่เวลาที่ดวงดาวกำลังส่องประกายในยามราตรี บนท้องนภากลับถูกปกคลุมไปด้วยมวลเมฆแห่งรัตติกาลจนดูมืดมิด กระทั่งจันทราที่พยายามส่องสว่างยังถูกกลืนหายกลายเป็เงามืด โคมไฟภายในเมืองอันหนานถูกจุดขึ้นเพื่อให้เมืองมีความสว่างไสวในยามค่ำคืน ด้านหน้าของหอโคมเขียว*มีบรรดาหญิงคณิกาที่บรรจงแต่งตัวแต่งหน้าจนงดงามกำลังแสดงจริตจะก้านเพื่อเรียกแขก
(*หอคณิกา/หอนางโลม)
ทางทิศตะวันตกของเมืองอันหนานคือตำแหน่งที่ตั้งของจวนตระกูลหวงซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลานี้โถงรับรองยังคงสว่างไสวด้วยแสงจากโคมไฟ ภายในโถงมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งถูกพันร่างไว้ด้วยผ้าพันแผลกำลังนอนร้องไห้อยู่บนแคร่
เบื้องหน้าของเขาคือชายวัยกลางคนรูปร่างสูงกำยำสวมใส่ชุดคลุมสีดำปักลาย ใบหน้าของชายผู้นี้มีความคล้ายคลึงกับเด็กหนุ่มอยู่หลายส่วน
ชายวัยกลางคนกำลังจ้องมองเด็กหนุ่มที่เวลานี้ได้เสียแขนไปข้างหนึ่งด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด
“ท่านพ่อ ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า หากครานี้ท่านไม่ชำระแค้น ตระกูลหวงของเราจะยังมีจุดยืนในเมืองอันหนานอยู่อีกหรือ”
หวงอี้จ้องมองไปยังหวงไท่ผู้เป็บิดาของตนด้วยใบหน้าเศร้าโศก
“บัดซบ นี่มันเื่อะไรกัน? เป็ฝีมือของผู้ใด ผู้ใดอาจหาญกล้าทำร้ายเ้าถึงเพียงนี้”
หวงไท่คือผู้นำตระกูลหวง ทั้งยังเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้า ซึ่งภายในเมืองขนาดเล็กอย่างเมืองอันหนานแห่งนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังคือยอดฝีมือระดับสูงสุด พวกเขาจึงสามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองได้
“เป็คนตระกูลมู่ขอรับ คนผู้นั้นมาจากตระกูลมู่ วันนี้ไม่รู้ว่าเ้าเด็กตระกูลมู่นั่นโผล่มาจากที่ใด ข้ากำลังควบม้าอยู่บนถนน แต่เขากลับทำให้ข้าต้องตกลงจากหลังม้า จากนั้นก็ลงมือทุบตีเหล่าสมุนของข้า ทั้งยังตัดแขนข้างนี้ของข้าด้วย มันเป็คนจากตระกูลมู่ขอรับ”
หวงอี้รีบกล่าวฟ้องอีกฝ่ายในทันที แม้เขาจะไม่รู้จักมู่เฟิง แต่เขารู้จักมู่ชางและมู่หลานที่อยู่กับมู่เฟิง ดังนั้นเขาจึงสามารถระบุได้ว่าอีกฝ่ายต้องเป็คนจากตระกูลมู่อย่างแน่นอน
“ตระกูลมู่ ช่างน่าชิงชังนัก ตระกูลมู่และตระกูลหวงของเรานั้นเป็เสมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง* เหตุใดพวกเขาต้องลงมือกับเ้า”
(*ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน)
หวงไท่หรี่ตาลงเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาฉายแววสลับซับซ้อน
“ท่านพ่อ ต้องเป็คนตระกูลมู่แน่ ท่านโปรดพาคนไปสังหารเ้าเด็กตระกูลมู่นั่นเถิดขอรับ”
หวงอี้กล่าวเร่งเร้า เขาหวังว่าบิดาของตนจะสังหารมู่เฟิงในทันที เพื่อล้างแค้นให้กับแขนที่ต้องเสียไปของเขา
“ฮึ่ม พ่อของเ้าทราบดีว่าต้องทำอย่างไร หากเป็คนตระกูลมู่จริง ข้าย่อมมีคำอธิบายให้แก่เ้าแน่ แต่จะให้บุ่มบ่ามสังหารคนย่อมทำไม่ได้ ถึงอย่างไรตระกูลมู่ก็มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ตระกูลหลักของพวกเขาถือเป็เป็ตระกูลสำคัญในอาณาจักรหนานหลิง”
หวงไท่กล่าวอย่างเ็า ก่อนจะเดินกลับไปนั่งในตำแหน่งประธานสูงสุดของจวน เื่นี้ไม่มีทางเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แม้เขาจะโมโหที่แขนของบุตรชายต้องถูกตัดขาด แต่เขาจะผลีผลามไม่ได้
การจะเชื่อมต่อแขนที่ขาดให้กลับมาเป็เหมือนเดิม มีเพียงหมอหลวงของราชวงศ์ในอาณาจักรหนานหลิงเท่านั้นที่สามารถทำได้ อย่างเขาไหนเลยจะมีความสามารถในการเชิญอีกฝ่ายมาที่นี่ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแขนที่ถูกตัดขาดของหวงอี้ไม่อาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้แล้ว แต่แน่นอนว่าเขายังสามารถเชิญผู้เชี่ยวชาญมาสร้างแขนเทียมใหม่ให้กับเด็กหนุ่มได้
“ตระกูลมู่ เหมือนข้าได้ยินมาว่าตระกูลหลักของพวกเขาพ่ายแพ้ต่อา ทั้งยังทำให้เป่ยอ๋องผู้นั้นขุ่นเคือง เห็นทีคงถึงคราวล่มสลายของพวกเขาแล้ว เหตุใดเราต้องหวั่นเกรงต่อตระกูลมู่อีก”
หวงอี้ผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างงุนงงสงสัย
สถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลมู่ได้แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรแล้วมิใช่หรือ? กระทั่งหนุ่มน้อยอย่างหวงอี้ยังทราบเื่
ฝั่งตระกูลหวงนั้นมีสมาชิกบางส่วนเข้าร่วมกับกองทัพ ทั้งยังมีตำแหน่งในกองทัพด้วย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมทราบถึงการเคลื่อนไหวภายใน อีกทั้งยังได้แจ้งข่าวกลับมายังตระกูลหวง
“อย่างเ้าจะไปเข้าใจอะไร อูฐผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า* ต่อให้ตระกูลมู่จะล่มจมก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้ หากตระกูลหลักของพวกเขา้าทำลายตระกูลของเราย่อมทำได้ไม่ยาก แต่สำหรับตระกูลสาขาย่อยของพวกเขา เราไม่จำเป็ต้องหวาดกลัว คาดว่าเวลานี้ตระกูลสายหลักคงแทบจะเอาตัวไม่รอด ดังนั้นพวกเขาไม่มีเวลามาสนใจเื่ของตระกูลสาขาย่อยหรอก วันรุ่งพ่อจะไปเยือนตระกูลมู่ด้วยตัวเอง เรียกหาความรับผิดชอบให้กับเ้า อย่างน้อยคนที่มันตัดแขนของเ้า พ่อจะไม่ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่แน่”
(*ถึงแม้ว่าจะพบเจอปัญหาที่ทำให้ต้องสะดุด แต่สภาพความเป็อยู่ของเขาก็ยังดีกว่าใครอีกหลายคน)
หวงไท่กล่าวเสียงเย็น
“ขอบคุณท่านพ่อ ข้าต้องฆ่าเ้าเด็กนั่นให้ได้! หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระ ข้าไม่ขอถือตนว่าเป็มนุษย์อีกต่อไป!”
เวลานี้ดวงตาของหวงอี้ที่กำลังนอนอยู่บนแคร่ล้วนเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ในยามค่ำคืนฝั่งจวนตระกูลมู่ ดอกเบญจมาศภายในลานบ้านของมู่เฟิงกำลังบานสะพรั่งตามฤดูกาล ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ
ภายในห้องโถงมีกลุ่มคนสามคนกำลังรวมตัวกัน เวลานี้ไป๋จื่อเยว่กำลังยืนอยู่กลางห้องโถง โดยเบื้องหน้าของเขาคือเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำผู้มีใบหน้าเด็ดเดี่ยว
มู่เฟิงจ้องมองไป๋จื่อเยว่ด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวขึ้นว่า "เ้าตัดสินใจดีแล้วหรือยัง ้าเข้าสู่เส้นทางของการฝึกยุทธ์จริงๆ ใช่หรือไม่?"
“ข้าใช้ชีวิตข้างถนนมามากพอแล้ว พี่เฟิง ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าเลือกเส้นทางนี้”
ไป๋จื่อเยว่จ้องมองไปยังมู่เฟิง พลางกล่าวอย่างหนักแน่น
“หากมันทำให้เ้าต้องประสบพบเจอกับความตายล่ะ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามอีกครั้ง
“แม้ต้องตายข้าก็ไม่เสียใจ!”
ไป๋จื่อเยว่กัดฟันแน่น
“ตกลง ท่านอาจง!”
มู่เฟิงตอบรับก่อนมองไปยังมุมหนึ่งของห้อง มู่จงเดินเข้ามาพร้อมกับเล่าเทีย*ในมือ
(*เครื่องมือเหล็กที่มีพื้นราบ ้ามีด้ามจับ ใช้เผาให้ร้อนแล้วนำมานาบ)
“เปลื้องผ้า! อีกเดี๋ยวข้าจะสอนวิธีการฝึกแบบตระกูลมู่ให้กับเ้า แต่เนื่องจากเ้าเป็คนต่างสกุล ตามกฎของตระกูลมู่แล้ว เ้าจำต้องประทับตราประจำตระกูลมู่ของเราเสียก่อน หากในอนาคตเ้าแพร่งพรายวิธีการฝึกของตระกูลมู่ออกไป เ้าจะต้องถูกตระกูลมู่ไล่ล่าสังหาร”
มู่เฟิงกล่าว
ในขณะเดียวกันนั้น มู่จงได้จุดไฟปราณสีน้ำเงินลูกหนึ่งขึ้นบนฝ่ามือ จากนั้นเขาได้ยื่นส่วนหัวของเล่าเทียเข้าไปด้านใน
ไป๋จื่อเยว่ถอดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างไม่ลังเล
จากนั้นมู่จงได้นาบส่วนหัวของเล่าเทียที่กำลังร้อนระอุลงบนต้นแขนของไป๋จื่อเยว่
ฉ่า…!
ควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากต้นแขนของไป๋จื่อเยว่ เด็กหนุ่มรู้สึกเ็ปจนต้องกัดฟันเอาไว้แน่น ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาสักคำ ภายในใจของเขามีเพียงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
เพียงไม่นานมู่จงก็นำส่วนหัวของเล่าเทียออกจากต้นแขนของเด็กหนุ่ม เวลานี้บนต้นแขนของไป๋จื่อเยว่ได้มีตัวอักษรโบราณคำว่า ‘มู่’ ประทับเอาไว้เป็ที่เรียบร้อย
หลังจากการประทับตราประจำตระกูลเสร็จสิ้น มู่จงได้เดินไปหาไป๋จื่อเยว่ก่อนจะวางฝ่ามือลงบนหัวของเด็กหนุ่ม จากนั้นเขาได้ส่งคลื่นพลังปราณสีขาวที่ไม่มีคุณสมบัติใดเป็พิเศษเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่าย
“อืม…”
ไป๋จื่อเยว่ครางออกมาอย่างผ่อนคลาย หลังจากพลังปราณได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเส้นลมปราณที่อยู่ภายในจะเริ่มเข้าหากัน
หลังมู่ขวงได้เห็นฉากนั้น เด็กหนุ่มก็รีบยกมือขึ้นปิดหูในทันที
“อ๊าก…!”
ฉับพลันนั้นไป๋จื่อเยว่ได้ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาทันที ความเ็ปที่ปะทุขึ้นภายในร่างของเขาทำให้เด็กหนุ่มต้องกรีดร้องออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น
พลังปราณของมู่จงที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่มกำลังช่วยเขาทะลวงผ่านเส้นลมปราณในจุดแรก และเพราะความเ็ปจากการบังคับเปิดเส้นลมปราณนี้ทำให้ไป๋จื่อเยว่ต้องกรีดร้องออกมา
สิ่งนี้คือการเปิดเส้นลมปราณ!
สำหรับคนในตระกูลใหญ่นั้นจะให้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังหรือระดับที่สูงกว่าเป็คนส่งพลังปราณเข้าไปในร่างของผู้ที่เพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์ เพื่อเป็การช่วยเปิดเส้นลมปราณในจุดแรก และทิ้งเศษเสี้ยวพลังปราณเอาไว้ในร่างของอีกฝ่าย
โดยเศษเสี้ยวที่เหลือของพลังปราณนี้จะเป็ตัวนำทางให้สามารถบ่มเพาะพลังปราณได้เร็วขึ้น จากนั้นก็จะสามารถทะลวงผ่านเส้นลมปราณในจุดต่อไปได้ด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าในขั้นตอนแรกนั้นจำเป็ต้องมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังเป็ผู้ช่วยเหลือ เพราะหาก้าที่จะทะลวงผ่านเส้นลมปราณในจุดแรกด้วยตัวเองนั้นจะต้องใช้เวลานานเป็อย่างมาก
ส่วนเส้นลมปราณในจุดอื่นนั้น การช่วยเหลือจากภายนอกจะไม่มีผล เพราะผลลัพธ์ของมันจะเกิดขึ้นเฉพาะกับเส้นลมปราณในจุดแรกเท่านั้น แต่หากยังฝืนดันทุรัง เส้นลมปราณในจุดอื่นก็อาจจะถูกทำลายลงได้
ภายในร่างกายของไป๋จื่อเยว่ เส้นลมปราณในจุดแรกนั้นเปรียบเสมือนท่อน้ำที่ถูกปิดกั้น โดยเวลานี้มันกำลังถูกพลังปราณสีขาวบีบบังคับให้เปิดออก และเมื่อพลังปราณนี้สามารถทะลวงผ่านเส้นลมปราณในจุดแรกได้สำเร็จ มันจะยังคงดำรงอยู่ในร่างกายของเขา
ฉับพลันนั้นไป๋จื่อเยว่ได้พ่นเืสีดำออกมา ซึ่งเืสีดำนี้คือเืสกปรกที่เจือปนอยู่ในเส้นลมปราณ
ไป๋จื่อเยว่ลืมตาขึ้นทันใด เขารู้สึกได้ว่าภายในร่างกายของตนมีพลังความร้อนบางอย่างที่ทำให้รู้สึกสบายตัวปรากฏขึ้น
ในขณะที่มู่จงกำลังจะผละมือออก ทันใดนั้นกลับมีบางสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน!
มู่จงพบว่าภายในร่างของไป๋จื่อเยว่นั้นมีพลังบางอย่าง ซึ่งมันกำลังดูดกลืนพลังปราณของเขาเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย!
สีหน้าของมู่จงพลันเปลี่ยนไปในทันที เขารีบชักมือออกอย่างรวดเร็ว เวลานี้เส้นลมปราณในจุดแรกของไป๋จื่อเยว่ได้ถูกเติมเต็มด้วยพลังปราณแล้ว ซึ่งทั้งหมดนั้นคือพลังปราณของมู่จงเอง!
“นี่มัน…”
มู่จงจ้องมองไป๋จื่อเยว่ด้วยความใ ในขณะที่เด็กหนุ่มก็ถอยห่างออกไปด้วยความใเช่นกัน เด็กหนุ่มรีบสวมใส่เสื้อผ้าของตน พลางมองมู่จงอย่างระแวดระวัง
“คงไม่ใช่ว่าท่านกำลังตกหลุมรักข้าหรอกนะ”
ไป๋จื่อเยว่จ้องมองไปยังมู่จงที่กำลังมองมาทางตนเช่นกัน ภายในใจของเขาถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมา ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีรสนิยมเช่นนั้นนะ