หลิวจือโม่หันมองหลี่ชิงหลิงอย่างลึกซึ้ง เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านางเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้นิสัยนางเงียบขรึมพูดน้อย แม้จะโดนดุด่าก็ยอมรับและไม่ตอบโต้
ตอนนี้นางไม่เพียงแต่จะโต้กลับ แถมยังทำให้นางหลิวออกอาการโกรธเคืองต่อหน้าสาธารณชนอย่างแเี ชาวบ้านอาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่เขาซึ่งเป็ผู้ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ เห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เจอเขา เด็กสาวจะหน้าแดงจนไม่กล้าเงยหน้ามองหน้ามา เพียงแค่เรียกพี่จือโม่เสียงเบาแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่นางจะไม่หน้าแดง แถมยังกล้าพูดเสียงดังกับเขาอีก
นิสัยใจคอที่ตรงข้ามกันเช่นนี้ คนไหนคือตัวตนที่แท้จริงกันแน่นะ?
ตอนนี้เขาเริ่มสนใจนางแล้ว
“พี่จือโม่?” เมื่อเห็นว่าหลิวจือโม่ไม่ตอบ หลี่ชิงหลิงจึงเรียกซ้ำ
หลิวจือโม่ได้สติ ผละสายตากลับมาพยักหน้า "ใช่ แต่ตอนนี้น้ำเย็นเกินไป ต้องรอถึงฤดูร้อนก่อน"
"ได้เลย ขอบคุณพี่จือโม่" หลี่ชิงเฟิงพยักหน้าอย่างมีความสุข ตราบใดที่เรียนได้ ตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น
เมื่อเห็นหลี่ชิงเฟิงมีความสุข หลี่ชิงหลิงก็ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เด็กๆ ควรจะมีชีวิตชีวาแบบนี้สิ ก่อนหน้านี้น่ะเงียบขรึมเกินไป
เมื่อละสายตา นางก็เหลือบมองหลิวจือโม่อย่างไม่ทิ้งร่องรอย สายตาที่มองมาเมื่อครู่ทำให้นางระแวงนิดหน่อย กลัวว่าเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างขึ้นมา
นางรู้สึกว่าเขาฉลาดกว่านางจ้าวมาก คงหลอกไม่ได้ง่ายๆ คราวหลังคงต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น จะเผยนิสัยมากเกินไปในคราวเดียวไม่ได้ ต้องทำตามลำดับไม่ให้รู้สึกถึงความผิดปกติ
ทันทีที่กลับถึงบ้าน หลิวจือโม่วางหลี่ชิงเฟิงลง บอกลานางจ้าวและเตรียมตัวกลับบ้าน
แต่นางจ้าวหยุดเขาเอาไว้ แบ่งเห็ดที่หลี่ชิงหลิงเก็บมาในวันนี้ให้ครึ่งหนึ่ง บอกว่าเห็ดชนิดนี้พวกนางเคยกินแล้วไม่เป็ไร ให้สบายใจได้
หลิวจือโม่ก้มมองเห็ดครึ่งตะกร้า จากนั้นเหลือบมองหลี่ชิงหลิงที่กำลังก่อไฟ แววตาฉายแววประหลาดใจ "ท่านป้า น้องชิงหลิงเป็คนขึ้นเขาไปเก็บเห็ดนี้มาหรือ”
“ใช่ เมื่อวานเด็กคนนี้โชคดีมาก เจอคนแก่บนูเาบอกว่าเห็ดนี้กินได้ ดังนั้นเลยเก็บกลับมา”
นางจ้าวตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้บอกหลิวจือโม่ว่าเมื่อวานกินเห็ดนี้พร้อมความคิดที่จะตายพร้อมกับลูกสาวและลูกชาย
เมื่อตื่นขึ้นเช้านี้และพบว่าสมาชิกทั้งสามในครอบครัวสบายดีก็รู้สึกทั้งขอบคุณและโล่งใจไปพร้อมกัน หากมีเห็ดขนที่กินได้นี้ ครอบครัวนางคงสามารถอยู่รอดได้จนถึงฤดูเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง
"งั้นก็โชคดีจริงๆ” หลิวจือโม่มองหลี่ชิงหลิงที่กำลังง่วนอยู่กับการตักน้ำร้อน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถาม "น้องชิงหลิง คราวหน้าไปเก็บเห็ดให้เรียกข้าด้วยได้ไหม?”
ครอบครัวของเขามีอาหารเหลือไม่มากแล้ว หากมีเห็ดขนก็จะนับว่าเป็ทางออก เงินที่ได้รับจากการคัดลอกหนังสือจะสามารถเก็บไว้ซื้อข้าวขัดสีให้น้องสาวแทนได้
หลี่ชิงหลิงกำลังลองอุณหภูมิของน้ำและรู้สึกว่ามันร้อนไปหน่อย นางจึงเติมน้ำเย็นหนึ่งกระบวย เมื่อได้ยินคำถามของหลิวจือโม่ก็ตอบรับน้อยๆ ขณะยื่นมือออกไปเพื่อทดสอบน้ำอุณหภูมิโดยไม่หันมอง เมื่อรู้สึกว่ากำลังดีแล้วจึงหันไปเรียกหลี่ชิงเฟิง "เสี่ยวเฟิง มาเร็วๆ มัวชักช้าอีกน้ำจะต้มเสียเปล่านะ”
หลี่ชิงเฟิงลากเสื้อผ้าที่เปียกโชกไปทีละนิด พูดด้วยหน้าแดงก่ำ "ท่านพี่ ข้าโตแล้ว อาบเองได้" โตขนาดนี้ยังให้พี่สาวช่วยอาบน้ำ รู้สึกลำบากใจจะแย่
"โตอะไรเล่า ขนยังไม่ขึ้นเลย" หลี่ชิงหลิงไม่เปิดโอกาสให้เขาขัดขืน ก้าวเข้าไปหา ขยับนิดหน่อยก็ถอดจนหมด หลี่ชิงเฟิงปิดส่วนลับเอาไว้ สีหน้าคล้ายจะร้องไห้เต็มที
ครั้งนี้เขารีบวิ่งเข้าอ่างน้ำโดยไม่ต้องให้หลี่ชิงหลิงเรียกอีก นั่งลงและใช้ผ้าปิดส่วนลับไว้เงียบๆ
หลี่ชิงหลิงหันกลับมาเก็บเสื้อผ้าเปียกของน้องชาย เมื่อเห็นว่าหลิวจือโม่ยังอยู่ก็เลิกคิ้วขึ้น "ท่านพี่ไม่หนาวหรือ รีบกลับไปอาบน้ำเถอะ! พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปเรียกท่านพี่ก่อนขึ้นเขา”
หลิวจือโม่ยิ้มและกล่าวขอบคุณ แม้แต่หลี่ชิงหลิงที่เคยเห็นหนุ่มหล่อทุกประเภทในยุคปัจจุบันก็ยังถูกรอยยิ้มนี้สะกด
จือโม่หน้าตาดีจริง แต่ลูกสาวของนางก็จะจ้องเขาเขม็งแบบนี้ไม่ได้!
นางจ้าวส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นางกระแอมไอสองครั้ง แต่หลี่ชิงหลิงไม่ได้ยิน จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอื้อมมือดึงลูกสาวไว้ "เสี่ยวหลิง ยังไม่รีบไปช่วยเสี่ยวเฟิงอาบน้ำอีก น้ำจะเย็นเอานะ”
หลังจากฟื้นคืนสติ หลี่ชิงหลิงก็หน้าแดงอย่างหาดูได้ยาก ปากบอกไม่เป็ไรและหันไปช่วยหลี่ชิงเฟิงอาบน้ำ
รอยยิ้มฉายแววในดวงตาของหลิวจือโม่ เขาก้มลงหยิบเห็ดครึ่งตะกร้า "ท่านป้า ข้ากลับก่อนนะขอรับ"
“จ้ะ กลับไปแล้วอย่าลืมอาบน้ำร้อน และดื่มชาขิงสักชามนะ”
"ขอรับ..." หลิวจือโม่เดินออกจากครัว เดินไปได้สองสามก้าวก็มองย้อนกลับไปทางหลี่ชิงหลิงที่กำลังตักเตือนหลี่ชิงเฟิง พลันนึกถึงประโยคที่ว่า ‘โตอะไรเล่า ขนยังไม่ขึ้นเลย' เมื่อครู่แล้วก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
นางเองก็เพิ่งอายุสิบขวบ พูดจาโตเกินอายุแบบนี้ตลกไม่เบาเลย
อันที่จริงหลี่ชิงหลิงก็ปฏิบัติต่อหลี่ชิงเฟิงเหมือนผู้ใหญ่เสมอ จนแทบจะลืมอายุของนางไปแล้ว
ทันทีที่หลิวจือโม่จากไป นางจ้าวพลันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ "เสี่ยวหลิง วันนี้ไม่ควรไปเถียงกับท่านย่านะ เดี๋ยวคนจะมองเราไม่ดี”
หลี่ชิงหลิงรู้ว่านางจ้าวเคยชินกับการยอมจำนนต่อนางหลิว ก่อนแยกบ้าน ครอบครัวของนางมักจะทำอาหารมากทว่าได้กินน้อยอยู่ตลอด เทียบกับใบหน้าแดงที่อิ่มเอิบของคนในบ้านใหญ่ ครอบครัวนางหน้าซีดเซียวและผอมแห้ง แต่พ่อแม่นางก็ไม่คิดอะไรมากนัก
ก่อนหน้านี้นางไม่สามารถเข้าไปยุ่ง แต่นางในตอนนี้จะต้องเปลี่ยนนิสัยของนางจ้าวที่ยอมทุกอย่างให้ได้
“ชื่อเสียงกินได้หรือ?” หลี่ชิงหลิงกล่าวเสียงเรียบ นางลูบกระดูกที่มองเห็นได้ชัดเจนบนร่างหลี่ชิงเฟิง จากนั้นเสียงนิ่งเรียบกว่าเดิม “ท่านแม่ แต่ก่อนคนเขามองว่าเราดี แต่เรามีชีวิตแบบไหนกัน? ท่านแม่ก็รู้อยู่แก่ใจ แล้วสุดท้ายเราโดนแยกออกมายังไง ท่านยังจำได้ไหม?”
นางเหลือบมองนางจ้าวที่มีใบหน้าซีดเซียว กัดฟันฝืนพูดต่อ "ท่านแม่ ท่านพ่อจากไปแล้ว ท่านแม่เป็ผู้ใหญ่คนเดียวในครอบครัว ถ้าท่านยังไม่ลุกขึ้นสู้ แล้วข้ากับเสี่ยวเฟิงจะทำยังไง?"
เมื่อนางจ้าวเห็นรอยช้ำบนหน้าผากของหลี่ชิงหลิงที่มาจากฝีมือแม่สามี ดวงตาก็แดงก่ำทันที คนเป็มารดาอย่างนางไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องลูกสาวและลูกชาย แต่ตอนนี้ยังจะดุว่าลูกสาวเพราะเื่ชื่อเสียงอีก
นางก้มหน้าน้ำตาไหลริน “แม่ไม่ดีเอง แม่ต้องขอโทษพวกเ้านะ”
หลี่ชิงหลิงขมวดคิ้ว ช่วยหลี่ชิงเฟิงแต่งตัว จากนั้นขยับไปข้างกายของนางจ้าวและพูดอย่างช่วยไม่ได้ "ท่านแม่ อย่าร้องไห้ ข้าไม่ได้จะว่าท่าน!"
นางแค่้าให้นางจ้าวเห็นสถานการณ์ในครอบครัวชัดๆ เพื่อให้รู้ว่าหากยังไม่เปลี่ยนแปลงและเข้มแข็งขึ้นมาก็จะถูกรังแกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น หากอนาคตสภาพความเป็อยู่ของครอบครัวดีขึ้นแล้ว นางจ้าวยังมีนิสัยยอมคนเหมือนเดิม ก็อาจจะถูกนางหลิวยึดเอาสิ่งของที่มีไปได้
นางจ้าวที่กลัวว่าลูกสาวจะคิดมากรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า เงยหน้าขึ้นยิ้มให้หลี่ชิงหลิง
"แม่มีความสุขมาก ลูกแม่โตแล้ว ปกป้องแม่และน้องชายได้แล้ว" พลางเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของหลี่ชิงหลิง และถามด้วยความเ็ปใจ "เจ็บใช่ไหม"
เมื่อเห็นว่านางจ้าวหยุดร้องไห้แล้ว หลี่ชิงหลิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ไม่เจ็บแล้ว! เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว"
หลังจากชินชาก็ไม่รู้สึกเ็ปอีก แต่นางไม่กล้าพูดประโยคนี้ออกไป มิฉะนั้นนางจ้าวคงได้เสียน้ำตาอีกครั้ง
จะไม่เจ็บได้อย่างไร ตอนนั้นนางถูกกระแทกอย่างแรงจนได้ยินเสียงดังโครม แต่เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่แน่วแน่ของลูกสาว นางจ้าวก็ทำเพียงเม้มปากไม่ได้พูดอะไรอีก
นางได้ตัดสินใจแล้วว่าต้องเข้มแข็ง จากนี้จะไม่ปล่อยให้ลูกสาวต้องคอยปกป้องอีกต่อไปแล้ว
วันต่อมา หลี่ชิงหลิงไปหาหลิวจือโม่โดยมีตะกร้าสะพายอยู่บนหลัง เมื่อเข้าไปในบ้านของเขา นางก็เห็นหลิวจือเยี่ยนกำลังอ่านหนังสือ เมื่อเดินเข้าไปดูจึงพบว่าตัวอักษรจีนตัวเต็มเกือบทั้งหมดในนั้นเป็ตัวอักษรที่ตนไม่รู้จัก
“อ่านออกหรือ” หลิวจือโม่เห็นนางตั้งใจดูจึงถามด้วยความประหลาดใจ
หลี่ชิงหลิงเงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหน้า "ตอนสอนจือเยี่ยน ให้ฉันกับเสี่ยวเฟิงมาเรียนด้วยได้ไหม" หากทำแบบนี้ นางก็จะรู้ตัวหนังสือและสามารถสอนน้องชายในอนาคต
หลิวจือโม่พยักหน้า สำหรับเขา การปล่อยแกะตัวเดียวกับแกะหลายตัวล้วนไม่ต่างกันมากนัก
หลี่ชิงหลิงยิ้มให้กับความคิดที่ว่าอนาคตจะสามารถอ่านหนังสือได้อย่างเปิดเผย หลิวจือโม่เห็นรอยยิ้มทึ่มทื่อแล้ว ก็อดเอื้อมมือไปลูบหัวไม่ได้
“ไปกันเถอะ! จะขึ้นเขาไม่ใช่หรือ?” เขาแบกตะกร้าใบใหญ่กว่าของหลี่ชิงหลิง ก่อนออกเดินทางได้กำชับหลิวจือเยี่ยนให้จำตัวอักษรทั้งหมด เขาจะกลับมาตรวจการบ้านอีกครั้งหลังจากลงเขา
หลิวจือเยี่ยนผู้น่าสงสารพยักหน้ารับ
"จะพักหน่อยไหม" หลี่ชิงหลิงหยุดเดิน หันกลับมามองหลิวจือโม่ซึ่งอยู่ห่างออกไป รอจนเขามาถึงตรงหน้าแล้วเอ่ยปากถาม
หลิวจือโม่มองหลี่ชิงหลิงซึ่งไม่หน้าแดงหรือหอบหายใจด้วยความรู้สึกอิจฉาอย่างมาก เ้าเด็กคนนี้ผอมแห้งก็จริง ทว่าฝีเท้าไม่ช้าเลย
เขาจับต้นไม้หอบหายใจอย่างแรง เตรียมจะบอกกว่าไม่ เขายังเดินได้
"ข้าเหนื่อยแล้ว พักกันเถอะ!" หลี่ชิงหลิงนั่งลงบนพื้น ปลอบโยนหัวใจที่บอบช้ำของเขา "พี่ไม่ได้แข็งแรงเหมือนข้า มาได้ไกลขนาดนี้ก็เก่งแล้ว”
แค่สามารถเดินตามนางมาหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ ก็ทำให้นางชื่นชมแล้ว
ครั้งนี้หลิวจือโม่ไม่ได้ฝืนอีก เขานั่งพักบนพื้นเหมือนหลี่ชิงหลิง ก้มเหม่อมองพื้น ก่อนบิดาและมารดาจะเสียชีวิตด้วยโรคร้าย ชีวิตของเขาเรียกได้ว่าค่อนข้างดี แม้จะต้องทำงานบ้านแต่ก็ไม่ต้องขึ้นลงเขาเหมือนเด็กๆ ในหมู่บ้าน
แต่หลังจากที่บิดาและมารดาเสียชีวิตด้วยโรคร้าย เขาต้องแบกรับภาระครอบครัว หัดทำอาหาร หัดทำไร่ ขึ้นเขาไปเก็บฟืน
เริ่มจากเงอะงะในตอนแรกจนเริ่มมีฝีมือขึ้นหน่อยในตอนท้าย มีเพียงเขาที่รู้ถึงความลำบากนั้น
"พวกเราไปกันเถอะ!" หลี่ชิงหลิงลุกขึ้นตบฝุ่นที่บั้นท้าย จากนั้นจึงนำเดินเข้าไปในป่าลึก หลิวจือโม่ได้สติกลับคืนมา ทั้งสองเดินต่อไปอีกราวๆ สองเค่อ ในที่สุดก็มาถึงป่าลึกที่มีเห็ดมากมาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้