สองวันมานี้เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางไปกลับระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ
หลังเข้ารับการผ่าตัดอาการของทังหงเอินนับว่าฟื้นตัวได้ไม่เลว การดูแลก็มีผู้ช่วยพยาบาลเป็ผู้ดูแล เซี่ยเสี่ยวหลานแค่พูดคุยเป็เพื่อนเท่านั้น ไม่จำเป็ต้องเตรียมอาหารใดๆ เนื่องจากทังหงเอินต้องอดอาหาร 2-3 วัน หลังจากนี้ก็รับประทานอาหารเหลวเป็หลักด้วย
“ของหวาน นมวัว กับน้ำเต้าหู้ อาหารเหลวที่ทำให้เกิดลมในท้องง่ายพวกนี้ก็กินไม่ได้เหมือนกัน แต่หมอบอกว่าคุณฟื้นตัวได้ดีมากนะคะ คุณอาทัง”
จากสภาพของทังหงเอินก็ถือว่าดีมากจริงๆ
ตัวเขาที่ยังอยู่ใน่พักฟื้นไม่แสดงความอ่อนแออย่างคืนนั้นที่พบจี้เจียงหยวนเป็ครั้งแรกอีกแล้ว ท่าทางกลับมาเป็นายกเทศมนตรีทังผู้ฟันแทงไม่เข้าอีกครั้ง ตอนนี้ทังหงเอินแค่้าให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยไว และกลับไปทำงานโดยเร็ว!
ด้วยประสบการณ์ชีวิตของทังหงเอิน เขาไม่้าการปลอบใจจากเซี่ยเสี่ยวหลานโดยสิ้นเชิง
ทังหงเอินไม่ชอบที่เธอมาโรงพยาบาลบ่อยเกินไปด้วยซ้ำ เขาบอกว่านี่เป็เพียงการผ่าตัดเล็กเท่านั้น มาเยี่ยมเขาบ่อยๆ เพื่ออะไร ทั้งยังบอกเซี่ยเสี่ยวหลานอีกว่าไม่จำเป็ต้องมาวันละสองรอบ
ทั้งสองต่างไม่เอ่ยถึงคำว่า ‘จี้เจียงหยวน’ สามตัวอักษรนี้เลย การเล่าสถานการณ์ให้เซี่ยเสี่ยวหลานรับทราบในตอนนั้นและการคุยเื่พวกนี้กับเธออยู่เรื่อยเป็คนละส่วนกัน โดยอย่างหลังไม่ใช่สิ่งที่ทังหงเอินจะทำเลยจริงๆ หรือจะให้เขา้าสาวน้อยคนหนึ่งมาปลอบใจเขารึ?
ทังหงเอินเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานเป็เพียงหญิงสาวคนหนึ่ง แม้เธอจะฉลาดหลักแหลมกว่าคนรุ่นเดียวกัน ทว่าก็ยังมีวัยวุฒิไม่พออยู่ดี
มุมมองของเซี่ยเสี่ยวหลานต่อน้องสาวโจวเฉิงเป็เช่นนี้เหมือนกัน
เรียนมัธยมต้นปีสาม ไม่ใช่เด็กสาวแล้วจะเป็อะไร?
กู้ซือเหยียนมาหาเธอที่หัวชิงในวันพุธ เซี่ยเสี่ยวหลานลงจากอาคารก็เห็นกู้ซือเหยียนกำลังก้มหน้าใช้เท้าเขี่ยกิ่งไม้ท่อนหนึ่งไปมา หลังปู้ยี่ปู้ยำมันอยู่นาน ก็เก็บกิ่งไม้ขึ้นมาโยนใส่ถังขยะ เซี่ยเสี่ยวหลานนึกว่าเธอคงรอจนเบื่อ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่ากู้ซือเหยียนกำลังมองซ้ายมองขวา เหมือนว่าเธอกำลังรู้สึกกระวนกระวายใจมากทีเดียว
“ซือเหยียน รอนานแล้วหรือ?”
“หา ไม่ไม่! พี่เซี่ย ฉันมาคืนเงินให้พี่ค่ะ”
กู้ซือเหยียนหยิบต้าถวนเจี๋ยออกมา 5 ใบ มุมเรียบไร้รอยพับทุกใบ เด็กคนนี้น่าจะได้รับการอบรมมาดีมากจริงๆ พอเทียบกับลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ของโจวเฉิงอย่างโจวอี๋แล้วนั้น น้องกู้ช่างน่ารักเกินไปแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ปฏิเสธที่จะรับเงิน ช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนชั่วคราวนั้นย่อมไม่มีปัญหา ทว่าเธอเองยังคงเป็เพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ให้เงินนักเรียนมัธยมต้นอย่างกู้ซือเหยียนเป็การส่วนตัว บ้านกู้ไม่รู้สึกซาบซึ้งหรือขอบคุณเธอแน่ จะตามใจลูกของคนอื่นเขาโดยไม่คิดอะไรไม่ได้ แม้ให้เงินกู้ซือเหยียนไม่ได้ แต่ยังพอเลี้ยงข้าวกู้ซือเหยียนได้ไม่ใช่หรือ
“เธอเลิกเรียนแล้วมาทันทีรึ? ฉันเลี้ยงข้าวเธอก่อนกลับไปดีกว่า”
กู้ซือเหยียนส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย ปัญหาหนักใจทั้งหมดของเธอถูกเขียนไว้บนหน้า เซี่ยเสี่ยวหลานอยากทำเป็ไม่เห็นก็ไม่ได้ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะมีปัญหากังวลใจอะไรเล่า หรือว่าอาการเจ็บป่วยของเพื่อนร่วมชั้นจะร้ายแรง?
เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้แค่คาดเดาไปแบบนี้
“เพื่อนร่วมชั้นของเธอเป็อย่างไรบ้าง ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรรุนแรงสินะ?”
กู้ซือเหยียนตื่นตระหนกขึ้นมาในบัดดล “พี่หมายถึงเหอเจีย? เธอไม่เป็ไร แค่กินจนท้องไส้ไม่ดีน่ะค่ะ พี่เซี่ย ฉันกลับก่อนนะ...”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกแปลกประหลาด
กู้ซือเหยียนกำลังขี่จักรยานเตรียมออกตัว เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งจะเสริม ‘ขี่รถระวังทาง’ อีกประโยค จู่ๆ กู้ซือเหยียนก็หยุดรถและตกลงมาจากจักรยาน
เด็กคนนี้กำลังตื่นตระหนกเื่อะไรอยู่กันแน่?
เซี่ยเสี่ยวหลานรีบวิ่งไปประคองเธอขึ้นมา ยังไม่ทันอ้าปากถาม กู้ซือเหยียนก็น้ำตาไหลพรากเสียแล้ว
“พี่เซี่ย ฉันเจอปัญหาเข้าแล้ว ฉันคิดว่าพี่ฉลาดมาก พี่ช่วยฉันหน่อยได้หรือไม่?”
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกให้เธอค่อยๆ พูด พอกู้ซือเหยียนลดความระมัดระวังลงก็ไม่สนอะไรโดยสิ้นเชิง บอกเซี่ยเสี่ยวหลานในสิ่งที่ไม่ต่างจากทิ้งเสียงฟ้าลั่นดังสนั่นให้เธอรู้—กู้ซือเหยียนบอกว่าเหอเจียหรือก็คือนักเรียนหญิงที่ไปโรงพยาบาลพร้อมกับเธอในวันนั้น ไม่ได้กินของผิดสำแดงจนท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนดังที่บอกในตอนแรก ทว่าเธอตั้งครรภ์!
เหอเจียและกู้ซือเหยียนกำลังเรียนมัธยมต้นปีสามเหมือนกัน เมื่อตรวจพบว่ากำลังตั้งครรภ์ทั้งสองคนก็รู้สึกใมาก หมอรู้ว่าพวกเธอเป็นักเรียน อีกทั้ง้าจะแจ้งผู้ปกครอง แต่เหอเจียกลับอ้างขอตัวไปเข้าห้องน้ำ และแอบหนีออกจากโรงพยาบาลไปทันที
เหอเจียอ้อนวอนกู้ซือเหยียนว่าจะบอกอาจารย์ไม่ได้ และบอกผู้ปกครองไม่ได้เช่นกัน
ตอนนั้นกู้ซือเหยียนเองก็รู้สึกเสียขวัญมาก พอเหอเจียร้องไห้เธอก็รับปากทันที ทว่าสองวันที่ผ่านมานั้นเธอกลับต้องแบกรับความกดดันทางจิตใจอันใหญ่หลวง แม้คนที่ตั้งครรภ์คือเหอเจีย แต่ไม่ว่ากู้ซือเหยียนจะทำอะไรก็รู้สึกสับสนงุนงงไปหมด
บอกอาจารย์ไม่ได้ บอกผู้ปกครองก็ไม่ได้ เช่นนั้นสามารถพูดกับใครได้บ้าง?
เซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏตัวได้เหมาะเจาะพอดียิ่งนัก รัศมีเด็กเรียนเก่งของเธอช่างสะดุดตาเหลือเกิน สำหรับกู้ซือเหยียนเซี่ยเสี่ยวหลานคือคนที่สามารถแก้ไขปัญหาใดก็ได้ อีกอย่างวันนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานยังเห็นกู้ซือเหยียนกับเหอเจียไปโรงพยาบาลด้วย... พอวันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานแสดงความห่วงใยมากกว่าปกติ กู้ซือเหยียนจึงอดไม่ได้ที่จะบอกความลับสุดยอดนี้!
กู้ซือเหยียนไม่ได้ทรยศเพื่อนสนิท ทว่าเธอแค่้าความช่วยเหลือ
เซี่ยเสี่ยวหลานใเป็อย่างยิ่ง แต่ในเวลาแบบนี้เธอจะตำหนิกู้ซือเหยียนไม่ได้
“ไม่ได้ตรวจผิดพลาดแน่นะ? ไม่บอกเื่แบบนี้กับผู้ปกครอง แล้วพวกเธอเตรียมตัวจะทำอย่างไร? เหอเจียกับเธอเป็แค่นักเรียน พวกเธออายุแค่สิบกว่าปีเท่านั้น เหอเจียต้องออกจากโรงเรียนกลับบ้านไปคลอดลูกรึ?”
คำถามย้อนกลับของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้กู้ซือเหยียนยิ่งกระวนกระวายกว่าเดิม
ออกจากโรงเรียนและกลับบ้านไปคลอดลูก?
การอบรมที่กู้ซือเหยียนได้รับก็คือตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เื่เลิกเรียนหนังสือั้แ่มัธยมต้นปีสามนี้ กู้ซือเหยียนไม่เคยคิดมาก่อนแม้แต่น้อย การช่วยเหอเจียปิดบังผู้ปกครองกับอาจารย์ก็ดูเหมือนจะเป็ไปไม่ได้ ท้องของเหอเจียจะโตขึ้นทุกวันอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็วจะมีวันที่ปกปิดความลับนี้ไม่มิดอีกต่อไป
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ถามรายละเอียด แค่พูดจุดสำคัญบางส่วนให้กู้ซือเหยียนฟัง และปล่อยให้เธอไตร่ตรองด้วยตนเอง
“วัยอย่างพวกเธอน่ะยังเด็กเกินไป ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ในอนาคตพวกเธอไม่สามารถรับผิดชอบเองได้ทั้งนั้น หากตอนนี้เธอทำตามเหอเจียว่า นั่นไม่ใช่การช่วยเพื่อน แต่เป็การปล่อยให้เพื่อนผัดทุกอย่างออกไปจนวันข้างหน้าเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม... ถ้าเขาสารภาพต่อพ่อแม่ อาจจะโดนตีโดนว่า ทว่าชีวิตในภายภาคหน้าของเพื่อนเธอยังพอฝืนให้ไม่เบนจากเส้นทางที่ถูกต้องมากจนเกินไปได้”
กู้ซือเหยียนดูเชื่อแล้วอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็บ่นพึมพำออกมาเบาๆ
“แม่เหอเจียดุมาก คงได้ตีเธอตายแน่นอน ถ้าเหอเจียไม่ไปเข้าเรียนกวดวิชานั้นคงดี ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!”
ชั้นเรียนกวดวิชา?
เซี่ยเสี่ยวหลานตื่นตัวด้วยความระแวงขึ้นมาบัดดล เซี่ยจื่ออวี้ตั้งชั้นเรียนกวดวิชาขึ้นไม่ใช่หรือ ได้ยินจากโจวเฉิงว่าขนาดไม่เล็กเสียด้วย คงไม่ใช่ชั้นเรียนกวดวิชาเดียวกันสินะ?!
----------------------------------------
“เจี้ยนหัว ยินดีด้วยนะ!”
เซี่ยจื่ออวี้กางหนังสือพิมพ์ออก ความปลื้มปีติที่อยู่บนใบหน้าของเธอนั้นออกมาจากข้างในใจ
บนหนังสือพิมพ์คือรายงานข่าวหนึ่งเื่ รายงานว่าหวังเจี้ยนหัวนักศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งนำเพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบันจัดตั้งชั้นเรียนกวดวิชา ทั้งช่วยเหลือนักเรียนมัธยมที่ปรารถนาที่จะได้รับความรู้ ทั้งฝึกฝนนักศึกษาจิงซือเยวี่ยนเหล่านี้ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่อาชีพครู โดยชั้นเรียนกวดวิชาแห่งนี้ไม่ได้ยึดการแสวงหาผลกำไรเป็เป้าหมาย ค่าเล่าเรียนที่เรียกเก็บถูกใช้เพื่ออุดหนุนเหล่า ‘อาจารย์’ ที่เข้าร่วมการสอนนี้ การกระทำของหวังเจี้ยนหัวคือแบบอย่างที่ดีของนักศึกษาสมัยใหม่ผู้มีแิยืดหยุ่น อาศัยความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาหาเงินค่าครองชีพด้วยตนเอง ลดภาระหนักอึ้งของประเทศชาติ นี่เป็แนวทางใหม่อย่างหนึ่งที่อยู่ใน่ค้นคว้าและทดลอง... ในรายงานมีแต่คำชมเชยต่อหวังเจี้ยนหัว รายงานข่าวเช่นนี้ย่อมมาจากปลายปากกาของหวังก่วงผิงนั่นเอง
“จื่ออวี้ เดิมทีชั้นเรียนกวดวิชานี้เป็ความคิดของเธอ และเธอก็เป็คนก่อตั้ง ฉันแค่เข้าร่วมช่วยงานเล็กน้อยเท่านั้น”
หวังเจี้ยนหัวรู้สึกผิดมาก
เขารู้ว่าทำไมรายงานข่าวนี้ถึงปรากฏออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับได้โดยไม่ละอายใจ
ในรายงานข่าวนี้ไม่พบร่องรอยของเซี่ยจื่ออวี้แม้แต่น้อย กล่าวเพียงว่าชั้นเรียนกวดวิชาคือผลงานชิ้นบุกเบิกของหวังเจี้ยนหัว หวังก่วงผิง้ายืมสิ่งนี้เพื่อปูทาง และสร้างชื่อให้หวังเจี้ยนหัว ทำให้หวังเจี้ยนหัวกลายเป็แบบอย่างของนักศึกษายุคใหม่ เจือจางข้อด้อยด้านอายุของหวังเจี้ยนหัวลง และทำให้เขาโดดเด่นได้แม้จะศึกษาในวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง
ทั้งที่เป็ชั้นเรียนกวดวิชาของเซี่ยจื่ออวี้ ทว่าตอนนี้ผู้ที่เพลิดเพลินกับชื่อเสียงคือหวังเจี้ยนหัว
เซี่ยจื่ออวี้ดูเหมือนไม่ถือสาแม้แต่นิดเดียว
“ฉันเห็นด้วยกับที่คุณลุงพูดนะ สนับสนุนเธอก่อน ในอนาคตค่อยว่าเื่ของฉัน อย่างไรพวกเราก็เป็หนึ่งเดียวกันนี่นา ฉันจะดีต่อเมื่อเธอได้ดีเท่านั้น! มีรายงานข่าวนี้แล้ว เธอก็สามารถเข้าพรรค [1] และเลือกอย่างอื่นสะดวกทุกอย่าง... เจี้ยนหัว ฉันเชื่อมาโดยตลอดว่าเธอจะมีอนาคตสดใส!”
เชิงอรรถ
[1]入党 เข้าพรรค หมายถึง การเข้าเป็สมาชิกพรรคการเมืองต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้