บางทีชายาอวี้อาจปากแข็ง
ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะมีจิตใจกว้างขวางยินยอมให้สามีมีบ้านเล็กบ้านน้อยได้
โดยเฉพาะชายาอวี้ที่มีใบหน้างดงามราวนางฟ้าเช่นนี้เกรงว่า นางคงมิวันยินยอมอย่างแน่นอน
ิเยว่ชักสายตามิพึงพอใจไปทางหลินเมิ้งหยาแต่นางก็รีบปรับอารมณ์ให้เป็ปกติอย่างรวดเร็ว
่นี้นางเอาอกเอาใจพระสนมเต๋อเฟยมากเป็พิเศษอีกทั้งยังได้ผลเกิดคาด
พระสนมเต๋อเฟยตรัสออกมาเองว่าจะทำให้อ๋องอวี้รับนางเป็ชายารองให้ได้
หลินเมิ้งหยาไม่เห็นด้วยแล้วอย่างไรเล่าถึงอย่างไร คนที่เป็ผู้ตัดสินก็คือพระสนมเต๋อเฟย
ดังนั้นนางจึงรู้สึกสบายใจไปหนึ่งเปราะ ดังนั้นจึงเล่นละครประหนึ่งภรรยาอนุผู้น่าสงสาร
ในเมื่อมิอาจโดดเด่นเทียบเท่าหลินเมิ้งหยาได้เช่นนางนางใช้ความน่าสงสารมาทำให้ทุกคนใจอ่อนก็ได้นี่นา
พระชายารองตู๋กูมองบรรยากาศมาคุระหว่างทั้งคู่ออกหยักยิ้มมีเลศนัย ก่อนจะเดินไปหาแเื่คนอื่น
ป๋ายจื่อที่อยู่ด้านหลังตลอดเวลาเบะปาก
“ทำตัวน่าสงสารให้ใครดูมิทราบ?ทำตัวประหนึ่งนายหญิงของข้าชอบกลั่นแกล้งรังแกเมียน้อยอย่างไรอย่างนั้น”
หลินเมิ้งหยายกชาหอมขึ้นจิบ
“ก็ให้คนทั้งใต้หล้าดูอย่างไรเล่าแต่ข้าชอบบทหญิงร้ายมากกว่า”
ป๋ายจื่อกับป๋ายซูสบตากันด้วยความตกตะลึง
นับั้แ่วันที่เยว่ถิงตายจากไปนานมากแล้วที่นางมิได้พูดจาสมกับเป็ตัวเองเช่นนี้
ดูเหมือนนายหญิงของนางจะกลับมาเป็ปกติแล้ว
ดูเหมือนน่ะนะ!
“ไท่จื่อเสด็จ....อ๋องอวี้เสด็จ...”
ขันทีร้องประกาศสองครั้งในที่สุดเหล่าชายหนุ่มที่ตกเป็ขี้ปากของคนทั้งเมืองก็ปรากฏตัว
เื่ของไท่จื่อจอมหลบหนียังไม่ทันหายเื่ของหลงเทียนอวี้กลับดังขึ้นมาแทนที่
ตอนนี้คนทั้งเมืองล้วนส่งเสียงซุบซิบนินทาฝ่ายชายทั้งสอง
สีหน้าของฝ่ายชายทั้งสองมิได้ดูผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของไท่จื่อดูเป็กังวลเพียงมองปราดเดียว หลินเมิ้งหยาก็เดาได้ว่า่นี้ไท่จื่อจะต้องถูกฮองเฮาตำหนิไม่น้อยเลยทีเดียว
มิเช่นนั้นใบหน้าเศร้าสลดนั้นคงมิเจือไว้ซึ่งความรู้สึกไม่พึงพอใจ
ทว่าสีหน้าของหลงเทียนอวี้ แม้จะไม่น่ามองแต่ถึงกระนั้นก็เป็เพียงสีหน้าเ็าเฉกเช่นเวลาปกติ
แต่เมื่อทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกันมันจึงดูผิดปกติแต่เพียงเท่านั้น
“น้องสามข้าที่เป็พี่ใหญ่หวังเหลือเกินว่าเ้าจะพิจารณาให้ดีโอกาสเช่นนี้ใช่ว่าจะหามาได้ง่าย ๆ”
ไท่จื่อกระซิบน้ำเสียงเจือไว้ซึ่งความโกรธ
“ขอบพระทัยในความหวังดีของไท่จื่อและฮองเฮาแต่เื่นี้จำเป็ต้องทูลขออนุญาตจากเสด็จพ่อก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้”
หลงเทียนอวี้ยังยืนยันคำเดิมดังนั้นฮองเฮาจึงเรียกตัวเขาเข้าวังแต่เช้า
อ้างว่า้าปรึกษาเื่เทศกาลวันไหว้พระจันทร์แต่ความจริงแล้ว้าพูดโน้มน้าวให้เขารับิเยว่มาเป็ชายา
หลงเทียนอวี้ปฏิเสธโดยไม่ลังเลแต่กลับทำให้สีหน้าของไท่จื่อและฮองเฮาแสดงออกถึงความประหลาดใจ
“อย่านำความรู้สึกมาตัดสินเลยข้ารู้ว่าเ้ากับชายาของเ้ารักกันปาจจะกลืนกินแต่ิเยว่เองก็หลงใหลในตัวเ้ามาก”
หากมิใช่เพราะิเยว่ยืนกรานที่จะแต่งงานกับหลงเทียนอวี้ ไท่จื่อคิดอยากจะขอนางมาเป็ชายารองอีกคน
การแต่งงานสำหรับราชวงศ์แล้ว นับเป็การสร้างความร่วมมือกันอย่างหนึ่ง
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับไม่คิดเลือกใช้วิธีนี้
“ไท่จื่อโปรดวางพระทัยเฉินตี้จัดการเื่นี้เองได้”
สายตาชำเลืองมองหญิงสาวร่างผอมบางในชุดสีม่วงอ่อน
หัวใจสั่นไหวหลงเทียนอวี้จบบทสนทนาน่ารำคาญของไท่จื่อด้วยการสาวเท้ายาว ๆไปทางที่นั่งของแขกฝ่ายหญิง
ิเยว่รู้สึกดีใจเป็อย่างมาก
หลายวันมานี้เพื่อสร้างโอกาสให้กับนางและหลงเทียนอวี้ พระสนมเต๋อเฟยจึงมักตามตัวอ๋องอวี้ไปที่ตำหนักหยาเสวียนเพื่อสนทนากัน
บางทีรอยยิ้มอ่อนหวานของนางอาจจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของหลงเทียนอวี้แล้วก็เป็ได้
เมื่อเทียบกับชายาที่เอาแต่นอนรักษาตัวอยู่ในตำหนักนอกจากพระสนมเต๋อเฟยจะรู้สึกไม่พึงพอใจ หลงเทียนอวี้เองก็น่าจะมองเห็นนางอยู่ในสายตาขึ้นมาบ้างแล้ว
หัวใจเปี่ยมไปด้วยความหวังหวังเหลือเกินว่าหลงเทียนอวี้จะหยุดยืนต่อหน้าตนเอง ส่งยิ้มและทักทายนาง
ทว่าร่างสูงโปร่งหล่อเหลากลับมิได้ตรงมาหานางเขาอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง
อย่าว่าแต่ทักทายเลยแม้แต่สายตายังมิชำเลืองมอง
ร่างสูงสง่าเดินไปทางหลินเมิ้งหยาที่กำลังนั่งจิบชาสีหน้าของหลงเทียนอวี้แปรเปลี่ยนเป็อ่อนโยน
“ร่างกายเป็อย่างไรบ้าง?้ากลับไปพักผ่อนก่อนหรือไม่? ”
ส่งเสียงแ่เบาอันเจือไว้ซึ่งความอ่อนโยนเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าเขาไม่สนใจคนรอบข้างที่กำลังอ้าปากค้างเลยแม้แต่น้อย
“ยังสบายดีเพคะท่านอ๋อง”
เงยหน้าหยักยิ้ม คนรอบข้างหยุดส่งเสียงนินทาเกี่ยวกับชายาอวี้ทันที
องค์หญิงิเยว่หรือจะสู้คนที่อ๋องอวี้ส่งยิ้มให้ได้
เมื่อแขกเข้ามาในงานแล้วหลงเทียนอวี้จึงกลับไปยังที่นั่งแขกฝ่ายชาย
มิรู้ว่าเพราะตั้งใจหรือไม่ใส่ใจตำแหน่งที่นั่งของหลงเทียนอวี้จึงอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงิเยว่
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นคิดหรือว่าเพียงเท่านี้จะสามารถทำให้ทั้งคู่ตกหลุมรักกันได้
ไร้เดียงสา!
สายตาของหลงเทียนอวี้มิเคยเหลือบมองทางิเยว่เลยแม้แต่น้อย
อย่าว่าแต่สบตาเลยแม้ิเยว่จะส่งตาหวานเยิ้มไปเต็มคันรถ เกรงว่าหลงเทียนอวี้คงคว่ำทิ้งทั้งหมด
กลับกันสายตาของเขาจ้องมองเพียงใบหน้าของหลินเมิ้งหยา
เมื่อมั่นใจแล้วว่านางไม่เป็อะไรเขาจึงหันหน้าไปคุยกับแขกคนอื่น
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านอ๋องรักพระชายาที่สุด”
ป๋ายจื่ออดที่จะเอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิใจไม่ได้นางลืมคำพูดว่าร้ายหลงเทียนอวี้เมื่อตอนบ่ายไปจนหมดสิ้น
“เอาล่ะอย่าพูดจาไร้สาระเลย ป๋ายซูพยุงข้าลุกขึ้นที พวกเราไปพักผ่อนกันที่สวนดีกว่า”
ไม่ว่าอย่างไรร่างกายของหลินเมิ้งหยาก็ยังคงไม่แข็งแรงดังเดิม
แม้ว่างานเลี้ยงจะใหญ่โตทว่า นางกลับรู้สึกหดหู่ใจ
สาวใช้ทั้งสองพยุงร่างของหลินเมิ้งหยาออกไปจากงานเลี้ยง
เมื่อหลงเทียนอวี้เห็นร่างบางหายไปจากที่นั่งเขาเริ่มกระวนกระวาย
คิดอยากตามออกไปแต่กลับถูกไท่จื่อรั้งเอาไว้
“น้องสามพวกเรามาดื่มด้วยกันสักหนึ่งจอกเถิด ก่อนหน้านั้นพี่ใหญ่ผิดเองเ้าอย่าได้ใส่ใจไปเลย”
ไท่จื่อยกแก้วเหล้าขึ้นพร้อมทั้งหัวเราะเสียงดัง
หลงเทียนอวี้จำใจแม้จะไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ก็ต้องดื่มเหล้ากับไท่จื่อต่อ
หลินเมิ้งหยามีป๋ายจื่อกับป๋ายซูคอยดูแลคงไม่เป็อะไร
แม้สวนของไท่จื่อจะไม่สวยงามหรูหราเหมือนในวังแต่ก็เงียบสงบ
ทั้งหญ้าและก้อนหินล้วนผ่านการทำหัตกรรมมาแล้วทั้งนั้นดังนั้นจึงงดงามและมีเอกลักษณ์
ลมหนาวยามค่ำคืนพัดพาเอาความโศกเศร้าในหัวใจของนางออกไปดังนั้น นางจึงออกเดินเล่นในสวนของไท่จื่อ
นางกำนัลที่รับหน้าที่ดูแลอาหารภายในงานเลี้ยงถืออาหารผ่านร่างหลินเมิ้งหยาไป
อยู่ ๆหลินเมิ้งหยาร้องเรียกหนึ่งในนั้นเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้างในนั้นคืออะไร?”
นางกำนัลที่ถูกเรียกแม้จะไม่รู้ว่าแขกผู้มเกียรติตรงหน้าเป็ใคร แต่ก็ตอบกลับอย่างมีมารยาท
“ตอบฮูหยินนี่คือยู่ลู่เกิงเ้าค่ะ”
“อ๋อที่แท้ก็เป็เ้านี่นี่เอง เพราะเหตุนี้ข้าจึงได้กลิ่นหอมสินะ”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มก่อนจะปล่อยนางกำนัลไป
“นายหญิงหรือท่านอยากกินยู่ลู่เกิงหรือเ้าคะ?”
ดวงตาของป๋ายจื่อเปล่งประกายน้อยครั้งนักที่นายหญิงจะอยากกินอะไร แต่อยู่ ๆ นางก็รู้สึกสนใจยู่ลู่เกิงขึ้นมาฉะนั้นตัวเองต้องคว้าโอกาสนี้มาให้ได้
“ไม่หรอกพวกเราไปกันเถอะ ไปดูทางนู้นกัน”
ครุ่นคิดแม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกประหลาดใจ แต่สุดท้ายก็มิได้ใส่ใจ
ด้านหลังห้องจัดงานเลี้ยงห้องพักแถวหนึ่งถูกเตรียมไว้ให้แก่ผู้ร่ำสุราจนเมามาย
หลินเมิ้งหยาก้าวไปเพียงไม่กี่สิบก้าวกลิ่นหอมแปลกประหลาดบางอย่างลอยคละคลุ้งอยู่กลางอากาศ
“นายหญิงพวกเราเข้าไปพักผ่อนข้างในกันเถิดเ้าค่ะ”
ป๋ายจื่อเสนอหลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ก่อนจะพาสาวใช้ทั้งสองไปพักที่ห้องหนึ่ง
“อย่าจุดไฟข้าอยากหลับสักประเดี๋ยว”
ภายใต้ความมืดหลินเมิ้งหยานั่งอยู่บนเตียง ป๋ายซูมีประสาทการฟังดีที่สุดดังนั้นจึงยืนคุ้มกันอยู่ข้างเตียง
มีเพียงป๋ายจื่อที่ยังคงคิดถึงขนมยู่ลู่เกิงนางหาข้ออ้าง ก่อนจะแอบไปที่ห้องครัว
ภายในห้องพักค่อนข้างเงียบดังนั้นจึงได้ยินกระทั่งเสียงต้นไผ่ลู่ลม
หลินเมิ้งหยามิได้หลับตาลงแต่กลับลืมตาโตพลางมองเหตุการณ์ด้านนอก
“นายหญิงยู่ลู่เกิงมีอะไรผิดปกติหรือเ้าคะ?”
ป๋ายซูเป็คนรอบคอบดังนั้นนางจึงสังเกตเห็นความผิดปกติ
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลงตอนนี้นางทำได้เพียงเดาเท่านั้น
ไม่นานเสี่ยวซีสองสามคนอุ้มร่างใครบางคนเข้ามาทางนี้
คนผู้นั้นน่าจะเมาดังนั้นเขาจึงปล่อยให้เสี่ยวซีแบกร่างมา
ทว่าหลังจากเข้าไปยังห้องฝั่งตรงข้าม พวกเขามิได้จุดไฟ แต่กลับแอบย่องออกมาเงียบ ๆ
คนผู้นั้นเป็ใคร?หลินเมิ้งหยานึกสงสัย ดังนั้นจึงพาป๋ายซูออกจากห้องไป
ประตูถูกลงกลอนจากทางด้านนอกดึงกิ๊บติดผมออกมา ก่อนจะเริ่มสะเดาะกลอน
“นายหญิง.....”
“แกร๊ง”
กลอนสมัยโบราณสะเดาะยากยิ่งนักหลินเมิ้งหยาพยายามอยู่นานก็ไม่เป็ผล
“นายหญิง...”
“แกร๊งอย่าเพิ่งส่งเสียง”
ลองดูอีกหลายครั้งเหตุใดจึงเปิดไม่ออก?
หลินเมิ้งหยาเริ่มสบถในใจนี่หนังสมัยโบราณล้วนหลอกลวงทั้งสิ้นอย่างนั้นหรือ?
“นายหญิง...”
“แกร๊ง!ถ้าถูกเจอเข้าจะทำอย่างไร?”
หลินเมิ้งหยาเริ่มร้อนใจยื่นมือไปปิดปากป๋ายซู
เด็กคนนี้ปกติเป็คนเงียบขรึมเหตุใดวันนี้พูดมากเหลือเกิน
“นายหญิงข้าเพียงแต่อยากบอกว่าท่านทำผิดเ้าค่ะ”
สะบัดหน้าหนีออกจากมือของหลินเมิ้งหยาอย่างยากลำบากก่อนจะรีบเอ่ย
นางหันหน้าไปมองหน้าสาวใช้ของตนเอง สีหน้าเสมือนคนกำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหลินเมิ้งหยาหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะดึงกิ๊บกลับไปติดผมดังเดิม
“ต้องเปิดอย่างนี้เ้าค่ะท่านลุกขึ้นก่อนเถิด”
หลินเมิ้งหยารีบะโหลบป๋ายซูถอนแหวนวงหนึ่งออก
มิรู้ว่าเป็แหวนประเภทไหนเพียงกดในตัวแหวน มันจึงเปลี่ยนรูปร่างเป็เข็มเหล็กขนาดเท่าไม้จิ้มฟัน
ป๋ายซูสะเดาะกลอนอยู่สองสามครั้งไม่นานกลอนก็ถูกสะเดาะออก
“ว้าวป๋ายซูของข้า เ้าเก่งขนาดนี้เชียวหรือ”
