเอาผู้อื่นสะดุ้งใกันไปหมด หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ แล้วเดินเข้ามาในครัว
“เปาเป่ายังไม่ได้กินถั่วฝักยาวเลย ข้าว่าจะไปเก็บถั่วเสียหน่อย”
“ประเดี๋ยวข้าไปเก็บให้เปาเป่าเองเ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง เ้าอยู่ที่นี่เผื่อว่าแม่นางเฉียวฉู่้าเรียกใช้”
“หา...แต่ว่า...”
“นะ ...ถือว่าข้าขอร้องเ้าก็แล้วกัน”
ได้ยินฮูหยินพูดขนาดนี้ เสี่ยวฉู่ไม่กล้าขัด นางจึงได้แต่พยักหน้ารับ คนอื่นก็เช่นกัน ทุกคนเข้าใจฮูหยินดี จึงปล่อยให้นางเดินไปสวนด้านหลังพร้อมเ้าแพะน้อยแสนฉลาดที่เดินตามราวกับสุนัขตัวหนึ่ง พ่อบ้านบ่าวรับใช้คนอื่นได้แต่ถอนหายใจ พวกเขาเป็คนของท่านแม่ทัพแต่ก็อดเป็ห่วงฮูหยินไม่ได้จริงๆ
จ้าวจื่อรั่วได้ยินทุกถ้อยคำ นางตั้งใจเดินมาขอถั่วฝักยาวให้เ้าแพะน้อยจริงๆ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วนางจึงเปลี่ยนใจ แต่ถ้าหายไปเฉยๆ ผู้อื่นอาจลำบากตามหา หรือไม่...อาจไม่มีใครสนใจนาง
ผ่านคืนนั้นแล้วอย่างไร เขาทรมานนางไปถึงเช้า หมดสิ้นเรี่ยวแรงแทบลุกไม่ไหว นางเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาที่ผุดลุกขึ้นจากไปไม่เหลียวกลับมามอง นางต้องรวบรวมเรี่ยวแรงลุกขึ้นไปจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เสี่ยวฉู่นำมาส่งแล้วเดินกลับมาเรือนของตน นางผล็อยหลับไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงแม่นางเฉียวฉู่โวยวายเื่อาหารไม่ถูกปาก นางจำใจต้องลุกขึ้นมาเข้าครัวด้วยตนเอง หลังจากนั้น แม่นางเฉียวฉู่ก็มีเื่มาให้นางต้องยื่นมือเข้าไปจัดการเอง แม่ทัพใหญ่ฝึกซ้อมทหารอย่างสม่ำเสมอ กลับมาก็ไม่ได้เรียกหานาง นางก็ไม่ได้หน้าหนาจะเข้าไปหา เขาเพียงกำชับให้ดูแลแม่นางเฉียวฉู่ให้ดี
ตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพที่ได้มา ช่างดูว่างเปล่าเสียจริง
จ้าวจื่อรั่วเดินมาถึงแปลงผักด้านหลัง เ้าแพะน้อยร่าเริงที่ได้เห็นผักงามๆ น่ากิน ก็ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ หญิงสาวคว้าสายจูงที่ตนเองใช้เศษผ้าถักเป็เชือกทำสายจูงให้มันไว้ได้ทัน
“ไม่ได้นะ เ้าจะกินผักทั้งแปลงไม่ได้” จ้าวจื่อรั่วดุแพะน้อย แต่ดวงตากลมใสไร้เดียงสาทำให้นางหัวเราะออกมา แล้วจูงมันไปผูกไว้ที่ต้นไม้ไม่ไกลนัก
“รอที่นี่ ข้าจะเก็บถั่วฝักยาวให้” หญิงสาวลูบหูเล็กๆ ที่กระดิกไปมาแล้วเดินไปเด็ดถั่วฝักยาวอวบๆ หลายฝัก ความจริง นางก็แค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ หากเป็ตอนที่อยู่จวนสกุลจ้าว นางคงกำลังทำอาหารให้น้องชายทั้งสองและช่วยทบทวนตำราเรียนให้พวกเขา ยังดีที่นางได้เรียนหนังสือฝึกเขียนอักษร เหตุเพราะบิดาเชิญอาจารย์มาสอนบุตรสาวคนโต นางจึงได้เข้าเรียนด้วย ทำให้ตนเองอ่านออกเขียนได้ ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็คนโง่เขลา...
อันที่จริง นางก็เป็คนโง่เขลาจริงๆนั้นแหละ นางยังไม่เคยเข้าใจ ต้องทำอย่างไรในฐานะฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่
“เปาเป่า! เ้าค่อยๆกินหน่อยสิ” จ้าวจื่อรั่วยื้อแย่งถั่วฝักยาวกับแพะน้อย “เ้าตะกละเสียเหลือเกิน ข้าแบ่งขนมน้ำตาลให้กินไปคำหนึ่งแล้วนะ”
เ้าแพะน้อยไม่พอใจ มันใช้หัวดันๆ ขาของจ้าวจื่อรั่ว หญิงสาวหัวเราะเสียงใส นางหมุนตัวหลบเ้าจะกละ กระโปรงสีเขียวอ่อนพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้เบ่งบาน ภายแสงอาทิตย์ยามเย็นดูงดงามราวภาพวาดจับตา บุรุษผู้หนึ่งยืนมองจนแทบลืมหายใจ จ้าวจื่อรั่วหยอกล้อกับแพะน้อยอย่างสนุกสนานไม่รู้ว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ จนเท้าของนางไปสะดุดกับก้อนหินเข้าให้ทำให้เสียหลักล้มลง ทว่ามือใหญ่คู่หนึ่งประคองไว้ได้ทัน หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มพลันหายไปทันที ท่าทางตื่นตระหนกของนางทำให้ชายหนุ่มได้สติ เมื่อเห็นว่านางยืนได้มั่นคงแล้วจึงปล่อยมือออกจากไหล่ของนาง
“ขออภัยที่ล่วงเกิน ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่จะช่วยแม่นางเท่านั้น”
จ้าวจื่อรั่วพยักหน้ารับขยับตัวถอยห่างพลางพูดเสียงแ่ “ขอบคุณท่าน”
“ข้าชื่ออ้ายเสิน” เขารีบแนะนำตัวก่อนหญิงสาวจะจูงแพะน้อยหนีไป “ข้าเป็คนของแม่ทัพกู้”
จ้าวจื่อรั่วชะงักไป “ท่าน...เป็ทหารรึ”
“ข้าเป็ทหารของท่านแม่ทัพ ข้ารีบเดินทางกลับจึงใช้เส้นทางลัดและมาทางนี้”
ชายที่ชื่ออ้ายเสินพูดขึ้น รูปร่างของสูงหนาราวกับหมี เขากลัวนางจะหวาดกลัวจึงไม่ขยับไปใกล้อีก แต่ก็ดีใจที่นางไม่หวีดร้องเช่นสตรีอื่น
“เ้าเป็สาวใช้คนใหม่รึ สามเดือนก่อนออกเดินทางข้ายังไม่เห็นเ้าเลย”
‘สาวใช้? เหตุใดใครก็เห็นนางเป็สาวใช้ หรือนางอัปลักษณ์จนไม่มีใครคิดว่าคู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพกู้’
“ข้าต้องไปแล้ว”
นางไม่ได้เอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ ขนาดแม่นางเฉียวฉู่พูดต่อหน้าแม่ทัพกู้คิดว่านางเป็สาวใช้ เขายังไม่แก้ต่างให้เลยสักนิด ชายผู้นี้เป็ทหารของเขา เขาคงไม่้าให้ใครรู้กระมังว่ามีภรรยาอัปลักษณ์เช่นนาง
“แม่นาง...”
อ้ายเสินก้าวเท้าตามร่างบางที่เดินจูงแพะน้อยกลับไปทางเรือน เขาเห็นนางพยายามเดินเร็วๆ หนีเขาแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ เขาผ่อนฝีเท้าลงให้นางเดินนำหน้าไปก่อน หากเป็คนในจวนท่านแม่ทัพอย่างไรก็ต้องได้รู้จักกันอย่างแน่นอน
จ้าวจื่อรั่วรู้สึกกลัวชายแปลกหน้าผู้นั้น แม้เขาไม่ได้แสดงกิริยากักขฬะหรือหยาบคายใดๆ แต่นางก็ไม่สามารถจะแย้มยิ้มต้อนรับบุรุษตามลำพังสองคนได้ นางจึงเร่งเดินกลับไปที่โรงครัวเพราะอยู่ใกล้แปลงผัก ระยะเวลาเพียงหนึ่งเค่อ หญิงสาวก็เดินมาถึง เสี่ยวฉู่กำลังจะไปตามฮูหยินเพราะเกรงว่าจะเย็นค่ำเกินไปแล้วก็เห็นร่างอรชรของฮูหยินเดินกลับมาแล้ว
“เสี่ยวฉู่ ข้าจะกลับเรือน”
“เ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้ารับ แต่มองไปด้านหลังเห็นร่างใหญ่โตคุ้นตาเดินเข้ามาใกล้ นางก็ร้องทักด้วยความตื่นเต้นยินดี
“อ้ายเสิ่นกลับมาแล้ว!”
“ข้ากลับมาแล้ว” อ้ายเสิ่นร้องทักโบกไม้โบกมือให้ทุกคน แต่สายตายังคงมองร่างหญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนผู้นั้น
“เดินทางราบรื่นหรือไม่” พ่อบ้านเอ่ยทักอ้ายเสิน
“ราบรื่นดี” เขาหัวเราะ “ข้าหิวมากแต่ขอไปพบท่านแม่ทัพกู้ก่อนนะ”
“ได้ๆ ข้าจะเตรียมกับข้าวไว้ให้”
แม่ครัวพูดคุยอย่างเป็กันเอง ดูเหมือนทุกคนลืมฮูหยินไปหมดสิ้น จ้าวจื่อรั่วไม่หันกลับมามอง สองเท้าเร่งเดินกลับไปที่เรือนของตนทันที นางพาแพะน้อยเข้าคอกแล้วกลับเข้าเรือน นางจุดเทียนในห้องแล้วก็มองกระดาษที่ว่างเปล่า เมื่อไหร่น้องชายทั้งสองจะส่งจดหมายมาหานางนะ หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบตะกร้าปักผ้าออกมานั่งทำงานที่ค้างไว้
อ้ายเสิ่นเดินตรงไปยังเรือนของท่านแม่ทัพตามคำบอกของพ่อบ้าน ท่านแม่ทัพกลับจากค่ายทหารแล้ว เมื่อเห็นทหารคนสนิทที่ส่งไปสืบข่าวกลับมาก็พลันโล่งใจ
“ลำบากเ้าแล้ว”
“ทุกอย่างราบรื่นดีขอรับ” อ้ายเสิ่นรีบรายงานข่าวให้ท่านแม่ทัพใหญ่ทราบ เขาเป็สายลับสอดแนมความเคลื่อนไหวของแคว้นเหลียง บางเื่ไม่สามารถเขียนจดหมายรายงานได้
“ข้าเข้าใจแล้ว เดินทางไกลเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เ้าไปพักผ่อนเถิด”
“ขอรับ”
แม่ทัพกู้เดินออกมาจากห้องหนังสือพร้อมพลทหารอ้ายเสิ่น พลันหญิงสาวในชุดแดงสดใสก็ปราดเข้ามาเกาะแขนกู้ตงหยาง
“ท่านแม่ทัพกู้ ข้ารอกินข้าวเย็นพร้อมท่าน!”
อ้ายเสิ่นเห็นท่าทางสนิทสนมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็นึกถึงข่าวที่ตนได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพแต่งงานแล้ว เขาจึงประสานมือคารวะหญิงสาวอย่างนอบน้อม
“ข้าอ้ายเสิ่นขอคารวะฮูหยิน”
เฉียวฉู่ได้ยินก็หัวเราะคิกคัก แต่กู้ตงหยางสีหน้าดุดัน อ้ายเสิ่นผู้โง่เขลาไม่เข้าใจสีหน้าของแม่ทัพใหญ่ หรือท่านแม่ทัพคิดว่าเขาคิดล่วงเกินภรรยาของท่าน ด้วยเกรงว่าจะยิ่งทำให้ไม่พอใจ เขาจึงรีบขอตัวลาทันที แม่ทัพกู้แกะมือของเฉียวฉู่ออกจากท่อนแขนของตน ใบหน้าหวานหุบยิ้มไปทันที
“อย่าทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเช่นนี้อีก”
“ท่านก็เห็น ข้าไม่ได้พูดอะไรสักคำ” นางแสร้งทำตาเศร้า “ท่านไม่สงสารข้าหรือ ข้าถูกโจรชั่วจับตัวไป ชื่อเสียงไม่เหลือแล้ว หากท่านไม่รับข้าไว้ เกรงว่ากลับบ้านไปคงมีแพรขาวสามฉื่อรอ อยู่”
กู้ตงหยางได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงสะบัดจากหญิงสาวแล้วเดินกลับเข้าห้องหนังสือ เพราะหันให้ เขาจึงไม่เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวในชุดแดง
“สิ่งใดที่ข้าอยากได้ก็ต้องได้ ไม่เช่นนั้นอย่าเรียกข้าว่าเฉียวฉู่”
*** แพรขาวสามฉื่อ ผ้าขาวสำหรับผูกคอเพื่อฆ่าตัวตาย ***