เฉินเนี้ยนหรานได้ยินคำพูดนี้พลันตาวาว พูดตามตรง นาง้าซื้อพื้นที่ดินทรายหนึ่งเพื่อเอามาปลูกพืชเล็กน้อย สอง นาง้าูเาสองลูกนั้นหากสามารถซื้อูเาลูกนั้นมาได้ แม้จะไม่สามารถตั้งร้านในเขตได้ แต่เชื่อได้ว่าเมื่อพัฒนาการเกษตรได้ดีแล้วต่อไปูเาลูกนี้จะเปลี่ยนจากสถานที่ถูกทิ้งมาเป็ทรัพย์สิน
“พูดจริงหรือ?” เฉินเนี้ยนหรานสอบถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“อืม ใช่ พวกเราคิดกันแล้ว ูเาร้างสองลูกนั้นถูกที่ดินห้าร้อยไร่ล้อมเอาไว้ที่ดินหนึ่งไร่สองตำลึง พูดแล้วก็ถูกจริงๆ แตู่เาสองลูกนั้นหากพัฒนาได้ดี สามารถสร้างรายได้ที่ดีได้”
ในสมองของเฉินเนี้ยนหรานเกิดภาพที่ดินรกร้างกับูเาระหว่างูเากับที่ดินมีแม่น้ำไหลผ่านหนึ่งเส้น หากทำให้แม่น้ำกว้างกว่านี้สักหน่อยและขุดเป็ทางถึงตอนนั้นก็จะสามารถเปลี่ยนพื้นที่ดินทรายเป็ดินชื้นได้แล้ว ด้านในปลูกรากบัวเลี้ยงปลาก็ได้ แน่นอน เงินหนึ่งพันตำลึงนั้นมากไปสักหน่อย
“เก้าร้อยตำลึง หากคนทั้งหมู่บ้านคิดว่าเก้าร้อยตำลึงได้พวกเราสามารถเอาไปพิจารณาได้ว่าจะซื้อที่ดินห้าร้อยไร่นี้”
ในที่สุดเฉินเนี้ยนหรานก็เอ่ยปากขอราคาเก้าร้อยตำลึง
แม้จะไม่สามารถซื้อร้านได้ อีกทั้งเื่ร้านค้าไม่ใช่เื่ที่จะทำได้โดยเร็วเมื่อเป็เช่นนี้ มาพัฒนาพื้นที่ดินทรายจำนวนมากและูเานี้เสียก่อนจากนั้นค่อยพัฒนาไปธุรกิจอื่นอีกได้
แน่นอน จำนวนนี้ ในความคิดของเฉินเนี้ยนหรานถือว่ามากไปสักหน่อยจริงๆอีกทั้ง ซื้อูเาร้างจำนวนมากในครั้งเดียว เกรงว่าจะทำให้คนริษยาได้ง่าย
นางจะซื้อจริงๆ ตอนที่นางบอกว่าจะซื้อในราคาเก้าร้อยตำลึงผู้ใหญ่บ้านกับรองผู้ใหญ่บ้านถึงกับนิ่งค้างไป
พวกเขาสองคนไม่คิดมาก่อนว่าพื้นที่ดินทรายห้าร้อยไร่จะขายออก ตลอดทางที่มาทั้งสองคนยังคิดว่า อย่างมากครอบครัวเฉินเนี้ยนหรานคงจะซื้อสักหนึ่งถึงสองร้อยไร่ก็ถือว่ายอดมากแล้วแต่คิดไม่ถึงเลยว่า ตอนนี้ครอบครัวนี้จะซื้อหมดทั้งห้าร้อยไร่
ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นยังไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย หลังจากหายตะลึงแล้วจึงมองไปยังครอบครัวของเฉินเนี้ยนหรานเอ่ยออกไปอย่างรู้สึกผิด “หากพูดออกมา ธุรกิจนี้ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ เพียงแต่ข้ารู้สึกว่า…พวกเ้าซื้อพื้นที่ดินทรายมากมายเช่นนี้ จะไม่อันตรายเกินไปหรือแม้จะบอกว่าในที่ดินนี้มีที่ว่างอยู่ส่วนหนึ่ง ขอแค่พัฒนาได้ดีปลูกพืชพรรณไม่กี่ปีก็สามารถเติบโตขึ้นมาได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรการพัฒนาที่ดินรกร้างนี้ จะต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะเก็บพืชผลได้”
“แค่ปลูกขึ้นมาต้องใช้เวลาสามถึงห้าปี พื้นดินทรายใน่แรกไม่ต้องจ่ายภาษีก่อนห้าปีแต่หลังจากห้าปีไปแล้ว ภาษีที่ต้องจ่ายจากที่ดินพวกนี้ ไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆเลยนะ”
สามารถทำให้ผู้ใหญ่บ้านพูดออกมาเช่นนี้ได้ ไม่พูดไม่ได้ว่าคนคนนี้ยังถือว่ามีจิตใจดีอยู่ ไม่มีความดีใจที่จะขายที่ดินซึ่งขายไม่ออกมานานหลายปีได้กลับกัน เขายังโน้มน้าวพวกนาง ซึ่งเฉินเนี้ยนหรานน้อมรับน้ำใจของเขาและมองผู้ใหญ่บ้านทั้งสองคนไว้ในสายตา
“อืม มันมีความเสี่ยงอยู่เล็กน้อยเ้าค่ะ แต่หากข้าซื้อพื้นที่ดินทรายไปแล้วต้องมีวิธีแก้ไขปัญหาปลูกพืชไม่ขึ้น มีคำพูดบอกไว้ว่า ไม่กล้าเสี่ยงก็รวยไม่ได้ แม้ตรงหน้าจะอันตรายสักหน่อยแต่ข้าอยากลอง หากทำได้ในไม่กี่วันนี้พวกเราจะไปดำเนินการทำเื่ และตกลงทำสัญญาแดงกัน”
ผู้ใหญ่บ้านกับรองผู้ใหญ่บ้านส่งสายตาคุยกัน สุดท้ายทั้งสองคนก็ออกไปหาตาเฒ่าที่มีคุณสมบัติหลายคนในหมู่บ้าน หลังจากสอบถามความคิดเห็นของพวกเขาแล้ววันต่อมา ผู้ใหญ่บ้านถือหนังสือสัญญามา
“อืม พวกเราปรึกษากันเสร็จแล้ว เก้าร้อยตำลึง ตามที่พวกเ้าเสนอมาูเาสองลูกนี้รวมเป็ของพวกเ้าด้วย”
เฉินเนี้ยนหรานรับสัญญามา ทว่าไม่ได้ประทับนิ้วมือลงไปทันที
หลังจากที่นางอ่านสัญญาเสร็จรอบหนึ่ง จึงค่อยๆ พูดออกมาโดยไม่ใส่ใจ “ยังมีแม่น้ำที่อยู่ระหว่างเขาสองลูกนั้นถือเป็ส่วนของข้าด้วยหรือไม่ ข้าจำได้ว่าในนั้นมีบ่อน้ำอยู่หลายแห่ง พวกนี้ล้วนถือว่าเป็ของข้า?”
ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว สุดท้ายจึงเอ่ยออกมา “น้องสาว ไม่ใช่ข้าว่าเ้าหรอกนะเื่นี้ แม่น้ำเป็ของพวกเราในหมู่บ้าน บางครั้งของจากธรรมชาติพวกเราทั้งหมู่บ้านต่างต้องใช้น้ำในแม่น้ำ ดังนั้นแม่น้ำไม่สามารถขายได้ แต่ข้าสามารถเขียนในสัญญาว่าแม่น้ำสายนี้พวกเ้ามีสิทธิ์ใช้”
เฉินเนี้ยนหรานรู้ว่าหาก้าให้แม่น้ำสายนี้เป็ชื่อของตนเองนั้นเป็ไปไม่ได้อย่างไรแม่น้ำสายนี้ไหลไปจนถึงหมู่บ้านหงซูระหว่างทางก็ผ่านหมู่บ้านปาเจียวของพวกเขา อีกทั้งยังมีหมู่บ้านที่อยู่ติดูเาแม่น้ำสายนี้จะเป็ของนางเพียงคนเดียวได้อย่างไร
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หันไปส่งยิ้มให้ผู้ใหญ่บ้าน “อืมเป็ข้าที่ละโมบแล้ว แต่ข้า้าขออย่างหนึ่ง แม่น้ำสายนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาเลยแปดสิบปีนอกเสียจากภัยธรรมชาติใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แม่น้ำสายนี้จึงจะเปลี่ยนหากไม่มีเื่พวกนี้ ภายในแปดสิบปีนี้แม่น้ำสายนี้จะไหลผ่านที่ดินร้างของข้าตลอดได้ใช่หรือไม่?”
คำขอนี้แม้แต่ตัวผู้ใหญ่บ้านยังสามารถยืนยันได้ดังนั้นจากการพยักหน้าของเขา หลังจากบอกว่าจะกลับไปปรึกษากับรองผู้ใหญ่บ้านและสมาชิกในสำนักงานสุดท้ายเขาจึงกลับมาพร้อมเขียนข้อนี้ลงไปในสัญญาด้วย
หลังจากยืนยันแล้ว ทั้งสองฝั่งนัดกันว่าจะไปทำสัญญาในวันพรุ่งนี้
ขณะที่พวกนางกำลังปรึกษาเื่พวกนี้ หลินจวินเซิงอาจารย์คนแรกของหมู่บ้านปาเจียวก็ถูกจัดที่อยู่ให้
เนื่องจากพวกเขาย้ายมาจากหมู่บ้านอื่น หลังปรึกษากับคนในหมู่บ้านแล้ว จึงมอบหอบรรพชนที่คนในหมู่บ้านใช้เป็ที่ประชุมให้เป็ที่อยู่ของสองแม่ลูกแน่นอน รอบๆ หอบรรพชนยังมีที่นาสองไร่ ถือเป็ค่าตอบแทนที่คนในหมู่บ้านเชิญอาจารย์มาอยู่ดังนั้นที่นาสองไร่นี้จึงมอบให้กับหลินจวินเซิงสองแม่ลูก
เื่เรือน คนในหมู่บ้านให้คำสัญญาว่า หากสอนแล้วหนึ่งปี เด็กๆ เก่งขึ้นเรียนรู้ตัวหนังสือได้มาก เช่นนั้นพวกเขาจะสร้างเรือนให้ใหม่ใกล้ๆ กับหอบรรพชนไม่พูดไม่ได้ว่า เชิญอาจารย์ท่านหนึ่งด้วยของจำนวนมากเช่นนี้ ถือว่าใจกว้างมากนักแล้วด้วยเหตุนี้ หลินจวินเซิงจึงไม่ปฏิเสธอีก ทั้งยังไปรับมารดากึ่งตาบอดของตนมาที่นี่อย่างชื่นมื่นเข้าไปในหอบรรพชน
ห้องถัดไปเป็ห้องของสองแม่ลูก สถานที่เอาไว้ใช้ประชุมตรงหน้าถูกเปลี่ยนมาเป็ที่สอนหนังสือเหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านั้แ่อายุครบหกขวบล้วนสามารถเข้าเรียนได้
เพราะสัญญาไว้ว่าจะสร้างเรือนให้ โดยใช้มาตรฐานเป็เวลาหนึ่งปีดังนั้นคนในหมู่บ้านต่างปรึกษากันแล้วว่า ปีแรกทุกคนไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน
ปีที่สอง หากหลินจวินเซิงสามารถสอนได้ดีเช่นนั้นทั้งหมู่บ้านจะสร้างเรือนให้เขา ที่นาสองไร่เป็ของเขา แน่นอนในปีแรกเพราะไม่มีการจ่ายค่าเล่าเรียนดังนั้นครอบครับที่ส่งลูกมาเรียนที่หอบรรพชนต่างต้องทำอาหารมาให้หลินจวินเซิงสองแม่ลูก
เกี่ยวกับเื่นี้เฉินเนี้ยนหรานไม่มีคำพูดอะไร นางรู้สึกว่าหมู่บ้านนี้จะมีอาจารย์มาหรือไม่สำหรับนางแล้วถือเป็เื่ที่ห่างไกล
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจ กลับเป็หลินจวินเซิงซึ่งหลังจากมาเยี่ยมน้องหกสองครั้งกลับพบว่านางรู้จักตัวอักษร จึงเสนอว่าจะให้น้องหกเรียนหนังสือที่ห้องเรียนด้วย
“หา? ท่านไม่ได้พูดผิดใช่หรือไม่?” ในยุคสมัยนี้ สำหรับการเล่าเรียนของสตรีแล้ว ยังห่างไกลนัก อย่างเช่น แต่ไหนแต่ไรมีกฎที่ไม่ได้เขียนไว้เป็ลายลักษณ์อักษรว่าสตรีไม่เรียนหนังสือคือปกติ
แต่วันนี้ กฎข้อนี้กลับถูกหลินจวินเซิงบัณฑิตคนนี้ทำลายด้วยการเสนอให้น้องหกเรียนหนังสือไม่พูดไม่ได้ว่า เื่นี้ทำให้เฉินเนี้ยนหรานประหลาดใจนัก
หลินจวินเซิงพยักหน้าอย่างจริงใจ “อืม ได้สิ แม้ข้าจะเป็บัณฑิตแต่ความคิดไม่ได้หัวโบราณ สมัยท่านพ่อยังไม่สิ้นใจ เคยพูดไว้ว่า บนโลกใบนี้สตรีล้วนสามารถเป็ผลักดันบุรุษได้ขณะที่ท่านยังอยู่เคยรับเด็กหญิงเป็ลูกศิษย์ ขอแค่คนในหมู่บ้านไม่ต่อต้าน เื่นี้ข้าว่าคงทำได้”
สำหรับประโยคนี้ ทำให้เฉินเนี้ยนหรานมองเขาดีขึ้น
ถูกสายตาสดใสของนางมองมา หน้าของหลินจวินเซิงจึงแดงระเรื่อขึ้นมา “แค่กเื่นี้ ที่พูดออกมาเป็เพียงความคิดของข้า ส่วนคนในหมู่บ้านจะเห็นด้วยหรือไม่ ต้องดูความเห็นของพวกเขาเสียก่อน”
อย่างไรเขาเป็เพียงบัณฑิตยากจนที่มาจากนอกหมู่บ้าน ด้วยเื่นี้เขาจึงทำได้เพียงแนะนำส่วนจะเป็จริงหรือไม่ ต้องให้ผู้ใหญ่บ้านกับรองผู้ใหญ่บ้านอนุญาตจึงจะได้
หลังจากหลินจวินเซิงกลับไปแล้ว เฉินเนี้ยนหรานจึงครุ่นคิดถึงความเป็ได้อย่างจริงจัง
“ท่านพี่ ข้าอยากไป ข้าอยากเป็สตรีที่มีประโยชน์เช่นสตรีอย่างท่านท่านพี่ ท่านให้ข้าไปเถิด ข้าอยากจะไปเรียนหนังสือเหมือนบุรุษ”
ไม่คิดมาก่อนว่าประโยคพวกนี้จะได้ยินจากน้องหก
จิตใจของเฉินเนี้ยนหรานสั่นไหว มองเด็กน้อยที่กำลังกัดริมฝีปากหน้าแดงก่ำตรงหน้าถึงได้พบว่า นางไม่ใช่เด็กใสซื่อแบบแต่ก่อนอีกแล้ว การต่อสู้ทำงานปีกว่า ทำให้เด็กน้อยคนนี้เปลี่ยนไปมาก
“อืม เ้าอยากมีชีวิตเป็ของตนเอง ข้าสามารถช่วยเ้าได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นข้าไม่รู้แล้ว”
เื่นี้ ้าให้สำเร็จจะต้องหาผู้ช่วยอีกหลายคนจึงจะได้
ไม่เช่นนั้น ลำพังส่งน้องหกเข้าไปเรียนคนเดียว จะต้องถูกตำหนิแน่
นางไม่อยากให้น้องหกแบกรับมากไป ดังนั้นที่ต้องทำตอนนี้ คือหาผู้ช่วยอีกหลายคน
สามารถพูดโน้มน้าวเด็กหญิงที่เหมือนกับน้องหกที่้าเข้าเรียนในห้องเรียนถึงจะได้
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เฉินเนี้ยนหรานคิดถึงพี่สะใภ้ข้างบ้านที่เรือนของนางมีลูกสาวที่อายุเหมาะจะเข้าเรียนนี่
และรองผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งนายทะเบียนเองก็มีลูกสาวที่มีอายุพอเข้าเรียนได้หนึ่งถึงสองคน
พอคิดถึงจุดนี้ เพื่อที่น้องหกจะได้เข้าเรียนอย่างราบรื่นเฉินเนี้ยนหรานจึงถือขนมหวานที่ทำขึ้นเองไปที่เรือนของผู้ใหญ่บ้าน นางจำได้ว่าฮูหยินผู้ใหญ่บ้านคนนี้สวยมากและเป็คนที่รักษามารยาทอย่างมาก
หลิวฉุยฮวากำลังสระผมให้ลูกในเรือน ได้ยินคนนอกเรือนเรียกชื่อตน จึงรีบใช้ผ้ามาเช็ดตัวลูก
“เ้าไปเล่นกับลุงเถิดไป ข้าจะไปดูก่อนว่าผู้ใดมา”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นลูบน้ำร้อนออกจากหน้า หรี่ตามองไปด้านนอก “ท่านแม่มีสตรีนางหนึ่งมาหา งามมากเลย”
