เมื่อทานขนมและดื่มน้ำจนหนำใจ มู่อวิ๋นจิ่นเอนกายพักสายตาด้วยความอ่อนเพลีย แต่มิกล้าหลับด้วยกลัวจะถูกทิ้งไว้กลางทาง
ด้านฉู่ลี่เห็นนางแอบลืมตามองอยู่บ่อยครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ง่วงก็นอน ข้าไม่โยนเ้าทิ้งไว้กลางทางหรอก!”
มู่อวิ๋นจิ่นค่อยวางใจลงได้หน่อย ก่อนถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “แน่ใจใช่ไหม?”
“แน่ใจ” ฉู่ลี่พยักหน้ารับ
ครั้งนี้มู่อวิ๋นจิ่นวางใจเต็มที่ หลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
ฉู่ลี่นั่งพิงพนัก ได้ยินเสียงลมหายใจของนาง กลับััได้ถึงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก หยิบผ้ามาห่มให้นาง พลางใช้มือลูบให้ผมด้านหน้าไม่ยุ่งเหยิง
……
มู่อวิ๋นจิ่นหลับยาวพอได้สติรู้สึกว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงแข็ง มองไปโดยรอบไม่คุ้นชิน เหลือนางอยู่คนเดียว ทำให้ความง่วงทั้งหมดที่มีพลันมลายหายไป
นางรีบสวมรองเท้าเปิดประตูออก พบว่านอนอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ชั้นล่างมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว
มู่อวิ๋นจิ่นเปิดหน้าต่างออก พบแสงตะวันสาดส่องเข้ามาแยงตา จนต้องยกมือขึ้นบัง พบว่าถนนด้านหน้ามีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่
นี่คงมิใช่เมืองชิงโจว
แต่ทำไมเหลือนางเพียงผู้เดียวที่นี่?
ฉู่ลี่ไปไหน?
คงมิได้โยนนางทิ้งไว้ที่นี่?
ชิชะ เ้าคนเฮงซวย!!!
มู่อวิ๋นจิ่นผลักประตูออกสุดแรงด้วยความโมโห เดินไปเคาะประตูห้องด้านข้าง
พบสตรีคนหนึ่งเปิดประตูออก ด้วยความไม่พอใจที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่น “มีธุระอะไร?”
“ขออภัย เคาะผิดห้องแล้ว” เมื่อเห็นว่ามิใช่คนที่ตามหา มู่อวิ๋นจิ่นก็ถอนหายใจ
“เ้ามันบ้าไปแล้ว ตั้งใจปั่นหัวข้าใช่ไหม?” สตรีผู้นั้นโกรธจัด ตะคอกใส่หน้ามู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะสวนกลับ ห้องด้านข้างกลับเปิดประตูออก เห็นคนที่คุ้นเคยในชุดนอนเดินมาหยุดยืนหน้าประตูห้องมู่อวิ๋นจิ่น
“มานี่เร็ว” เสียงนั้นเรียบนิ่ง
มู่อวิ๋นจิ่นตกอกใรีบพุ่งเข้าใส่ ยังไม่ทันเอ่ยปากต่อว่า ก็ถูกฉู่ลี่ดึงเข้าห้อง
มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้ามองฉู่ลี่ด้วยความละอาย “ข้านึกว่า……”
“คิดว่าอะไร?” ฉู่ลี่มองมู่อวิ๋นจิ่น “คิดว่าไม่รู้จะสวมชุดไหนไปข้างนอกใช่ไหม?”
มู่อวิ๋นจิ่นก้มหน้าหลบตามองพบว่าไม่ได้สวมชุดคลุมไว้ จึงยู่ปากขึ้นมา “ข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน”
“รอก่อน” ฉู่ลี่ให้นางหยุด
มู่อวิ๋นจิ่นหันกลับมามอง “มีอะไร?”
“ให้เวลาเ้าครึ่งชั่วยาม จัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จเรียบร้อย จะได้เดินทางต่อ” ฉู่ลี่บอก
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้างกๆ รีบไปจัดการตัวเอง
เมื่อเดินกลับเข้าห้อง มู่อวิ๋นจิ่นถอดหายใจอย่างโล่งอก ดีที่ฉู่ลี่ไม่โยนนางทิ้งกลางทาง
มู่อวิ๋นจิ่นใช้น้ำร้อนเพียงนิดหน่อยก็สามารถชำระร่างกาย และเลือกชุดกระโปรงที่คลุมถึงเข่ามาใส่ รวบผมถักเปียเป็สองข้างซ้ายขวา ส่งกระจกดูพบว่าแต่งตัวได้ไร้เดียงสาที่สุด
การแต่งตัวแบบนี้แหละถึงเรียกว่าสะดวกสบาย
พอมู่อวิ๋นจิ่นเดินลงมาจาก้า ติงเซี่ยนได้ยืนรอรับอยู่ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม กล่าวเสียงเบาว่า “พระชายาออกเดินทางได้แล้ว ส่วนของว่างจัดเตรียมไว้ในรถม้าเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินคนเรียกพระชายาจนถึงปัจจุบัน ทว่านางยังคงไม่ชินเสียที
พอนางเดินขึ้นรถม้า ขบวนก็สามารถเดินทางต่อได้
……
“เมื่อครู่พวกเราอยู่ที่ไหนกัน?” หลังจากพักผ่อนเต็มอิ่ม มู่อวิ๋นจิ่นก็นั่งไขว่ห้างเอ่ยถามฉู่ลี่
ฉู่ลี่ขมวดคิ้วสั่งว่า “เอาขาลงให้ดีๆ”
“ห๊ะ?” มู่อวิ๋นจิ่นไม่รู้ตัว จึงก้มมองขาและแยกกลับดังเดิม
“มีเื่ไม่คาดฝันนิดหน่อย เหลืออีกเพียงหนึ่งวันก็จะถึงเมืองชิงโจว” ฉู่ลี่ตอบข้อสงสัยนาง
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินว่าเหลืออีกหนึ่งวัน พลันวางขนมกุ้ยฮวาในมือลง เปิดผ้าม่านออกชมทิวทัศน์ด้านนอก
“ครั้งนี้เดินทางมาช่วยผู้ประสบอุทกภัยที่เมืองชิงโจว หากจัดการปัญหายืดเยื้อ พวกเราจะกลับเมืองได้ใช่ไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นถามจริงจัง
ฉู่ลี่พยักหน้า
“ดูแล้วฝ่าาตั้งใจให้ทำเื่ยากช่นนี้ ฉู่เย่เพิ่งขึ้นตำแหน่งรัชทายาทได้ไม่นาน ฝ่าาก็ส่งเ้าเ้าไปอยู่ในที่ยากจนห่างไกล เพื่อช่วยแก้ปัญหาอุทกภัย อีกทั้งเื่นี้คงไม่เสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ฝ่าาทำเหมือนเ้าจะคุกคามฉู่เย่อย่างนั้นแหละ” มู่อวิ๋นจิ่นยกมือกอดอก เผลอลืมตัวนั่งไขว้ห้างโดยไม่รู้ตัว
ฉู่ลี่ถอนหายใจ ยื่นมือไปตบขานาง “สรุปแล้วเ้าเป็สตรีจริงหรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นชอบนั่งไม่เรียบร้อย ด้วยรู้สึกไม่สบายตัว พอเห็นฉู่ลี่มัวแต่คิดเื่การนั่งไขว่ห้าง จึงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเป็สตรีหรือไม่นั้น เ้าไม่ได้รู้อยู่แก่ใจเหรอ?”
ครั้งก่อนถูกเขาเห็นร่างที่เปลือยเปล่าแล้ว ยังจะมีหน้ามาถามอีก!
ฉู่ลี่สะอึกจนพูดไม่ออก ทำท่าเหมือนผู้แพ้ ปล่อยให้นางนั่งไขว่ห้างตามใจปรารถนา พอนั่งมองไปสักพักก็ไม่ได้รู้สึกขัดหูขัดตาแต่อย่างใดอีกแล้ว
……
รถม้าเดินทางไปได้ครึ่งวัน มู่อวิ๋นจิ่นััได้ถึงลมวูบใหญ่ที่พัดด้านนอก ตามด้วยเม็ดฝนเปาะแปะร่วงหล่นเข้ามาจากหน้าต่าง
มู่อวิ๋นจิ่นเปิดม่านมองไปด้านนอก เห็นเส้นทางที่คดเคี้ยว และเมฆดำทะมึนอยู่เหนือูเาเ่าั้
“นี่เป็เส้นแบ่งเขตเมืองชิงโจวใช่ไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นปิดม่าน หันถามฉู่ลี่
ฉู่ลี่ที่เปิดมองด้านนอกเช่นกัน ตอบกลับเพียงว่า “ใกล้ถึงแล้ว”
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งนิ่ง ไม่คิดไม่ฝันว่าเมืองชิงโจวจะเป็เช่นนี้ ไม่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรรอพวกเขาอยู่
แต่ไม่เป็ไรทั้งนั้น หากเทียบกับกินดื่มสุขสบายอยู่ที่จวนเพียงผู้เดียว นางเลือกที่จะมาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับฉู่ลี่
หลังจากนั้น ขบวนของฉู่ลี่ได้เดินทางต่อไปอีกสองชั่วยาม ด้านนอกมีเมฆฝนกลุ่มใหญ่แผ่เป็วงกว้าง พร้อมกับลมที่บ้าคลั่งพัดวูบไหวจนผ้าม่านเปิด ทำให้ความเร็วของรถม้าและการเดินเท้าต้องลดลง
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งพิงไหล่ฉู่ลี่มองเม็ดฝนขนาดใหญ่พัดเข้ามารถม้า จนเนื้อตัวเปียกเปื้อน ในใจของนางคิดรอให้ถึงเมืองชิงโจวแล้วค่อยเปลี่ยนชุดใหม่
ฉู่ลี่คว้าเสื้อคลุมมาห่มให้นาง พร้อมกระซิบแ่เบา “ระวังจะไม่สบาย เปิ่นหวงจื่อไม่มีเวลามาคอยดูแลเฝ้าไข้เ้าหรอกนะ!”
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นเม็ดฝนพัดซู่เข้ามาจนเสื้อคลุมนั้นเปียกชุ่ม ทว่าในใจกลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก นางยกเข่าขึ้นมากอดและเลือกนั่งพิงไหล่ฉู่ลี่ต่อไป
ฉู่ลี่นึกว่านางหนาวสะเทิ้มจึงเลื่อนมือไปโอบด้านหลัง ใช้แก้มััหน้าผากนางเพื่อให้ความอบอุ่น
ฝนด้านนอกตกกระหน่ามิหยุด ทว่าในรถม้ากลับมีความอบอุ่นกระจายไปทั่ว
……
“ตึมๆๆๆ”
ทันใดนั้นรถมาก็สะบัดไปด้านข้างก่อนหยุดลง
มู่อวิ๋นจิ่นที่อยู่ในอ้อมกอดฉู่ลี่พรวดตื่นขึ้น ได้ยินเสียงติงเซี่ยนดังขึ้นจากข้างนอก “องค์ชาย ทางข้างหน้ามีดินถล่มมาขวางไว้ เกรงว่ารถม้าอาจไปไม่ได้……”
“ถึงเมืองชิงโจวแล้วหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นจึงมองไปด้านนอกเห็นท้องฟ้ามืดลง ฝนที่ตกหยุดลง ทว่าสามารถมองเห็นดินถล่มด้านหน้าได้ชัด
“เช่นนั้น พวกเราเดินไปกันเถอะ?” มู่อวิ๋นจิ่นเดินลงจากรถม้า
“เ้ารอก่อน” ฉู่ลี่เรียกนางหยุดและคว้านางขึ้นมาที่นั่ง จากนั้นเดินลงไปเพียงผู้เดียว
พอฉู่ลี่ก้าวเท้าััพื้นปฐี รู้สึกเหมือนดินค่อยๆ ดูดเท้า เขาจึงเอะใจขมวดคิ้วครุ่นคิด และมองไปเส้นทางข้างหน้า
ติงเซี่ยนถือโคมไฟส่องทางให้ฉู่ลี่เห็นสีหน้าขององค์ชายเปลี่ยนไป กลับไม่กล้าเอ่ยคำใด
ด้านมู่อวิ๋นจิ่นที่อยู่ในรถม้าเดินออกมา เห็นทุกคนยืนชะงักนิ่ง จึงยิ้มน้อยๆ ส่งให้ฉู่ลี่ “ฟ้ามืดลงแล้ว พวกเราเดินข้ามผ่านไปแล้วค่อยหาที่พักผ่อนแล้วกัน”
ฉู่ลี่มองมู่อวิ๋นจิ่นพลางหยิบหยกขาวชิ้นนั้นขึ้นมาจากในแขนเสื้อ ยื่นให้มู่อวิ๋นจิ่นที่อยู่ข้างหน้า
“ห๊ะ?” มู่อวิ๋นจิ่นไม่เข้าใจความหมายที่ฉู่ลี่้าสื่อ
“เ้าช่วยเดินนำทางเปิ่นหวงจื่อ” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วแน่นเข้ามากัน กำลังจะอ้าปากต่อว่า ฉู่ลี่กลับเดินมาเพื่อแบกนาง
“ขึ้นมา”
คำพูดสองพยางค์แม้จะสั้น แต่กลับทำให้มู่อวิ๋นจิ่นไปต่อไม่ถูก ไม่รู้ทำตัวอย่างไร ฉู่ลี่้าแบกนางขึ้นหลังอย่างนั้น?
“ยังไม่รีบอีก” ฉู่ลี่เริ่มพูดอย่างมีน้ำโห ที่ต้องยืนรออยู่นานสองนาน
มู่อวิ๋นจิ่นได้สติรีบะโขึ้นหลังฉู่ลี่ พร้อมรับหยกขาวชิ้นนั้นมาส่องนำทาง
แสงสว่างของหยกขาวชิ้นนั้น ส่องให้ทั้งคู่เห็นชัดว่าเป็ป่าที่เต็มไปด้วยหลุมดิน ในเวลานี้รองเท้าของเขาถูกดินดูดลงไปลึก แม้ชายเสื้อก็ไม่เว้น
มู่อวิ๋นจิ่นกอดคอฉู่ลี่จากข้างหลัง พร้อมกับรอยยิ้มประหลาดปรากฏขึ้น
นางคิดว่า นางตกหลุมพรางเข้าแล้ว!
……
เส้นทางดินโคลนปกติเดินยากอยู่แล้ว ตอนนี้ฉู่ลี่ยังต้องมาแบกนางอีก แม้เป็เส้นทางไม่ยาวไกล แต่ต้องเสียเวลาไปมิน้อย
พอฉู่ลี่แบกนางมาถึงทางที่ยืนได้ มู่อวิ๋นจิ่นกวาดสายตาไปรอบข้าง เห็นแผ่นหินสลักตัวอักษรคำว่า “เมืองชิงโจว”
“เ้าวางข้าลงได้แล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นกลัวฉู่ลี่แบกนางจนเหนื่อย จึงเตรียมตัวลงจากหลังเขา
มือเท้าของฉู่ลี่เกร็งไปหมด “ไม่ต้องขยับ”
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักงัน อยู่บนหลังฉู่ลี่ต่อไปอย่างว่าง่าย
ติงเซี่ยนที่ติดตามมาด้วยเอ่ยขึ้น “องค์ชาย เสบียงอาหารที่นำมาไม่ได้รับความเสียหาย ข้าน้อยได้กำชับหัวหน้าองครักษ์ลับซ่งกัวให้ดูแล พวกเราไปหาที่พักกันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฉู่ลี่พยักหน้ารับทราบ
ติงเซี่ยนจึงเดินนำทาง ส่วนมู่อวิ๋นจิ่นช่วยฉู่ลี่มองทางด้านหน้าว่าเป็หลุมเป็บ่อหรือเปล่า
ไม่นานนักติงเซี่ยนมาหยุดยืนหน้าเรือนแห่งหนึ่ง หน้าประตูเหมือนมีคนมายืนรอพวกเขาอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นฉู่ลี่ คนเ่าั้รีบทะยานเข้ามา คุกเข่าลงเบื้องหน้าฉู่ลี่
“ข้าน้อยเ้าเมืองหยางว่านซานแห่งเมืองชิงโจวคารวะองค์ชายหนิงหวาง”