ค่ายทหารหนานเจาไม่มีกองทัพประจำการ เพื่อเป็การร่วมมือในการคัดเลือกใหญ่ของแปดสำนักนิกาย กองทัพจึงย้ายมาจากเมืองอื่นโดยเฉพาะ
ถูโม่เฉิงมองค่ายทหารหนานเจาอย่างสงสัย ผึ้งเงาภูตผีตัวนั้นบินเข้าไปในค่ายทหาร มันทำให้เขารู้สึกมืดทะมึนยิ่ง ไอ้คนน่าชังจ้านอู๋มิ่งนั่นกลับอยู่ภายในค่ายทหาร ไม่แปลกใจเลยที่มันจะออกจากเมือง คงต้องเป็เช่นนั้น ทำร้ายองค์ชายจนพิการ เวลานี้ในเมืองหนานเจายังมีสถานที่ใดปลอดภัยกว่าที่นี่บ้าง?
ไม่รู้ว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับกองทัพหนานเจา หากมีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ เื่นี้คงยุ่งยากแล้ว ถึงแม้ว่าตนจะมีฐานการบ่มเพาะขั้นราชันา แต่ต่อหน้าทหารนับพันนับหมื่น ราชันาแล้วอย่างไร แต่ในใจก็รู้สึกมิยินยอมปล่อยมันไปเช่นนี้ คิดๆ แล้ว ยังคงตัดสินใจลอบเข้าไปในค่ายทหารเพื่อตรวจสอบดูเที่ยวหนึ่ง ถึงแม้ราชันามิอาจสู้กับกองทัพได้ แต่การเข้าไปในค่ายทหารซึ่งส่วนใหญ่เป็ระดับยอดยุทธ์เท่านั้นกลับง่ายดายอย่างยิ่ง ขอเพียงไม่เจอแม่ทัพเท่านั้น ราชันาแทบจะสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระในค่ายทหารแห่งนี้
“น้องสาม เ้าไปหาพวกพี่ใหญ่และน้องสี่ ดูแล้วจ้านอู๋มิ่งอยู่ภายในค่ายทหาร พวกเรามิอาจลงมือโดยตรง ได้แต่ต้องหาวิธีอื่น ข้าจะเข้าไปสืบดูก่อน จากนั้นค่อยวางแผนอย่างละเอียดอีกครั้ง” ถูโม่เฉิงครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“พี่สาม ข้าจะร่วมทางไปกับท่าน จะได้คอยดูแลกัน” ถูหย่งเฉิงพูด
“ไม่เป็ไร ข้ามิได้ไปลอบสังหารมันสักหน่อย แค่จะไปดูว่ามันมีศักดิ์ฐานะอะไรกันแน่ เสร็จแล้วจะกลับมาอย่างรวดเร็ว คาดว่าพวกพี่ใหญ่ด้านโน้นสมควรจะไม่พบผลลัพธ์ใด หากว่าเป้าหมายอยู่ในค่ายทหารจริงๆ ยังต้องใช้วิธีการบางอย่างเพิ่มเติม ตามพวกเขากลับมาก่อน ถึงเวลาค่อยวางแผนให้ดีอีกครั้ง ก่อนฟ้าจะสาง พวกเราจะต้องทำให้สำเร็จลุล่วง เสียเวลามากไม่ได้” ถูโม่เฉิงพูด
“ตกลง ถ้าเช่นนั้น ท่านระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน” ถูหย่งเฉิงคิดๆ แล้วพูดขึ้น ได้แต่เห็นด้วย
“ค่ายทหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ข้ามิใช่มาบุกโจมตี จะทำสิ่งใดข้าได้” ถูโม่เฉิงพูดอย่างดูแคลน
ถูหย่งเฉิงคิดๆ ดูก็ถูกต้อง จึงไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินไปตามทิศทางขามา
……
ผึ้งเงาภูตผีบินเร็วมาก แต่เสียงกลับเบายิ่งนัก จึงไม่ทำให้ทหารยามรู้ตัว ถูโม่เฉิงติดตามผึ้งเงาภูตผีเข้าไปในค่ายทหารดุจิญญาภูตผีก็ปาน ทหารยามของค่ายทหารเฝ้ารักษาการหนาแน่นจริงๆ ถึงแม้จะไม่ถึงกับสามก้าวพบเจอหนึ่งคนหรือห้าก้าวพบเจอหนึ่งหน่วย แต่ก็มีหน่วยลาดตระเวนเดินสวนกัน ข้ามไปข้ามมาจำนวนมาก แทบจะไม่มีจุดบอดเลย แต่ทหารในกองทัพมีระดับการบ่มเพาะที่ค่อนข้างต่ำ หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนก็เพียงแค่ระดับอาจารย์นักยุทธ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค้นพบกลิ่นอายและร่องรอยของราชันาแม้แต่น้อย
ผึ้งเงาภูตผีบินลอดผ่านกระโจมหลังแล้วหลังเล่าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ล่วงล้ำลึกเข้าไปเรื่อยๆ เนิ่นนานต่อมา มันหยุดลงตรงนอกกระโจมใหญ่หลังหนึ่ง ถูโม่เฉิงรู้สึกใ กระโจมขนาดใหญ่นี้กลับเป็คลังเสบียงของค่ายทหารรักษาการนั่นเอง เขาอดที่จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อยไม่ได้ ไฉนจ้านอู๋มิ่งจึงเข้าไปในคลังเสบียงของค่ายทหารยามดึกดื่น? หรือว่าจ้านอู๋มิ่งเป็สายลับของกองทัพฝ่ายศัตรู ้าเผาทำลายเสบียงกลางดึก? หากเป็เช่นนี้จริงละก็ยอดเยี่ยมแล้ว ขอเพียงตนลอบเล่นงานมันลับหลังสักครา รับรองมันต้องตายอยู่ในค่ายทหาร ต่อให้ติดปีกก็หนีไม่พ้น เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในกองทัพคือถูกลอบโจมตีสถานที่เก็บเสบียง
คิดไปพลางถูโม่เฉิงเร่งเร้าผึ้งเงาภูตผีคราหนึ่ง ผึ้งเงาภูตผีก็บิน "ซวบ" เข้าไปภายในคลังเสบียง เป็ไปตามที่ถูโม่เฉิงคาดการณ์ไว้ เขาค่อยๆ เจาะรูเล็กๆ รูหนึ่งในกระโจมอย่างระมัดระวัง เมื่อมองลอดเข้าไป ข้างในมืดสนิท ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ขณะเตรียมจะสอดส่องดูสักครั้ง ทันใดก็ได้ยินเสียงหนูร้องเสียงแหลมออกมาจากภายในคลังเสบียง หลังจากนั้นเสียง “แควก” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง หนูตัวใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากคลังเสบียง ผึ้งเงาภูตผีต่อยติดบนหลังหนูตัวนั้นแน่น วิ่งผ่านร่างถูโม่เฉิงไป มันยังได้กลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งเงาภูตผี
ถูโม่เฉิงรู้สึกว่าหัวของเขา "วิ้งง" ดังขึ้นครั้งหนึ่ง นี่มันเื่ใดกันแน่? น้ำผึ้งเงาภูตผีกลับถูกทาลงบนหนูตัวใหญ่ตัวนั้น แล้วหนูตัวนั้นก็เข้าไปในกระโจมคลังเสบียงของกองทัพหนานเจา…มันยังมิทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทันใดเสียงตวาดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ผู้ใด!”
“มีคนลอบโจมตีคลังเสบียง…” หลังจากเสียงแหลมดังขึ้น เสียงแตรสัญญาณก็ดังตามมาทำลายความเงียบสงบของท้องฟ้ายามค่ำคืน ค่ายทหารทั้งค่ายคล้ายดั่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา สามารถเห็นบรรดาทหารนับไม่ถ้วนวิ่งออกมาจากแต่ละกระโจมเหมือนดั่งกองทัพมดก็ปาน พลันแสงไฟสาดส่องทั่วทั้งค่ายทหารจนสว่างไสวขึ้นมาทันที
ถูโม่เฉิงชื่นชมแม่ทัพผู้นี้ของกองทัพยิ่งนัก สำหรับการฝึกฝนทหารมาเป็อย่างดี มีประสิทธิภาพมากถึงเพียงนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วฉับไวเพียงนี้ ทักษะความร้ายกาจของแม่ทัพกลับไม่เป็ผลดีต่อตนอย่างยิ่ง เพียงแค่คิดก็ยังไม่ทันได้คิด เขารีบวิ่งหนีออกไปนอกค่ายทหารทันที เขาไม่ได้้ามาโจมตีคลังเสบียงสักหน่อย หนูตัวนั้นทำให้เสียสมาธิจนถูกทหารยามพบตัวแล้ว ในสายตาผู้อื่นกลายเป็โจรผู้ร้ายลอบโจมตีคลังเสบียงไปแล้ว ตอนแรกนี่เป็วิธีการที่เตรียมจะจัดการจ้านอู๋มิ่ง ไม่คิดว่าตนเองกลับโดนตลบหลังเสียเอง
“อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้!” มีคนตวาดเสียงดัง ภายใต้แสงไฟ ร่างถูโม่เฉิงไม่มีปัญญาหนีพ้น ลูกธนูเย็นเยียบหลายดอกไม่มีผลคุกคาม แต่ว่ามีคนหลั่งไหลมาถึงเบื้องหน้าตลอดเวลา เห็นชัดว่าเป็กลุ่มมดปลวกระดับยอดยุทธ์กลุ่มหนึ่ง กลับขวางทางไปของตนอย่างไม่กลัวตาย ดังนั้นจึงวิตกแล้ว เขาจะถูกรั้งให้อยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากไม่รู้ว่าจะอธิบายเื่ราวให้ชัดเจนอย่างไร ปรากฏตัวอยู่ใกล้บริเวณคลังเสบียงกลางดึก คงไม่มีผู้ใดคิดว่านี่คือผู้เป็โรคนอนละเมอหรือเป็ผู้ออกมาชมพระจันทร์ตอนกลางคืนแล้วหลงทางมา
ไม่มีผู้ใดสามารถสกัดกั้นความเร็วของถูโม่เฉิงได้ การโจมตีของราชันาผู้หนึ่ง แม้ว่าจะเป็เพียงเกราะป้องกันพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ แต่ก็สามารถทำให้เหล่าทหารระดับยอดยุทธ์และระดับอาจารย์นักยุทธ์ถูกกระแทกกระเด็นลอยออกไป เส้นเอ็นและกระดูกแตกหัก ดังนั้นเริ่มต้นในตอนแรก ถูโม่เฉิงราวกับเข้าไปในดินแดนที่ไร้ผู้คน พริบตาเดียวก็หนีไปถึงชายขอบบริเวณค่ายทหารแล้ว
“สหายในเมื่อมาแล้ว ไยต้องรีบจากไปด้วยเล่า?” เสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นเนือยๆ ถูโม่เฉิงเพียงรู้สึกว่านภากาศควบแน่น ปราณทรงพลังขวางทางมันไว้เหมือนตาข่ายั์ผืนหนึ่ง ชายร่างใหญ่ในชุดเกราะสีทองผู้หนึ่งถือง้าวเล่มหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ
“ตูมมม…” พลังจิติญญาของถูโม่เฉิงปะทะกับพลังปราณของคนผู้นั้น ตาข่ายขนาดใหญ่กลางนภากาศฉีกขาดออกทันที เล็ดลอดผ่านพลังปราณนั้น ถูโม่เฉิงหันหน้าหลบชายร่างใหญ่ในชุดเกราะทองทะยานออกไปอีกด้านหนึ่ง เขารับรู้ว่าถึงแม้ชายชุดเกราะสีทองจะเป็เพียงราชันาหนึ่งดาว แต่บนร่างกลับมีรังสีอำมหิตเต็มเปี่ยมไร้สิ้นสุด เห็นชัดว่ากรำศึกา ผ่านการต่อสู้มาแล้ว เป็แม่ทัพผู้โเี้เปี่ยมประสบการณ์ ผ่านความเป็ความตายมานับไม่ถ้วน คนประเภทนี้แม้ว่าจะเป็ราชันาระดับหนึ่งดาว แต่กลับมักน่ากลัวยิ่งกว่าราชันาระดับสองดาวทั่วไปเสียอีก เพราะพวกมันไม่กลัวตาย ร่างที่เปี่ยมรังสีอำมหิตสามารถส่งผลกระทบต่อคู่ต่อสู้ทั้งที่มองไม่เห็น
ถูโม่เฉิงไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย แต่ไม่อยากถูกอีกฝ่ายหนึ่งพัวพัน เมื่อถูกพัวพันไว้ รอจนกองทัพใหญ่รวมพลขึ้นมาร่วมกันโจมตี เขาก็จะปลีกตัวไปไม่ได้แล้ว
“คิดหนี?” สีหน้าของชายชุดเกราะทองผู้นั้นเคร่งขรึม เขาไม่คิดว่าถูโม่เฉิงจะฉีกแนวป้องกันของเขาออกอย่างง่ายดาย เพียงพอจะเห็นว่าฐานการบ่มเพาะพลังจิติญญาการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามสูงกว่าตนเอง แต่ว่านี่คืออาณาเขตภายใต้การควบคุมของเขา แม้ว่าราชันาระดับสูงสุดมาถึงที่นี่ เขาก็ไม่ครั่นคร้าม ดังนั้นจึงเคลื่อนร่างในแนวขวางคราหนึ่ง สกัดถูโม่เฉิงไว้อีกครั้ง
“ลงไปเถอะ!” ร่างของถูโม่เฉิงเพิ่งเคลื่อนไหว ทันใดประกายดาบคมกริบสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางนภากาศ แสงและเงาสีเขียวทะมึนแยกนภากาศจากหนึ่งเป็สองส่วนภายใต้แสงจันทร์ ถูโม่เฉิงหมดสิ้นหนทางหลีกเลี่ยง พลังเก่าใช้หมดลงเมื่อตอนเคลื่อนตัว พลังใหม่ยังมิทันฟื้นคืน ยามนี้ไม่สามารถหลบเลี่ยง ได้แต่ใช้กระบี่เข้าปะทะตรงๆ
“ติง…” กระบี่ของถูโม่เฉิงป้องกันได้อย่างน่าพิศวง พลันทำลายประกายดาบกระจายหายไปทันที รังสีกระบี่ดุดันฟันใส่ชายหน้าแดงที่ถือดาบัเขียวจันทร์เสี้ยว
“ร้ายกาจ!” ชายร่างใหญ่หยุดเดินติดตาม ดาบเล่มใหญ่ในมือฟันออกขวางดาบหนึ่ง ปัดรังสีกระบี่สายนั้นลง กลับรักษาตำแหน่งนั้นไว้ได้
ถูโม่เฉิงจู่โจมออกหนึ่งกระบวนท่าแม้ครองความได้เปรียบ แต่กลับต้องตกไปอยู่ในวงล้อมอีกครั้ง เวลานี้กองทัพโอบล้อมสถานที่แห่งนี้เหมือนงูั์ ในสภาพปิดล้อมทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านล้วนมีราชันาระดับสูงสุดผู้หนึ่งคอยบัญชาการ แปรเปลี่ยนเป็ค่ายกลรูปสามเหลี่ยมแปลกพิสดารอย่างรวดเร็ว อาศัยปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับสูงสุดบัญชาการตรงมุมแหลม การจัดค่ายกลสำเร็จในชั่วพริบตา พลังของทุกคนในรูปแบบสามเหลี่ยมถูกรวมไว้ในจุดเดียว มุ่งเน้นไปที่ร่างของปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับสูงสุด พลังของปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ล้ำหน้าราชันาระดับหนึ่งดาวในพริบตา
“ค่ายกลสนามรบ!” ใจของถูโม่เฉิงเย็นเยียบ การตอบสนองอย่างฉับไวของกองทัพนี้เกรงว่าทั่วทั้งแคว้นหนานเจาก็คงเห็นได้ยาก สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดไม่ใช่ราชันาชุดเกราะทองคำและราชันาหน้าแดงที่มีดาบัเขียวจันทร์เสี้ยวอยู่ในมือ แต่เป็ค่ายกลสนามรบ ค่ายกลสนามรบไม่เพียงแต่ยืดหยุ่นแปรเปลี่ยนหลากหลาย ยิ่งกว่านั้นความสามารถในการใช้พลังแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนบ่มเพาะของผู้บังคับบัญชา
“ท่านเป็ถึงราชันาสองดาว กลับลอบโจมตีคลังเสบียงของเราตอนดึก ช่างลดตัวลงต่ำจริงๆ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเ้ากำลังขายชีวิต ทำงานให้ผู้ใด?” เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังมาจากกระโจมทหาร พลันค่ายกลสนามรบแยกออกเป็ทางสายหนึ่ง ชายวัยกลางคนในชุดสีเขียวผู้หนึ่งเดินออกมาช้าๆ ทุกย่างก้าวที่ย่ำลง นภากาศดูเหมือนจะสั่นสะท้านคราหนึ่ง ภายใต้สายตาของถูโม่เฉิง ชุดสีเขียวนั้นดุจปรากฏแต่ก็ดั่งซ่อนเร้น ราวกับตัวบุคคลผู้นี้ได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับนภากาศแล้วก็มิปาน
“ราชันาสูงสุด!” ในใจถูโม่เฉิงเกิดความรู้สึกสิ้นหวังขึ้นวูบ ในค่ายทหารแห่งนี้กลับซ่อนเร้นราชันาสูงสุดไว้ผู้หนึ่ง บุคคลเช่นนี้อยู่ในส่วนลึกท่ามกลางกองทัพ กองทัพนี้ต้องเป็กองทัพราชัน์ที่ทรงพลังและลึกลับที่สุดในแคว้นหนานเจาแล้ว
“น้อมพบท่านราชัน์!” ชายร่างใหญ่ในเกราะทองกับชายร่างใหญ่หน้าแดงทำความเคารพชายวัยกลางคนในชุดเขียว
ถูโม่เฉิงคาดเดาถูกต้อง กล่าวขานกันว่าแคว้นหนานเจามีกองทัพ์แสนยานุภาพเกรียงไกร ไม่มีศึกไหนรบไม่ชนะ บุกตะลุยพิชิตศัตรูทั่วทิศจนไร้ผู้ต้านทาน จอมพลของกองทัพนี้คือหนานเทียนสิง พระอนุชาของกษัตริย์แห่งหนานเจา ได้รับพระราชทานศักดินาเป็จอมพลราชัน์ ดังนั้นด้านนอกขนานนามกองทัพนี้เป็กองทัพราชัน์
ถูโม่เฉิงไม่คิดว่าตนกลับบุกเข้ามาในกองทัพเช่นนี้ ต่อให้กองทัพไม่เคลื่อนไหว หนานเทียนสิง ราชัน์คนเดียวก็สามารถสังหารตนได้แล้ว ท่ามกลางความคลุมเครือ เขารู้ตัวว่าตนเองโดนผู้อื่นเล่นงานเข้าให้แล้ว ผู้ที่เล่นงานต้องเป็จ้านอู๋มิ่งอย่างแน่นอน เพียงแต่คิดไม่ออกว่ามีที่ผิดพลาดตรงไหนกันแน่ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่กับน้องสี่บ้าง ตอนนี้มันได้แต่หวังว่าพี่ใหญ่และคนอื่นๆ อย่าได้เข้ามา เพราะถึงแม้จะเข้ามาทั้งหมด ก็ไม่เพียงพอให้ราชัน์ตบด้วยมือข้างเดียว
“บอกข้ามา ความเป็มาของเ้า” น้ำเสียงราชัน์แฝงความหมายปฏิเสธไม่ได้ชนิดหนึ่ง
“ข้าเพียงแค่บุกเข้าค่ายทหารมาโดยมิได้ตั้งใจ ไม่ได้มาที่นี่เพื่อโจมตีคลังเสบียงแต่อย่างใด” ถูโม่เฉิงทราบว่าดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ เผชิญกับราชัน์ แม้แต่พลังจะตอบโต้ก็ยังไม่มี นภากาศรอบตัวถูกปกคลุมไปด้วยพลังประหลาดพิสดารชนิดหนึ่ง ขอเพียงใช้พลังนี้ลงมือก็สามารถกำจัดพลังจิติญญาฟ้าดินรอบตัวเขาจนหมดสิ้น ทำให้ตนกลายเป็ปลาที่ขาดน้ำ นี่ก็คือเขตแดนของราชันจักรพรรดิขั้นสูงสุด
“เป็ข้อแก้ตัวที่น่าสนใจมาก แต่ข้าหวังว่าเ้าจะพิจารณาคำถามของข้าอย่างจริงจัง” น้ำเสียงเสียงราชัน์แฝงสำนึกฆ่าฟันชัดเจน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีความอดทนเป็พิเศษแต่อย่างใด
“ที่ข้าพูดทั้งหมดล้วนเป็เื่จริง ถ้าหากข้า้าโจมตีคลังเสบียงจริงๆ ละก็ ข้ามีเวลามากเพียงพอที่จะเปลี่ยนคลังเสบียงพวกท่านให้เป็ทะเลเพลิง” ถูโม่เฉิงอธิบายอีกครั้ง ถึงแม้มันทราบว่าความเป็ไปได้ที่อีกฝ่ายจะยอมรับมีไม่มากนัก แต่มันจำต้องดิ้นรน มิฉะนั้นคงต้องตกตายที่นี่แน่นอนแล้ว
“บางทีเ้าอาจคิดว่าหลังจากจุดไฟเผาแล้วไม่มีเวลาเพียงพอที่จะหลบหนี ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยพึงพอใจกับคำอธิบายนี้ เ้าคือใคร? ผู้ใดคือเ้านาย?” ระหว่างพูดจา ราชัน์ได้มาถึงเบื้องหน้าถูโม่เฉิงแล้ว ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวา
ถูโม่เฉิงรู้สึกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนผู้หนึ่ง แต่เป็บรรพตใหญ่ที่ไม่อาจบรรลุได้ลูกหนึ่ง แต่ถูโม่เฉิงไม่กล้าเปิดเผยศักดิ์ฐานะของตนออกมา ถ้าบอกว่าตนเป็คนของแคว้นถูเหยียน และเป็คนของกษัตริย์ถูเหยียน หากทำให้แคว้นหนานเจาเข้าใจผิดต่อแคว้นถูเหยียนขึ้นมา เช่นนั้นต่อให้มันสิ้นชีวิตแล้ว กษัตริย์ถูเหยียนก็ไม่ปล่อยให้คนในครอบครัวมีชีวิตอยู่ต่อไป ดังนั้นจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ
“ข้ามีหนึ่งพันวิธีทำให้เ้าพูด…” พลันราชัน์หนานเทียนสิงยิ้มแล้ว
ถูโม่เฉิงยิ้มอย่างขมขื่น รู้ว่าคำอธิบายทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์แล้ว หากยังมีชีวิตอยู่ต่อมีแต่จะสร้างปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งกว่า ดังนั้นจึงยิ้มและพลันร่างกายก็ะเิขึ้นมาทันที
“ถึงกับะเิตนเอง!” ราชัน์ยื่นมือจับกลางนภากาศคราหนึ่ง มีกระแสอุ่นไหลวนก่อตัวขึ้นกลางนภากาศ รวบรวมถูโม่เฉิงไว้กลางอากาศ ดุจดั่งมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งรวบรวมไว้เป็กองหนึ่ง
“เป็นักรบพลีชีพที่น่ายกย่องผู้หนึ่ง มันไม่ได้สร้างความเสียหายใดแก่ค่ายทหาร ก็จัดพิธีฝังมันตามพิธีการทางทหารก็แล้วกัน” ราชัน์หนานเทียนสิงถอนหายใจคราหนึ่ง พูดจบก็หันหลังกลับเข้ากระโจมทหารไป
ค่ายทหารกลับคืนสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้