จ้านอู๋มิ่งไม่้าทำให้จู้เชียนเชียนสะดุดตาเกิน กล่าวถึงที่สุดแล้วไม่กี่ชั่วยามก่อน จู้เชียนเชียนยังคงเป็หญิงสาวอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ แต่ในเวลานี้กลับบรรลุขอบเขตราชันาสูงสุดแล้ว นอกจากนี้ยังไม่ใช่ราชันาสูงสุดทั่วไปอีกด้วย ความแข็งแกร่งของพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ เกรงว่าจะไม่แตกต่างกับระดับของสิบราชันเลยทีเดียว และจำนวนตัวเลขชีวิตได้รับการเสริมเติมเต็มอย่างมากมายยิ่ง ในค่ายกลขนาดใหญ่นี้ไม่สามารถที่จะปิดบังสายตาของตัวประหลาดเฒ่าเ่าั้อย่างแน่นอน จู้เชียนเชียนนั้นคือผู้มีดวงชะตาธาตุแห่งชีวิตเพียงหนึ่งชนิดโดยกำเนิดอย่างแท้จริง หากมิใช่เป็เช่นนี้ก็จะไม่ถูกโม่ฉางชุนเพ่งเล็งจนถึงกับลอบลงมือ ดังนั้นด้านพร์การฝึกฌานบ่มเพาะของนาง จึงแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าระดับสิบราชัน ตลอดหลายปีมานี้ ถึงแม้ไม่เคยฝึกปรือบ่มเพาะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ แต่ก็อ่านหนังสือตำราอย่างกว้างขวาง จนเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาการฝึกปรือบ่มเพาะของแต่ละสำนักนิกายอย่างลึกซึ้ง ตลอดจนได้เรียนรู้ประสบการณ์การบ่มเพาะอันหลากหลาย จากปากของเหล่าบรรดาอัจฉริยะของสำนักนิกายต่างๆ ดังนั้น ขอเพียงปัญหาจำนวนตัวเลขชีวิตได้รับการแก้ไข หลังจากที่ความเจ็บป่วยเรื้อรังของร่างกายหายดีแล้วจะต้องรุ่งเรืองทะยานฟ้าทันทีอย่างแน่นอน
แน่นอน การได้พบกับจ้านอู๋มิ่งนั่นเป็อีกหนึ่งโอกาสวาสนาที่สำคัญมากสำหรับจู้เชียนเชียน เส้นชีพจรของนางได้รับการคุ้มครองโดยพลังปราณเที่ยงแท้อนัตตา พลังอันรุนแรงคลุ้มคลั่งนั้นได้ชะล้างและขัดเกลาเส้นชีพจรอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะรู้สึกเ็ปทรมานแสนสาหัส แต่ในกระบวนการขยายและหดตัวอย่างต่อเนื่องของเส้นชีพจรทั่วร่างกาย สามารถเสริมสร้างจนขยายถึงระดับสูงสุด ความเร็วของการโคจรพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้จึงรวดเร็วเหนือกว่าคนปกติมากมายนัก
“อาจารย์ลุงสอง ขอให้ท่านส่งเชียนเชียนกลับไปที่เมืองวันสิ้นโลกก่อน นางไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่ในสถานที่นี้” จ้านอู๋มิ่งพูดกับฉินจง
“ได้ พวกเราก็้าจะกลับไปเมืองวันสิ้นโลกก่อนเช่นกัน จะพาองค์หญิงกลับไปพร้อมกัน!” ฉินจงดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของจ้านอู๋มิ่ง สามารถเป็บุคคลสำคัญของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ต้องไม่เป็คนโง่งมอย่างเด็ดขาด เขาตระหนักดีถึงปรากฏการณ์นอกเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นกับจู้เชียนเชียนจะทำให้หลายคนเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้ และถึงเวลานั้นมีแนวโน้มที่จ้านอู๋มิ่งอาจต้องตกอยู่ในอันตราย
จู้เชียนเชียนมองจ้านอู๋มิ่งคราหนึ่ง จิติญญานางเชื่อมโยงถึงกัน ย่อมเข้าใจเื่ราวภายในนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับอันตรายอยู่ นางไม่พูดอะไรมากเช่นกัน เพียงแต่กล่าวอย่างมิอาจตัดใจว่า “ข้าจะรอเ้าที่เมืองวันสิ้นโลก!”
“กลับไปอาบน้ำเถอะ ร่างกายเ้ามอมแมมจนมีกลิ่นแล้ว!” จ้านอู๋มิ่งบีบใบหน้าจู้เชียนเชียนคราหนึ่ง หัวเราะล้อเลียนพูดขึ้น
“อา…” จู้เชียนเชียนอับอายยิ่งนัก เวลานี้จึงพบว่าเนื่องเพราะเมื่อครู่ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แทบจะผลัดเส้นเอ็นเปลี่ยนไขกระดูกแล้วรอบหนึ่ง เสื้อผ้าสีขาวล้วนกลายเป็สีเทาไปแล้ว ฝุ่นละอองทั่วร่างกายส่งกลิ่นเหม็นออกมาชนิดหนึ่ง คิดถึงเมื่อครู่จ้านอู๋มิ่งยังจุมพิตนางอย่างดูดดื่ม พลันยิ่งขวยเขินกว่าเดิม
“สวมมันไว้!” จ้านอู๋มิ่งหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งจากแหวนจักรวาลยื่นให้จู้เชียนเชียน เวลานี้จู้เชียนเชียนกลิ่นเหม็นไปทั้งตัวและเสื้อผ้าก็สกปรกมอมแมมอย่างยิ่ง ขอเพียงปิดบังใบหน้างดงามไว้ ภายใต้การคุ้มกันของฉินจง ขอเพียงไม่ส่งเสียง จะต้องไม่ถูกผู้อื่นจำได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน เนื่องเพราะไม่ว่าผู้ใดได้กลิ่นนี้มาแต่ไกลล้วนต้องหลบให้ห่างไกลแล้ว
จ้านอู๋มิ่งไม่ได้จากไป เขารู้สึกสนใจโม่ฉางชุนผู้นี้อย่างยิ่ง ถึงแม้การต่อสู้ที่นี่กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ชนชั้นสูงของตระกูลโหยวที่ตายก็ตายไป ที่หนีก็หนีไป ไม่มีผลลัพธ์หรือประสบความสำเร็จแต่อย่างใด เมื่อกลับถึงเมืองวันสิ้นโลกต้องไปค้นจวนสักเที่ยว แน่นอน ตระกูลโหยวยังมีบรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งประจำอยู่ที่จวนตลอดชั่วนาตาปี วันนี้ย่อมไม่ได้ออกมา คาดว่าครั้งนี้ก็ต้องถูกกำจัดโดยตระกูลจู้เช่นกัน
ส่วนโม่ฉางชุน เวลานี้คือการต่อสู้ของสัตว์ร้ายที่ติดกับดักแล้ว ภายใต้การโจมตีของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่ง ในสถานการณ์คับขันถูกรุมเร้าทั้งซ้ายและขวา อยากหนีก็หนีไม่พ้น แน่นอน จ้านอู๋มิ่งยังไม่ได้ปล่อยไพ่เด็ดในมือตนออกมา นั่นก็คือเผ่าปลาเปลวเพลิงแกนปฐี ชางอวี่เองก็เพียงดูอยู่ด้านข้างไม่เคยปรากฏตัว หากโม่ฉางชุนสามารถหนีออกมาจากวงล้อมจริงๆ เช่นนั้นจ้านอู๋มิ่งก็มิอาจไม่ให้ชางอวี่ลงมือแล้ว สำหรับเขาแล้ว โม่ฉางชุนจะต้องตายอย่างแน่นอน และต้องสิ้นชีพภายในวันนี้ด้วย อย่างน้อยนี่ถือเป็การคิดดอกเบี้ยล่วงหน้าจากตระกูลโม่เล็กน้อย
แน่นอน ในฐานะจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดผู้หนึ่ง หากเสียชีวิตลง เช่นนั้นพลังที่ค่ายกลขนาดใหญ่นี้รวบรวมไว้จะมากมายเพียงไร? จ้านอู๋มิ่งคาดหวังรอคอยอย่างยิ่ง และเขาก็้าเก็บพลังนี้กลับไปด้วยเช่นกัน หลังจากรวบรวมไว้แล้ว โดยเฉพาะธาตุแห่งชีวิตของโม่ฉางชุน นั่นจะต้องเป็สารหล่อเลี้ยงบำรุงชั้นเลิศอย่างแน่นอน คนผู้นี้หลอกลวงฟ้าย้อนทวนชะตาชีวิตมาทั้งชีวิต ่ชิงโชคชะตาของผู้อื่น ท้ายที่สุดกลายเป็ตัดชุดวิวาห์ให้ผู้อื่น[1] นับว่าเป็การตายอย่างมีความหมายที่สาสมแล้วเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจ้านอู๋มิ่ง้าชะตาชีวิตของโม่ฉางชุนไปเสริมเติมเต็มให้ธาตุแห่งชีวิตที่บกพร่องของหลิ่วหว่านอวี๋
จ้านอู๋มิ่งเชื่อว่าผู้ที่ดูดซับจิติญญาชีวิตของจู้เชียนเชียนไม่ใช่โม่ฉางชุน แต่ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่ดียิ่งกับโม่ฉางชุนอย่างแน่นอน ขณะที่ตนทำลายผนึกต้องห้ามในจิติญญาแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียน เห็นได้ชัดว่าคนที่ดูดซับจิติญญาชีวิตของจู้เชียนเชียนในสถานที่ห่างไกลได้รับาเ็สาหัส และโม่ฉางชุนตรงหน้าผู้นี้กลับไร้เื่ราวใดๆ สิ่งนี้ทำให้จ้านอู๋มิ่งค่อนข้างสงสัยอยู่บ้างว่า โม่ฉางชุนคนนี้ใช่โม่ฉางชุนตัวจริงหรือไม่ กล่าวถึงที่สุดแล้วคนของตระกูลโม่เปลี่ยนร่างนับพับนับหมื่น มีตัวตนหลากหลายฐานะ ตลอดจนมีร่างที่เป็ตัวแทนสักหลายคนก็ไม่ใช่เื่แปลกแต่อย่างใด
แน่นอน ต่อให้โม่ฉางชุนตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่โม่ฉางชุนตัวจริง แต่ก็เป็บุคคลสำคัญของตระกูลโม่อย่างแน่นอน กล่าวถึงที่สุดแล้วในแผ่นดินนี้ จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แทบจะเป็การดำรงอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว ใน่เวลาที่เทพเ้าาไม่กล้าลงมือโดยพลการ จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดก็คือคนที่ไร้เทียมทานอย่างแน่นอน และโม่ฉางชุนผู้นี้ยังสามารถควบคุมบรรพบุรุษผู้เฒ่าระดับขอบเขตจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงสามคน ตัวเขาเองและตำแหน่งศักดิ์ฐานะจะอ่อนแอได้อย่างไร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็ตัวจริงหรือตัวปลอม จ้านอู๋มิ่งเพียง้าชะตาชีวิตของเขา
ศิษย์ของสำนักนิกายต่างๆ เห็นสายตาจ้านอู๋มิ่งแปลกๆ อยู่บ้าง พากันหลีกเลี่ยงจ้านอู๋มิ่งไปจนไกล นี่ก็เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน ผู้ใดให้ชื่อเสียงของจ้านอู๋มิ่งย่ำแย่ถึงเพียงนี้ เนื่องเพราะผู้มีชื่อเสียงพ่วงอยู่กับจ้านอู๋มิ่ง ล้วนเป็ผู้ร้ายมิจฉาชีพอะไรนั่น คนชิงทรัพย์อะไรนั่น ฉายาราชันปีศาจป่วนโลกประเภทนั้น ผู้ใดถูกส่งถึงหน้าประตูนั่นมิใช่หาเื่ถูกปล้นหรอกหรือ? แหวนจักรวาลของทุกคนมีไม่น้อยที่ถูกจ้านอู๋มิ่งปล้นมาก่อน…เ้าหมอนี่แทบจะไม่ว่าใหญ่หรือเล็กล้วนกวาดเรียบ แม้แต่ทองแท่งหนึ่งก็ไม่เหลือไว้ เ้าบอกว่าเ้ามีเงินทองมากมายขนาดนั้นแล้ว กลับยังไปปล้นชิงทรัพย์เขาอีก นับเป็เื่ราวที่น่าอับอายขายหน้าขนาดไหนนะ ดังนั้นศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายรู้สึกว่า การคบหากับจ้านอู๋มิ่งเป็เื่ที่ไร้ยางอายจริงๆ แต่กลับมิอาจไม่ชื่นชมคนผู้นี้ เนื่องเพราะฐานบ่มเพาะของคนผู้นี้ไม่ค่อยเท่าไรนัก แต่ระดับความหยิ่งผยองนั้นกลับไร้เทียมทานอย่างแน่นอน…
“เื่นี้ ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวข้าอยู่บ้าง…” จ้านอู๋มิ่งพอเห็นศิษย์สำนักิญญาเร้นลับและสำนักหลอมโอสถ ตลอดจนสำนักกระบี่ิญญา ดูเหมือนจะกำลังหลีกเลี่ยงตนเอง อดที่จะหัวเราะและอธิบายไม่ได้
ในใจทุกคนรู้สึกดูิ่มากยิ่งขึ้น นี่คือเรียกว่าเข้าใจผิดอยู่บ้างหรือ?
“ความจริงแล้วข้าผู้นี้เป็คนใจดีมีเมตตายิ่ง พวกท่านดู ตอนอยู่ในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลก ข้าไม่อาจตัดใจเห็นทุกคนถูกคนชั่วทำร้ายโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ข้าก็ยังต่อสู้โดยไม่คำนึงถึงภยันตรายอย่างไม่ลังเลใจต่อคนเลวเ่าั้เช่นกัน สุดท้ายหลังจากผ่านความยากลำบากแสนเข็ญ ในที่สุดก็ทำให้ไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมา…” จ้านอู๋มิ่งแบมือออกเริ่มพูดคุยถึงความสำเร็จของตนเองขึ้นมา
ทุกคนเมื่อได้ยิน สีหน้าล้วนกลายเป็สีเขียวแล้ว นี่ยังไม่คำนึงถึงภยันตรายอย่างไม่ลังเลใจอีกหรือ ก็เพียงแค่้าแย่งองค์หญิงเชียนเชียนมาจากมือของโหยวจือเซวียนกระมัง โอบอุ้มสาวงามกลับบ้านแล้วยังจะปิดทองใส่หน้าตนเองอีก เมื่อครู่นี้ตอนที่ทุกคนต่อสู้เสี่ยงชีวิตเืตาแทบกระเด็น ไฉนจึงไม่เห็นแม้แต่เงาของเ้าจ้านอู๋มิ่งเล่า? มิใช่ได้ยินว่าเ้าจ้านอู๋มิ่งกล้าหาญไร้เทียมทานหรอกหรือ?
“เื่นี้ เหอะ…ข้าทราบว่าพวกเ้าเข้าใจข้าผิดอย่างลึกซึ้งยิ่ง ข้าพูดสิ่งใดพวกเ้าก็คงไม่้าฟังเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราไปดูเื่สนุกกันเถอะ…” จ้านอู๋มิ่งชี้ๆ ขึ้นไปบนท้องฟ้า ยักไหล่พูดขึ้น
พลันผู้คนทั้งกลุ่มพูดไม่ออกทันใด การต่อสู้แลกชีวิตของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่ง กลับกลายเป็ดูเื่สนุก สนามต่อสู้แห่งนี้อาจได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังจนเสียชีวิตได้ตลอดเวลา ผู้ใดยังมีอารมณ์เฝ้าดูเื่สนุกที่นี่อยู่อีกเล่า การะเิตัวเองของสองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่ ทำให้มีคนาเ็ล้มตายเกือบครึ่งบนสมรภูมิรบกระดูกขาวแห่งนี้ นี่หากว่าเกิดขึ้นอีกครั้งละก็ คิดจะไม่ตายก็คงยากแล้ว
“เ้าไปดูเองก็แล้วกัน พวกเราจะกลับเมืองวันสิ้นโลกก่อนเพื่อรอฟังข่าว” มีคนพูดอำลากับจ้านอู๋มิ่ง สำหรับจ้านอู๋มิ่งแล้ว พวกเขายังต้องรักษามารยาทไว้ระดับหนึ่ง แม้แต่ศิษย์สำนักกระบี่ิญญา สำหรับจ้านอู๋มิ่งผู้นี้คือทั้งเกลียดชังและหวาดหวั่น นึกถึงบนเกาะนิรนามนั่นถูกกรรโชกแหวนจักรวาลไปจำนวนไม่น้อย ถึงแม้พวกเขาในใจเจ็บแค้นอย่างยิ่ง แต่บรรพบุรุษผู้เฒ่าเยว่หลิงซานของสำนักบริบาลเดรัจฉานพูดไว้แล้ว หากว่าผู้ใดออกจากสถานพำนักคุนเผิงแล้วยังทำตัวเป็ผู้ใหญ่รังแกเด็ก ถึงเวลานั้นก็จะถูกบรรพบุรุษผู้เฒ่าเยว่รังแกคืนเช่นกัน เยว่หลิงซานผู้นี้เป็คนโเี้คนหนึ่ง ผู้ใดจะกล้าไปหาเื่อัปยศใส่ตัวเล่า
จ้านอู๋มิ่งส่ายหน้า พูดในใจ “ดูแล้วโอกาสที่จะหยิบแหวนจักรวาลเพิ่มอีกหลายวงคงไม่มีแล้วเช่นกัน” จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สิบกว่าคนนี้ต่อสู้ระยะประชิดเหนือท้องฟ้า แม้ว่าเมืองวันสิ้นโลกก็มีค่ายกลใหญ่ป้องกันอยู่ ก็ยังรู้สึกูเาสะท้านแผ่นดินะเื ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสมรภูมิรบกระดูกขาวแห่งนี้ เวลานี้ ถึงแม้มีค่ายกลขนาดใหญ่ปกป้อง แต่ก็มีเกาะกระดูกขาวหลายแห่งพังทลายแล้ว มีเพียงจ้านอู๋มิ่งเท่านั้นที่ดูสงบนิ่งมาก คนอื่นๆ มีความคิดจะล่าถอยเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้ชนชั้นสูงของตระกูลโหยวตายแล้ว พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งิญญาชั่วร้ายเข้มข้นจนแทบจะควบแน่น
จ้านอู๋มิ่งกำลังคิดจะมุ่งหน้าไปทางสนามต่อสู้ของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ กลับสีหน้าแปรเปลี่ยนทันใด เนื่องเพราะเขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันรุนแรงคลุ้มคลั่งอีกระลอกหนึ่งกำลังเคลื่อนมา
จู้ฉางชิงะเิตัวเองแล้ว พี่น้องตระกูลจู้ไม่ยินยอมสังหารจู้ฉางชิงตลอดมา เดิม้าจับเป็แล้วรอคอยให้โม่ฉางชุนเสียชีวิต การถูกควบคุมของจู้ฉางชิงย่อมจะเสื่อมสลายไปเอง แต่พวกเขายังประเมินความมุ่งมั่นของโม่ฉางชุนต่ำเกินไป จู้ฉางชิงะเิตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว ตามหลังสองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ตระกูลโหยว พลังงานมหาศาลแผ่ขยายไปในอากาศรอบด้านเหมือนมหาคลื่นั์ จู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียนถูกคลื่นพลังคลุ้มคลั่งกระแทก กระเด็นเข้าไปในส่วนลึกของสมรภูมิรบกระดูกขาวเหมือนว่าวกระดาษก็มิปาน
“ตูมมม……ตูมมม……” จ้านอู๋มิ่งรู้สึกเพียงว่ายอดเขาวาฬั์สั่นะเืคราหนึ่ง เกาะกระดูกเล็กๆ สองเกาะที่อยู่ไม่ไกลเหมือนแตงโมถูกทุบแตกละเอียดก็มิปาน แตกกระจายพุ่งออกไปรอบทิศทาง จู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียนเหมือนอุกกาบาตสองลูก ถูกกระแทกพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของเกาะกระดูกสีขาว
จ้านอู๋มิ่งตะลึงงัน การะเิตัวเองของจู้ฉางชิงโหดร้ายเกินไปกระมัง ครั้งนี้เกรงว่าจู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียน ถึงไม่ตายก็ต้องาเ็สาหัสเช่นกัน แต่ว่าเื่นี้ไม่สามารถตำหนิผู้อื่นได้ ผู้ใดใช้ให้สองตัวโง่งมนี้ยั้งมือออมแรงไว้ตลอดเล่า ้าช่วยชีวิตจู้ฉางชิงเอาไว้ ส่งผลให้จู้ฉางชิงแทบจะไม่ได้สูญพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เลย ตอนที่ะเิตัวเองยังคงรักษาพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งรุนแรงไว้อยู่…
เนื่องเพราะพลังต่อสู้ของจู้ฉางชิงไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด จู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียนยังคิดว่าจู้ฉางชิงจะไม่เลือกะเิตัวเองรวดเร็วขนาดนั้น จึงปิดล้อมคิดจะกักตัวเอาไว้ อยู่ในระยะใกล้เกินไป การะเิในครั้งนี้ แทบจะครอบคลุมทั้งสองไว้จนหมดแล้ว จ้านอู๋มิ่งสามารถจินตนาการได้ว่าการะเิของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง นั่นเหมือนเช่นอุกกาบาตลูกหนึ่งถล่มใส่อย่างแน่นอน
ศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายที่ล่าถอยไม่ทัน ถูกกระแทกกระจัดกระจายร้องเสียงอนาถอีกครั้ง ตลอดทั่วทั้งยอดเขาวาฬั์มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น คล้ายดั่งจะถูกพลังนี้กระแทกจนขาดกลางก็ปาน แต่กล่าวถึงที่สุดแล้ว ครั้งนี้จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ะเิตัวเองเพียงผู้เดียวเท่านั้น กลับไม่มีผู้ใดเสียชีวิต เพียงแต่ทำให้คนพวกนี้ใจนไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ ทั้งหมดพากันหนีไปเมืองวันสิ้นโลกอย่างแตกตื่น
มุมปากจ้านอู๋มิ่งเผยรอยยิ้มเยือกเย็นขึ้นวูบ มองดูจู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียนที่ถูกกระแทกเข้าไปในเกาะกระดูกขาวเล็กๆ เขาขยับท่าร่างเล็กน้อยก็ทะยานไปยังทิศทางของสองคนนั้น นี่คือโอกาสอย่างหนึ่ง แม้ว่าต่อจากนี้ไปตระกูลจู้จะเป็พันธมิตรของตน แต่ว่าพันธมิตรเช่นนี้ควบคุมไว้ในกำมือตนได้จะดียิ่งกว่า ดังนั้น เขาย่อมไม่มีวันปล่อยให้โอกาสทองที่หาได้ยากเช่นนี้ผ่านไปอย่างเด็ดขาด
[1] ทำเื่เปลืองแรง แต่คนอื่นได้ประโยชน์
