ยามรุ่งเช้าท้องฟ้าแจ่มใส ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า
จั๋วอวิ๋นเซียนเปิดหน้าต่าง สายลมยามเช้าเย็นสบายพัดเข้ามาในหอตำรา
ฉินตงหวู่ตื่นแต่เช้า นางถือผลไม้จานหนึ่ง โดยมีเสี่ยวจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยนติดตามอยู่ด้านหลังอย่างว่าง่าย
‘ผลเซวียนหลิง’ เป็ของขวัญที่จวนเ้าเมืองสั่งให้คนนำมาให้คุณชายไป๋เฮ่อโดยเฉพาะ ไม่เพียงมีรสชาติหอมหวาน ยังมีผลช่วยปรับสมดุลปราณโลหิตในร่างกายอีกด้วย
จั๋วอวิ๋นเซียนมิได้เกรงใจ เขาทานผลไม้ไปพลาง สลักแผนภาพไปพลาง
“เอ๊ะ? นายน้อยกำลังวาดอะไรหรือ? จะเป็ชุดเกราะก็มิใช่ จะเป็โล่ก็มิเชิง ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก…”
ฉินตงหวู่มองรูปภาพบนโต๊ะ นางมองอยู่เนิ่นนานแต่ยังคงไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้จึงทนไม่ไหวถามออกมาด้วยความสงสัย
จั๋วอวิ๋นเซียนวางปากกาลงแล้วกล่าวอธิบายว่า “ครั้งก่อนตุ๊กตาหุ่นของเสี่ยวเนี่ยนพังแล้ว เสี่ยวจิ่วซ่อมให้นางจากนั้นยังเอาตุ๊กตาหุ่นมัดกับท่อนไม้ พร้อมบอกว่าทำแบบนี้จะได้ไม่พังง่ายๆ…ข้าผ่านมาเห็นพอดี จึงนึกถึงชุดเกราะที่ทหารออกรบสวมใส่กัน…หากผู้บำเพ็ญเซียนสามารถสวมชุดเกราะที่ทรงพลังได้ เช่นนั้นจะสามารถเพิ่มพลังได้มหาศาล”
“อุ๊บ! นายน้อยล้อเล่นแล้ว!”
ฉินตงหวู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ชุดเกราะที่คนธรรมดาสวมใส่ จะป้องกันการโจมตีของผู้บำเพ็ญเซียนได้อย่างไร? ต่อให้เป็เกราะที่ทรงพลังที่สุดของนิกายเซียนโม่เหมิน ในความเป็จริงแล้วยังป้องกันการโจมตีของผู้แข็งแกร่งมิได้เลยแม้แต่การโจมตีเดียว”
ในฐานะที่เป็คนตระกูลฉินแห่งต้าซ่ง สายตาของฉินตงหวู่จึงไม่ธรรมดา
จั๋วอวิ๋นเซียนมิได้ใส่ใจ เขาส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะมิเคยเห็นเกราะของนิกายเซียนโม่เหมินมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง ไม่เพียงราคาสูง ตอนสวมใส่ยังต้องกระตุ้นด้วยพลังิญญา ทำให้ร่างกายแบกภาระหนัก จึงไม่สะดวกนัก”
ฉินตงหวู่ตกตะลึง “โอ้ หรือว่าชุดเกราะที่นายน้อยออกแบบมาจะมีความแตกต่าง?”
“มีบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้า เขากล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ศาสตร์การสร้างชุดเกราะนับว่าเป็การสร้างอาวุธอย่างหนึ่ง ไม่ว่าความแข็ง ความยืดหยุ่น หรือทิศทางการนำพลังิญญา ล้วนมีขีดจำกัด โดยเฉพาะั้แ่หลังจากยุคเซียนโบราณเป็ต้นมา ทักษะศาสตร์วิชาและการประกอบวัตถุดิบของแผ่นดินเซียนฉยงตกต่ำลงมาก ดังนั้นเกราะที่นิกายเซียนโม่เหมินสร้าง จึงมิอาจเทียบกับเกราะิญญาในยุคโบราณหรือแม้แต่เทียบกับเกราะเซียนที่เก็บเข้าออกได้ดังใจนึกได้เลย…สำนักเทียนกงก็เคยมีความคิดคล้ายคลึงกัน แต่กลับพบว่ามีปัญหามากมายที่มิอาจแก้ไขได้จึงพักเอาไว้ ที่จริงแล้วเกราะของนิกายเซียนโม่เหมินก็เป็เพียงเกราะิญญาฉบับง่ายเท่านั้น หรือกล่าวคือเป็เพียงของไม่สมประกอบ”
จั๋วอวิ๋นเซียนเว้นจังหวะเล็กน้อย จากนั้นกล่าวเสริมว่า “แต่เกราะที่ข้าออกแบบค่อนข้างเรียบง่าย มันเป็การเอาโล่ทมิฬนับหมื่นนับพันมาสร้างเป็เกราะาแบบใหม่โดยใช้ความมหัศจรรย์ของกลไกในการประกอบ…หืม มันคล้ายกับหุ่นเชิดเกราะในยุคสมัยโบราณ แต่มันจะยิ่งใหญ่กว่าหุ่นเชิดเกราะนับสิบเท่าร้อยเท่า!”
“……”
ฉินตงหวู่อ้าปากค้างมองจั๋วอวิ๋นเซียน หากมิใช่เพราะรู้จักนิสัยของอีกฝ่าย ฉินตงหวู่คงคิดว่าอีกฝ่ายบ้าไปแล้วเป็แน่
โล่ทมิฬเป็สมบัติพิเศษของนิกายเซียนโม่เหมินเ้าเดียว และมีเพียงระดับผู้าุโถึงจะมีคุณสมบัติที่จะใช้ได้
แต่นิกายเซียนโม่เหมินมีผู้าุโมากเท่าไรกัน? ต่อให้รวบรวมพลังของทั้งนิกายเซียนโม่เหมินก็เกรงว่าจะหาโล่ทมิฬนับร้อยอันออกมามิได้กระมัง? ยังไม่ต้องพูดถึงนับพันนับหมื่นเลย!
“พี่ฉินคิดว่าข้ามีความคิดแปลกประหลาดใช่หรือไม่?”
จั๋วอวิ๋นเซียนเห็นท่าทางของฉินตงหวู่ก็รู้ความคิดของอีกฝ่าย จึงกล่าวอธิบายว่า “ต้องมีจินตนาการเอาไว้ ต่อให้ตอนนี้ยังทำมิได้ แต่อย่างน้อยก็ได้พยายามทำตามสิ่งที่เราจินตนาการไว้ แล้วอีกอย่างข้ายังมิได้บอกว่าจะทำตอนนี้ ข้าเพียงแค่ออกแบบก็เท่านั้น”
เื่ด่วนในตอนนี้คือการสร้างะเิเพลิงอัสนีกับลูกปัดเพลิงอัสนีเป็หลัก มีเพียงทำให้เกาะสามเซียนยิ่งแข็งแกร่ง จั๋วอวิ๋นเซียนถึงจะยิ่งปลอดภัย
ฉินตงหวู่ได้สติกลับมา เมื่อได้ยินจั๋วอวิ๋นเซียนอธิบายอย่างใจเย็น ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงทำให้นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างรุนแรง ชายหนุ่มอ่อนแอคนนี้อาจจะทำให้ทุกคนบนแผ่นดินเซียนฉยงต้องตกตะลึง
……
หลังจากจั๋วอวิ๋นเซียนทานผลไม้เสร็จแล้ว ฉินตงหวู่เก็บกวาดอย่างง่ายๆ จากนั้นจึงพาเด็กสองคนไปอ่านหนังสือ
จั๋วอวิ๋นเซียนจดจ่ออยู่กับการสร้างเซียนยุทธ์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามิได้สร้างะเิเพลิงอัสนี แต่สร้างลูกปัดเพลิงอัสนีที่มีพลังทำลายล้างน่ากลัวยิ่งกว่า
เมื่อมีหอเทียนปินร่วมมือด้วย ะเิเพลิงอัสนีจึงสามารถผลิตได้จำนวนมาก เื่นี้จั๋วอวิ๋นเซียนมิได้กังวลนัก แต่สิ่งที่จะตัดสินสถานการณ์รบอย่างแท้จริงและควบคุมผลแพ้ชนะ มีเพียงลูกปัดเพลิงอัสนีเซียนยุทธ์ที่มีพลังทำลายล้างเป็วงกว้าง
แน่นอนว่าศาสตร์การสร้างลูกปัดเพลิงอัสนีซับซ้อนมาก ทั้งยังสร้างยากมากด้วย และหากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้ จั๋วอวิ๋นเซียนจึงต้องระวังตัว ยังดีที่เขามีโล่เกราะทมิฬคุ้มครองอยู่จึงไม่มีปัญหามากเท่าใดนัก
กลับกันการสร้างลูกปัดเพลิงอัสนีต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมาก เกรงว่ามีเพียงขั้วอำนาจที่ร่ำรวยอย่างเกาะสามเซียนถึงจะทนรับกับการทดลองของจั๋วอวิ๋นเซียนได้
……
สามวันผ่านไป จวนหลางฮ้วนมีเสียงะเิดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งที่แล้วมาก แทบจะะเืไปทั้งเมืองสามเซียน ทำให้ผู้คนยากจะสงบใจได้
เดิมทีผู้บำเพ็ญเซียนของเขตตอนเหนือแอบรู้สึกโศกเศร้า วันเวลาที่ต้องหวาดระแวงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ทว่าเมื่อพวกเขารู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนทั้งเมืองสามเซียนล้วนถูกผลกระทบไปด้วย ในใจของพวกเขาก็สะใจยิ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดแต่กลับรู้สึกสะใจมาก!
มิผิด คนที่อยู่ในเมืองเดียวกัน คนที่ลำบากเหมือนกันก็ควรเป็พวกเดียวกัน แต่เหตุใดถึงมีเพียงคนจากเขตตอนเหนือที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
พวกเขามิได้สนใจความคิดของคนเ่าั้ แต่ผู้บำเพ็ญเซียนของเมืองสามเซียนไปร้องเรียนกับจวนเ้าเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า ขอให้ขับไล่คนของจวนหลางฮ้วนออกไป มิเช่นนั้นพวกเขาจะร้องเรียนเื่นี้ไปถึงเ้าเกาะ
คนเหล่านี้ล้วนเป็พวก ‘คนแก่คนเฒ่า’ ร่ำรวย หรือยอดฝีมือจากภายนอก
ภายใต้สถานการณ์อึดอัด หวู่อันถงทำได้เพียงเจรจากับจั๋วอวิ๋นเซียน ตอนที่สร้างลูกปัดเพลิงอัสนีให้ไปพื้นที่รกร้างนอกเมืองชั่วคราว และเขาจะส่งองครักษ์ติดตามไปด้วยทั้งที่ลับและที่แจ้ง
ท้ายที่สุดหลังจากหวู่อันถงรับปากจะให้ผลประโยชน์มากมาย จั๋วอวิ๋นเซียนถึงฝืนตอบตกลง
……
ชายฝั่งต้าถัง นอกท่าเรือหลงหยา
ในเวลานี้มีสตรีสวมผ้าปิดหน้าค่อยๆ เดินเข้าท่าเรือ นางสวมชุดคลุมขนนกปรกไหล่ ประดับด้วยผ้าไหมพรมสีเขียว ราวกับนางเซียนเดินออกมาจากภาพวาด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกมดตัวจิ๋ว ไม่อยากข้องเกี่ยวกับโลกแม้แต่น้อย
การปรากฏตัวของสตรีจึงไปดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก แต่กลิ่นอายที่เยือกเย็นและสูงส่ง ทำให้ผู้คนไม่น้อยถอยกลับไปเอง บางคนถึงกับไม่กล้าสบตา
“คุณหนูโปรดหยุดก่อน!”
เสียงเรียกอย่างมีความสุขดังขึ้นมา น้ำเสียงน่าดึงดูดน้ันแฝงด้วยความดีใจและตื่นเต้น
จากนั้นชายหนุ่มสวมชุดหรูหราคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เขาถือพัดในมือ ดวงตากลมโต เพียงมองก็รู้ว่าเป็ผู้เชี่ยวชาญเื่ความรัก
เมื่อเห็นผู้มาเยือน ผู้คนรอบด้านรีบถอยไปด้านข้างด้วยสีหน้าซับซ้อน
บุรุษผู้นี้มีนามว่าฮวาเซ้าอวี่ เขาคือนายน้อยนิกายไท่เซวียน มาฝึกฝนที่นี่เพื่อเตรียมตัวไปทะเลล่วนซิง
ทว่าคนคนนี้เป็พวกเ้าชู้ จิตใจโเี้ เขาใช้สถานะของเ้านิกายน้อยกับความหล่อเหลาในการย่ำยีสตรีในท่าเรือหลงหยาไปไม่น้อยแล้ว
แต่ฮวาเซ้าอวี่เป็คนฉลาด ทุกอย่างที่เขาทำถึงแม้จะไม่ใช่เื่ดี แต่กลับไม่เคยแตะต้องขีดจำกัดของห้าแคว้น ขั้วอำนาจทั้งห้าแคว้นจึงทำอะไรเขามิได้ บวกกับภูมิหลังของเขาที่มิอาจหาเื่ได้ ยิ่งไม่มีใครอยากไปหาเื่ด้วย
“ข้าน้อยฮว่าเซ้าอวี่ ขอถามนามของคุณหนูได้หรือไม่?”
ฮวาเซ้าอวี่เดินไปด้านหน้าด้วยความเป็มิตร เขากล่าวทักทายสตรีที่ปิดหน้าอย่างมีมารยาท
น่าเสียดายที่สตรีคนนั้นไม่สนใจแล้วกล่าวออกมาเพียงคำเดียว “ไสหัวไป”
รอบด้านเงียบกริบทันที บรรยากาศเยือกเย็นถึงขีดสุดแล้ว
