เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มลามกของฉินเฟิงสีหน้าของหยุนเซียวก็บึ้งตึงเธอจ้องไปที่เขา “ฉินเฟิง ฉันเรียกเธอมาที่นี่เพราะอีกเหตุผลหนึ่งด้วย”
ฉินเฟิงจริงจังทันทีเขารู้ว่าเื่ต่อไปนี้อาจจะเป็เื่สำคัญที่หยุนเซียวเรียกเขาออกมา“ว่าต่อเลย”
“ฉินเฟิง ั้แ่ที่ฉันถูกลักพาตัว ธะ...เธอฆ่าคนเพื่อช่วยฉันฉันเลยกลัวการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น” หยุนเซียวกล่าวอย่างเป็เื่เป็ราว
ฉินเฟิงนึกเื่ภารกิจของระบบที่ให้ขจัดความหวาดกลัวของหยุนเซียวทันที
“ั้แ่นั้นมา ทุกครั้งที่ฉันเห็นเืหรือน้ำอะไรสีแดงๆฉันจะกลัวมากจนขวัญอ่อน ตอนที่ฉันเห็นคนโต้เถียงหรือทะเลาะกันตามถนนฉันกลัวจนขาอ่อน...เมื่อเร็วๆ นี้ฉันไม่แม้แต่จะพูดกับเพื่อนร่วมงานที่มหา’ ลัยไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ฉันรู้สึกหวาดระแวงและต่อต้าน”
“ทุกวันฉันแค่เข้าห้องเรียน ออกจากห้องเรียนและกลับบ้าน ฉันไม่พูดกับใครเลยฉันมีชีวิตอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา...ฉินเฟิง ฉันคิดว่าถ้าเป็แบบนี้ต่อไปฉันจะไม่เข้าสังคมและอาจจะเสียสติ” เมื่อเธอพูดถึงเื่นี้ เธอก็ไม่สบายใจเธอไม่ได้ใจเย็นและผ่าเผยเหมือนกับตอนที่เธอสอนเธอดูเหมือนลูกสิงโตที่ระบายความข้องใจออกมา
ฉินเฟิงมองหยุนเซียวด้วยสีหน้าอ่อนโยนเขาเอาใจใส่กับความรู้สึกของเธอในปัจจุบันั้แ่ที่เขาช่วยเธอมันก็เกือบเดือนแล้ว ภายในเดือนนั้น เธอไม่พูดกับใครทุกวันนี้เธออยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว เธอ้าเปลี่ยนสถานการณ์ในปัจจุบันนี้แต่ก็ไร้พลัง ความคิดหดหู่มากมายคุมขังในใจของเธอ
ฉินเฟิงโน้มตัวเล็กน้อยและรวบหยุนเซียวเข้ามาในอ้อมกอดแน่นเขาเท้าคางลงบนผมสลวยของหยุนเซียวและสูดดมกลิ่นหอมบางๆของเธอพร้อมกับลูบหลังของเธอเบาๆ “ครูหยุนเซียวร้องออกมาเลยให้มันออกมาให้หมดครูจะได้รู้สึกดีขึ้น”
หยุนเซียว้าระบายออกจริงๆเธอลืมตัวตนทั้งของตัวเองและของฉินเฟิงเธออิงแอบในอ้อมกอดที่อบอุ่นของฉินเฟิงอย่างเชื่อฟังและร้องไห้ออกมาเหมือนเด็ก
เธอร่ำไห้และปล่อยความกดดันในใจออกมาเธอรู้สึกว่าภาระของเธอค่อยๆ เบาลงและอารมณ์ก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเมื่อเธอสงบใจลงเสียงร้องไห้ของเธอก็หยุด
แล้วทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตัวเธอผงะออกจากอ้อมกอดของฉินเฟิงราวกับโดนไฟช็อก เธอมองฉินเฟิงอย่างเซ่อๆ“มะ...เมื่อกี้เราทำอะไรกันเหรอ?”
“เรากอดกัน” ฉินเฟิงบอกความจริง
“แล้ว?” หยุนเซียวรู้สึกกระวนกระวายเธอเป็ครูของฉินเฟิง แถมยังกอดเขาอีก
“แล้ว...ตอนที่ครูหยุนเซียวร้องไห้ หน้าอกครูส่ายอย่างไม่น่าเชื่อเลย”
...
10 นาทีต่อมา หยุนเซียวออกมาจากห้องน้ำ เธอใจเย็นลงแล้วร่างกายของเธอกลับมาผ่าเผยและเ็าอีกครั้งอย่างปกติ ถ้าดวงตาของเธอไม่ได้บวมเล็กน้อยฉินเฟิงคงคิดว่าตอนที่เขากอดกับหยุนเซียวในตอนแรกนั้นเป็แค่สิ่งที่คิดไปเอง
“ฉินเฟิง ฉันเหนื่อยนิดหน่อย เธอกลับไปก่อนเถอะ”แม้ว่าเธอจะดูเหมือนคืนความเยือกเย็นมาได้แล้วแต่เมื่อเธอคิดถึงตอนที่เธอกอดฉินเฟิงและร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าเขา เธอก็อายที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา
ฉินเฟิงยืนขึ้นแต่ไม่ได้ออกไปเขาเดินมาหาหยุนเซียวแทน “ครูหยุนเซียว ไม่จำเป็ต้องอายระหว่างเราหรอกเนื่องจากสภาพของครูในตอนนี้เป็เพราะผมเองผมจัดการกับคนพวกนั้นรุนแรงเกินไปจนทิ้งแผลในใจครู”
ฉินเฟิงมีท่าทีที่ดูผ่าเผยทันที“จริงๆ แล้วผมเรียนจิตวิทยากับผู้เชี่ยวชาญมาตอนที่อยู่ต่างประเทศสภาพของครูตอนนี้คือกลัวการเข้าสังคมนี่เป็โรคจิตชนิดหนึ่งและมีอันตรายไม่เหมือนกันถ้าเงาในใจของครูยังไม่ถูกขจัดออกไป ครูอาจจะจบด้วยการปิดกั้นตนเองแล้วครูจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครอีกเลย และครูจะกลายเป็เหยื่อร้ายแรงของการกลัวเข้าสังคม”
คำพูดของฉินเฟิงนำเสนอได้ดีแต่หยุนเซียวยังมองเขาอย่างสงสัย “เธอเรียนจิตวิทยาจริงๆ เหรอ?”
ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างตั้งใจ
“งั้นตามอาการของครูในตอนนี้ ครูอยู่ระยะไหน?” หยุนเซียวถามอย่างกังวล
“เนื่องจากครูหยุนเซียวป่วยมาไม่ถึงเดือน ตอนนี้ครูยังอยู่ในระยะเริ่มต้นครูแค่ต้องไปรักษาทางจิตต่อไป มันยังกลับเป็ปกติได้”
“งั้น เธอมีทางรักษาไหม?”
ตอนนี้หยุนเซียวเชื่อใจฉินเฟิงเธอไม่มีทางเลือกอื่นเพราะเธอรู้ว่าตัวเองเริ่มเกลียดและปฏิเสธที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นแต่เธอไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้กับฉินเฟิงหรืออาจเป็เพราะความรู้สึกที่ขัดแย้งของเธอไม่ได้ร้ายแรงจริงๆและสามารถขจัดทิ้งไปได้
“มีอยู่แล้ว” ฉินเฟิงกล่าวอย่างเฉียบขาด
“วิธีอะไร?”
“นวดบำบัด”
สีหน้าของหยุนเซียวบึ้งตึงเมื่อเธอได้ยินชื่อวิธีรักษาเธอก็รู้สึกว่ามันเชื่อถือไม่ได้
นวดแบบไหนกันที่จะรักษาอาการป่วยทางจิตได้? เธอมองฉินเฟิงอย่างเ็า “ฉินเฟิง เธอกำลังจะล้อครูเล่นอีกแล้วใช่ไหม?”
สีหน้าของฉินเฟิงจริงจังตลอดเวลาเขาส่ายหัวและกล่าว “ครูหยุนเซียว ครูเข้าใจผมผิดแล้วการนวดบำบัดนี้ต้องศึกษาอย่างถี่ถ้วน อย่างแรกเมื่อครูผ่านการนวดคลายลมมันจะกระจายพลังงานที่กระจุกอยู่และทำให้ลมภายในของครูไหลอย่างถูกต้อง อย่างที่สองเมื่อกำลังนวด ผมจะต้องััใกล้ชิดกับครู ผมจะกระตุ้นครูและให้ครูค่อยๆชินกับการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น และในที่สุดครูก็จะไม่ปฏิเสธการพูดคุยติดต่อกับคนอื่น”
เมื่อเธอได้ยินว่ามันจำเป็ต้องััใกล้ชิดกันหัวใจของหยุนเซียวก็เต้นรัวขึ้น เธอระแวงเจตนาของฉินเฟิงอีกครั้ง แต่เมื่อเธอเห็นว่าเขาดูจริงจังขนาดไหนมันไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาจะโกหก
ทันใดนั้นหยุนเซียวก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี
“ครูหยุนเซียว ผมรู้ว่าครูไม่เชื่อใจผมผมรู้ว่าไม่มีใครเชื่อใจผมเลย...ครูฟังแต่ข่าวลือและเชื่อว่าผมเป็นายน้อยเ้าสำราญร่ำรวยที่เสเพล ครูไม่เปิดใจให้กับผม ครูระวังผมอยู่ตลอดเวลาและครูก็มองผมเป็สัตว์ป่าหรือพวกโรคจิต”
ฉินเฟิงถอนหายใจ“ช่างมันเถอะ ใครบอกให้ผมเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยกันล่ะ? ผมปลงแล้ว ผมมีชีวิตที่อยู่ยาก ตอนที่ผมยังเด็กผมเปี่ยมไปด้วยความหล่อและพร์ แต่ไม่มีเพื่อน ทุกคนที่เข้าหาผมล้วนเอาแต่ชอบธุรกิจของครอบครัวหรือชื่อเสียงของเราผมถูกปฏิบัติเหมือนกับสิ่งของครั้งแล้วครั้งเล่าผลลัพธ์คือผมแม้แต่ได้ชื่อเล่นแย่ๆ มา”
“ตอนแรกผมคิดว่าครูหยุนเซียวจะแตกต่างจากคนพวกนั้นและเข้าใจผมผมคิดว่าครูจะปฏิบัติกับผมอย่างจริงจัง ไม่ระแวงผมเหมือนกับระแวงโจร...เอาล่ะ ในเมื่อมันเป็แบบนี้งั้นผมขอตัวก่อนไม่ว่าอย่างไรผมขอให้ครูหยุนเซียวหายไวๆ แล้วกัน”
ฉินเฟิงคอตกเขาแสดงให้หยุนเซียวเห็นว่าตนเองเศร้าและหดหู่มาก เขาก้าวทีละก้าวดูราวกับใช้เวลาทั้งชีวิตในการเดินระยะทางแค่ไม่ถึงสิบเมตร...เขา้าให้เวลาหยุนเซียวรั้งให้เขาอยู่ต่อ
“ฉินเฟิง...” เมื่อฉินเฟิงถึงประตูแล้ว เสียงนิ่มนวลของหยุนเซียวก็ดังออกมา“เธออยู่ช่วยรักษาครูได้ไหม?”
ฉินเฟิงหันหลังให้หยุนเซียวเธอจึงไม่เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของใครบางคนที่รู้ว่าแผนการสำเร็จฉินเฟิงหันหน้าและกลับมาทำสีหน้าเหงาหงอยเหมือนเดิม เขามองหยุนเซียว “ครูหยุนเซียวครูไม่ต้องฝืนตัวเองเพราะเห็นใจผมก็ได้ ผมคิดว่าผมกลับบ้านจะดีกว่า”
“ฉินเฟิง อย่าเพิ่งไป” หยุนเซียวเข้าไปกอดฉินเฟิงจากด้านหลังทันที“ครูผิดเอง เธอเป็คนใจดีที่อยากจะรักษาครู แต่ครูกลับระแวงเธอมันไม่มีอะไรมากกว่าการััใกล้ชิด ไม่มีอะไรมากกว่าการนวด...เราถึงขั้นกอดกันแล้วแล้วจะกลัวอะไรล่ะ?”
“ครูจะไม่พูดแล้ว เธอเป็หมอและครูเป็ผู้ป่วยในสายตาของหมอไม่มีอะไรอย่างเื่เพศครูหวังว่าเราจะละทิ้งความเป็ไปของโลกและตัวตนของเรา เธอเห็นว่าไง?
ฉินเฟิงหันกลับไปกอดหยุนเซียวแน่นทันทีเขาตั้งใจรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มและเด้งดึ๋งของหน้าอกของเธอและพยักหน้าอย่างตั้งใจ“ครูหยุนเซียว ครูพูดถูกแล้ว!”
ในห้องนอนที่หอมหวนของหยุนเซียวเธอเปลี่ยนเป็ชุดนอนกระโปรงยาวสีม่วงและนอนลงบนเตียงฉินเฟิงนั่งคร่อมบนหลังของเธอและชื่นชมแผ่นหลังที่เนียนเหมือนหยกที่เผยให้เห็น
“ฉินเฟิง เราเริ่มตอนนี้กันเลยหรือเปล่า?” หยุนเซียวอดไม่ได้ที่จะถามหลังจากที่ฉินเฟิงคร่อมเธอและไม่ไหวติงมา5 นาที
“อะแฮ่ม...ครูหยุนเซียว ผมต้องนวดจุดลมปราณให้ครูดังนั้นผมจึงกำลังรวบรวมลมปราณในร่างกายของผมอยู่ อย่ารบกวนสิ”ฉินเฟิงพูดอย่างอึดอัด
“โอเค งั้นตั้งใจในสิ่งที่เธอต้องทำต่อเลย ครูไม่รีบ”
ฉินเฟิงถอนสายตารู้สึกขอบคุณออกมาโดยรวมแล้วเขายังมีภารกิจที่จำเป็ต้องช่วยรักษาอาการกลัวเข้าสังคมของหยุนเซียวจริงๆตอนที่เขาพูดถึงการนวดจุดลมปราณในตอนแรก เขาไม่ได้ไร้สาระพวกนี้เป็การรักษาจริงที่ถูกบันทึกไว้
เนื่องจากเขาเป็บุตรชายของตระกูลที่มีชื่อเสียงฉินเฟิงจึงถูกฉินหวงบังคับให้ท่องบทกวีสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่งั้แ่ยังเด็กเขาอ่านคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง ดังนั้นเขาจึงรู้วิธีรักษาโรคบางชนิด
เขาหลิ่วตาและรู้สึกถึงลมปราณที่ไหลจากตันเถียนของตนในฐานะผู้ฝึกยุทธ์กำลังภายในขั้นหนึ่งมันไม่ใช่เื่ยากที่จะดึงลมปราณของเขาออกมา
ฝ่ามือของเขาวางลงบนหลังของหยุนเซียวเบาๆร่างกายของเธอเกร็งและรู้สึกถึงบางอย่างแปลกประหลาดไหลเข้ามาคลื่นลมปราณที่เยือกเย็นไหลเข้าร่างของเธอทันที และไหลไปทั่วทางเดินชีพจรของเธอมันรู้สึกเหมือนมีหนอนชอนไชอยู่บนร่างกาย ร่างทั้งร่างรู้สึกมึนและอ่อนแรงเธอรู้สึกสบายนิดหน่อย
ความรู้สึกนี้มันแปลกมากร่างกายที่ประณีตของหยุนเซียวเริ่มกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ “ฉินเฟิงธะ...เธอเสร็จหรือยัง?”
“อ๊ะ...ผมเพิ่งเริ่มเอง”
หยุนเซียวดิ้น“ฉะ...ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันยังยอมรับการััใกล้ชิดกับเธอไม่ได้ระ...รีบปล่อยฉันเร็ว”
หยุนเซียวเริ่มไม่สบายใจอาการกลัวสังคมของเธอเริ่มสำแดงออกมาเธอไม่สามารถทนได้แม้ว่าคนธรรมดาจะอยู่ในห้องเดียวกับเธอ
หยุนเซียวถึงขีดจำกัดที่ยอมให้ฉินเฟิงนั่งคร่อมเธอและนวดจุดลมปราณให้เธอ
“ครูหยุนเซียว ผมลงไม่ได้ครูต้องกำจัดความรู้สึกกลัวและต่อต้านพวกนั้นด้วยตัวครูเอง” ฉินเฟิงยืนกราน
หยุนเซียวเริ่มสั่นรุนแรงยิ่งขึ้นเธอเริ่มตีฉินเฟิงด้วยหนังสือที่อยู่บนหัวเตียง เธอดูเหมือนจะเสียสติไปแล้วั์ตาของเธอแดงฉานและผมของเธอก็กระเซิง “ออกไปซะ รีบไสหัวออกไป!”