เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังเฝ้าคิดถึงหนังสือตอบรับเข้าศึกษาของตนเองเช่นกัน
หนังสือตอบรับของเธอจะถูกส่งถึงบ้านย่าอวี๋โดยตรง ที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ละแวกบ้านย่าอวี๋นั้น เซี่ยเสี่ยวหลานเคยไปผูกมิตรไว้ตั้งนานแล้ว โอกาสที่หนังสือตอบรับของหัวชิงจะหายมีน้อยมาก ก่อนหนังสือตอบรับจะมาถึง สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้มีเพียงรอคอยเท่านั้น
สำหรับเธอ เื่พบครอบครัวโจวเฉิงนี้ถือว่าผ่านพ้นไปแล้ว
ด้านเผิงเฉิงยังมีธุระอีกมายมายรอเธอไปจัดการอยู่
แต่สำหรับคนรอบข้างเซี่ยเสี่ยวหลาน การพบปะพ่อแม่โจวเฉิงเป็เื่ที่สำคัญมาก หลังกลับเผิงเฉิงแล้ว ไม่ใช่แค่คังเหว่ยและเส้ากวงหรงที่ขอหน้าหนาถามไถ่ข่าวคราว หลิวหย่งลุงของเธอก็ถาม หลิวเฟินผู้อยู่ไกลถึงซางตูก็โทร.มาถามไถ่เช่นเดียวกัน
โดยปกติหลิวเฟินจะไม่มีทางโทร.หาเธอก่อน ทำไมหูโทรศัพท์ถึงสามารถทำให้คนสองคนที่อยู่ห่างกันเป็พันลี้ได้ยินเสียงซึ่งกันและกันได้ หลิวเฟินไม่เข้าใจทฤษฎีนี้แม้แต่น้อย นอกจากนี้เสียงที่ผิดเพี้ยนยามสื่อสารก็ทำให้หลิวเฟินไม่เคยชินด้วย เธอยินดีกับการส่งโทรเลขมากกว่า ส่วนเื่เซี่ยเสี่ยวหลานไปปักกิ่งและพบครอบครัวโจวเฉิงนั้น ในโทรเลขไม่สามารถเล่าได้อย่างชัดเจน หลิวเฟินจึงจำเป็ต้องต่อสายหาเซี่ยเสี่ยวหลานแทน
เธอถามรายละเอียดทุกอย่างจริงๆ !
เมื่อได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานพบญาติสายตรงของโจวเฉิงเกือบครบทุกคนในครั้งเดียว หลิวเฟินรู้สึกตื่นเต้นแทบแย่
และเมื่อได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเล่าถึงสถานการณ์ภายในครอบครัวอย่างตรงไปตรงมา บอกกระทั่งเื่ที่เธอหย่าร้างต่อคนตระกูลโจว หลิวเฟินแทบเป็ลมล้มไปทั้งที่มือถือหูโทรศัพท์อยู่
“เด็กโง่ เื่นี้น่ะ เื่นี้มันพูดได้อย่างไร...”
หลิวเฟินร้อนรนจนพูดจาตะกุกตะกัก เสี่ยวหลานเป็ลูกที่ดีแน่นอน แม่อย่างเธอรู้เื่นี้ชัดกว่าใครทั้งนั้น แต่ครอบครัวของโจวเฉิงพบเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ครั้งแรก พวกเขาไม่เข้าใจ หากได้ยินว่าพ่อแม่ของเสี่ยวหลานหย่าร้างกันและเกิดรังเกียจเดียดฉันท์เล่า?
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกเธอด้วยท่าทีขึงขังเป็อย่างยิ่ง
“ถ้าครอบครัวโจวเฉิงจะมีปัญหากับสถานภาพสมรสของแม่ นั่นพิสูจน์ว่าฉันกับโจวเฉิงไม่เหมาะกันเท่าไร แต่งงานและหย่าคือทางเลือกส่วนบุคคลนะ กฎหมายบ้านเมืองอนุญาตให้หย่าได้ ซึ่งแสดงว่าแม่มีสิทธิตัดสินใจด้วยตัวเอง แม่ นี่ไม่ใช่เื่น่าอายอะไรเลย เมื่อก่อนผู้คนไม่ได้ทำความเข้าใจก่อนแต่งงาน อีกสองปีคนหย่าจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ แม่ไม่เสียหน้าแม้แต่นิดเดียวแน่นอน กลับกัน แม่จะกลายเป็คนเดินนำหน้าคนมากมายด้วยซ้ำ การแต่งงานที่ไม่มีความสุขคือความทรมานอย่างหนึ่ง แม่แค่ขอยุติความทรมานนี้เองอย่างกล้าหาญ!”
อีกฟากของโทรศัพท์คือความเงียบงัน เซี่ยเสี่ยวหลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดถึงสิ่งที่ทำให้หลิวเฟินผ่อนคลายแทน
“ฉันคิดว่านะ จากความรู้สึกที่พบกันครั้งแรกของฉัน ครอบครัวของโจวเฉิงอัธยาศัยดีทีเดียว คุณย่าของเขาเป็มิตรมาก ส่วนคุณปู่สนับสนุนฉันเรียนให้หนังสือเพิ่ม... ตอนฉันกลับทุกคนให้ของขวัญสำหรับการพบปะครั้งแรกกับฉันด้วย แม่สบายใจได้แล้วสินะ?”
หลิวเฟินตื่นตระหนกแทบตาย จะพูดจารวดเดียวแบบนี้ได้ที่ไหนกัน?
พอได้ยินว่าให้ของขวัญพบปะ หลิวเฟินก็สบายใจแล้ว
ประเพณีของทุกหนแห่งทั่วประเทศไม่แตกต่างกันมากนัก หญิงสาวตามคนรักเข้าบ้านเป็ครั้งแรก ถ้าผู้ใหญ่ฝ่ายชายพึงพอใจ จะให้ของขวัญพบปะไม่มากก็น้อย หลิวเฟินพิถีพิถันในเื่พวกนี้ขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน ย่าอวี๋เป็ผู้สอนต่างหาก บอกว่าโจวเฉิงคือคนเอาใจใส่ ครอบครัวเขาจะเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติพวกนี้อย่างแน่นอน หากถูกใจเซี่ยเสี่ยวหลาน ไม่มีทางปล่อยให้เธอมือเปล่ากลับบ้านอย่างแน่นอน และใช่ เซี่ยเสี่ยวหลานไปบ้านโจวเฉิงครั้งแรก พกปากหวานไปอย่างเดียวโดยมือเปล่าก็เสียมารยาทมากเช่นกัน
แสดงความเคารพต่อกันทั้งสองฝ่าย ธรรมเนียมเก่าบางอย่างเป็ความเลวร้ายจากสังคมศักดินา ส่วนธรรมเนียมเก่าแก่บางอย่างย่าอวี๋คิดว่าสามารถส่งต่อสืบทอดไปได้
“อย่างเธอน่ะ ตอนนั้นที่พี่ชายเธอยกเธอให้บ้านเซี่ยไป ไม่รับสินสอดแม้แต่นิดเดียว ตระกูลเซี่ยเก็บสะใภ้มาเป็วัวเทียมม้าได้เปล่าๆ สุดท้ายทำกับเธออย่างไร?”
ย่าอวี๋ล้างสมองหลิวเฟินทุกวัน ไม่ว่าหญิงชราจะพูดอะไรหลิวเฟินก็พยักหน้ารับทั้งหมด
เวลานั้นเกิดทุพภิกขภัย หลิวหย่ง้าให้เธอแต่งงานเข้าตระกูลเซี่ยไปเพื่อให้ได้กินอิ่ม ไม่มีเงินสินเดิมเ้าสาว จะรับสินสอดอะไรอีกเล่า ตอนนี้ลองคิดดูอีกครั้ง ในลูกสะใภ้ตระกูลเซี่ยสามคน มีเพียงเธอที่ถูกขอแต่งเข้าตระกูลโดยไม่เสียแม้แต่ข้าวสารชั่งเดียว ก็เหมือนที่ย่าอวี๋พูด ด้วยเหตุนี้แม่เฒ่าเซี่ยจึงเลวร้ายต่อเธอที่สุด
พอวางสายแล้วหลิวเฟินก็ส่งต่อข้อความแก่ย่าอวี๋อย่างละเอียด
“เสี่ยวหลานบอกว่าเธอมีของไปบ้านโจว ตอนกลับผู้หลักผู้ใหญ่บ้านโจวให้ของขวัญพบปะกันทุกคน ย่าของโจวเฉิงให้กำไลหยก แม่ของโจวเฉิงให้ตุ้มหูกับเธอ...”
ย่าอวี๋พยักหน้า “นี่มันเป็เื่ถูกต้องแล้ว เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก ลูกสาวเธอรายนั้นน่ะหัวแหลมกว่าใครทั้งนั้น ไม่ใช่เื่ยากสำหรับลูกสาวเธอที่จะเอาชนะใจใครหรอก”
คนที่เกลียดชังเซี่ยเสี่ยวหลานต้องเป็เพราะมีความขัดแย้งกันด้านผลประโยชน์ ย่าอวี๋อธิบายจนหลิวเฟินสบายใจเต็มที่ พ่อหนุ่มโจวเฉิงคนนั้นดูดีมากจริงๆ เอาใจใส่หลิวเฟิน เคารพนบนอบต่อญาติผู้ใหญ่ทางนี้ทุกคน หลิวเฟินไม่ใช่คนหัวสูง ที่คิดว่าเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ที่หนึ่งของมณฑลแล้วก็สามารถเปลี่ยนคนรักได้
เพราะตอนที่ยังไม่ได้เป็อันดับหนึ่งของมณฑล โจวเฉิงเองก็ไม่เคยรังเกียจที่เสี่ยวหลานฐานะไม่ดีน่ะสิ
ความคิดของหลิวเฟินเรียบง่าย ทว่าถูกรสนิยมของย่าอวี๋ยิ่งนัก
เมื่ออันดับหนึ่งประจำมณฑลกับนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวชิงสองอย่างนี้รวมเข้าด้วยกันแล้ว ด้วยการคาดเดาของย่าอวี๋ ถือว่าก้าวข้ามธรณีประตูบ้านโจวเฉิงได้พอดิบพอดี
เซี่ยเสี่ยวหลานยอดเยี่ยมมากเพียงพอ ตระกูลโจวไม่มีทางคัดค้านการคบหากันของเธอและโจวเฉิงแน่นอน
หากจะบอกว่าแค่ใช้สถานะอันดับหนึ่งมณฑลกับนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวชิงก็สามารถดูแคลนตระกูลโจวกลับได้แล้ว ทว่าย่าอวี๋เชื่อว่าเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้เหลาะแหละถึงขั้นนั้น ตระกูลผู้มีอิทธิพลใดๆ ล้วนต้องใช้เวลาก่อร่างสร้างฐานะ ทุกปีมีที่หนึ่งเกาเข่า ทุกปีมีบัณฑิตมหาวิทยาลัยหัวชิงถูกส่งเข้าตำแหน่งงาน เป็ัหรือเป็หนอนน้อย จะรู้ได้อย่างไรหากไร้ซึ่งบททดสอบยาวนานถึงยี่สิบสามสิบปี
ยังเร็วเกินไปที่เซี่ยเสี่ยวหลานจะยกหาง โจวเฉิงเป็เ้าของหลายสิ่งโดยกำเนิด ในขณะที่ตอนนี้เธอเพิ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับโจวเฉิงจากการอาศัยความมุมานะของตนเท่านั้น
ย่าอวี๋มีสติตื่นรู้ และเธอก็หวังให้เซี่ยเสี่ยวหลานตื่นรู้เช่นเดียวกัน... สุดท้ายจะสามารถแต่งงานกับโจวเฉิงได้หรือไม่ หรือแม้แต่ได้แต่งงานหรือไม่และแต่งงานกับใครล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเซี่ยเสี่ยวหลานต้องเข้าใจแจ่มแจ้งว่าตนเอง้าอะไร
พึ่งผู้ชาย พึ่งการสมรสคือเส้นทางหนึ่ง
ไม่พึ่งพาผู้ชาย ไม่อาศัยการแต่งงาน ก็เป็อีกเส้นทางหนึ่ง
ในความคิดของย่าอวี๋ หญิงสาวที่มากความสามารถดั่งเซี่ยเสี่ยวหลานนี้พบเจอได้ไม่บ่อยนัก แม้เงื่อนไขแรกของการเลือกเส้นทางที่สองจะลำบาก แต่จะหวานหอมหลังขมขื่นแน่ สตรีมีความสามารถของตนเองเป็สิ่งที่ดีที่สุด โอกาสเลือกด้านการแต่งงานถึงจะกว้างขวางกว่า... หาก้าทั้งครอบครัวและการงาน จุดสมดุลตรงกลางนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานต้องไปไตร่ตรองให้เข้าใจด้วยตนเองแล้ว
“สองสามวันนี้เธอไปไปรษณีย์บ่อยๆ หน่อยนะ หนังสือตอบรับของหัวชิงส่งเป็กลุ่มแรก ในไม่กี่วันนี้ก็คงจะถึงแล้ว”
“จ้ะ ตามคุณว่าเลย!”
หลิวเฟินตอบรับอย่างสดชื่นแจ่มใส เทียบกับการพบครอบครัวของโจวเฉิงแล้ว เธอคิดว่าหนังสือตอบรับเข้าศึกษาสำคัญกว่า
พอรับจดหมายตอบรับให้เสี่ยวหลานแล้ว หลิวเฟินตั้งใจจะไปเผิงเฉิง ปลายเดือนกรกฎาคม เวลาคึกคักครั้งใหญ่ที่สุดของการค้าขายใน่ฤดูร้อนได้ผ่านไปแล้ว เธอไม่จำเป็ต้องเฝ้าร้านเสื้อผ้าทั้งวันอีกแล้ว หลี่เฟิ่งเหมยเองก็สนับสนุนให้เธอไปท่องเที่ยวทางใต้มากๆ ส่วนเื่เลือกแบบเสื้อผ้านี้ สิ่งที่พี่สะใภ้กับน้องสามีทั้งสองต้องเรียนรู้ยังมีอีกถมเถไป แบบเสื้อผ้าที่พวกเธอเลือกกลับมาขายไม่ดีเท่าแบบที่เซี่ยเสี่ยวหลานเลือก ลูกค้าอาจไม่ได้ชอบแบบที่พวกเธอคิดว่าสวยเสมอไป... โชคดีที่สามารถเปลี่ยนสินค้าได้ มิเช่นนั้นการขายเครื่องแต่งกายฤดูร้อนครั้งนี้คงขาดทุนย่อยยับไปเสียแล้ว
ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป หลิวเฟินเชื่อฟังย่าอวี๋และไปไปรษณีย์วันละสามหนจริงๆ
คนของไปรษณีย์ถึงกับรู้จักเธอแล้ว อีกทั้งคนเขาก็ไม่รำคาญเสียด้วย บ้านใครมีลูกหลานสอบติดมหาวิทยาลัยหัวชิงสักคน มาวันละสิบหนก็ไม่คิดว่ามากเกินไปหรอก!
เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนสิงหาคม ่เวลาที่ร้อนที่สุดของปีมาถึงแล้ว ในขณะที่หลิวเฟินเริ่มร้อนใจ ด้านไปรษณีย์กมีความเคลื่อนไหวจนได้
“เซี่ยเสี่ยวหลาน? มีจดหมายลงทะเบียนหนึ่งฉบับ!”