“มันแน่อยู่แล้ว” ฟู่หยางพยักหน้าด้วยท่าทีที่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ในแดนลับ เย่เฟิงบ่มเพาะพลังอยู่บนยอดเขานานครึ่งวัน เขาพบว่าชะตาทำให้การบ่มเพาะพลังเร็วมากขึ้นกว่าปกติ
ในขณะเดียวกัน ผู้คนในแดนลับเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของชะตาที่มีต่อพวกเขา การแย่งชิงชะตาจึงเปลี่ยนไปดุเดือดขึ้น มีศึกใหญ่ปะทุหลายศึก แต่ผู้แข็งแกร่งกลับไม่มีใครขัดขวางทางได้ ส่วนผู้อ่อนแอก็เป็เพียงเหยื่อที่ถูกล่า
เย่เฟิงยังคงทัศนาจรในแดนลับ ระหว่างทางเขาได้พบเจอสถานที่หลายแห่ง เจอโอกาสมากมาย แต่มรดกที่แท้จริงกลับไม่ปรากฏเสียที
หนึ่งวันต่อมา เย่เฟิงมาถึงพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ล้อมรอบด้วยูเา อากาศร้อนขึ้น ราวกับนรกบนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน นอกจากเย่เฟิงแล้วยังมีอีกหลายคนอยู่ที่นี่ เมื่อพวกเขาเห็นเย่เฟิงมาก็ต้องรู้สึกแปลกใจ
“ดูสิ นั่นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาเพียงหนึ่งเดียวในแดนลับไม่ใช่หรือ? ไม่นึกว่าเขาจะยังอยู่ ชะตาของเขาก็ดูเหมือนจะทรงพลังมากด้วย” มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งเห็นเย่เฟิง
“เขาจริง ๆ ด้วย ระดับการบ่มเพาะต่ำขนาดนี้ แต่ทำไมถึงเก็บชะตาได้มากขนาดนี้?” ผู้คนต่างใขณะมองรัศมีชะตาที่เรืองรองบนร่างเย่เฟิง พวกเขาสงสัยมากว่าทำไมถึงมีชะตามากถึงเพียงนี้
“หึ! ก็แค่สวะขั้นบ่มเพาะกายาปะปนเข้ามาในแดนลับ คงดวงดีไปเก็บชะตาจากใครบางคนได้กระมัง” ได้ยินคนหนึ่งแค่นเสียงเ็า พลางมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
เย่เฟิงหันไปมองคนนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบปนจิตสังหารจาง ๆ
“มองอะไร ข้าก็พูดถูกแล้วนี่ สวะขั้นบ่มเพาะกายา เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเ้าแล้วชิงชะตามา?” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเห็นเย่เฟิงมองตน จึงกล่าวเช่นนั้น
“อยากฆ่าข้า เ้าก็ต้องมีความสามารถมากพอ!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น จากนั้นเห็นเขาเดินไปข้างหน้าต่อโดยไม่สนใจสายตาใคร
“หมอนี่จองหองมาก พี่หลี่ หมอนั่นกำลังกังขาคำพูดของเ้าอยู่นะ” ขณะนั้นมีชายหนุ่มชุดฟ้ากล่าวแฝงความยุยง
“ก็แค่สวะขั้นบ่มเพาะกายา ให้ข้าฆ่าเขาแทนพี่หลี่ดีไหม!” ขณะนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมา เขามองชะตาของเย่เฟิงด้วยสายตาละโมบ มีโอกาสดีเช่นนี้ มีหรือเขาจะพลาด
“หยุดนะ!” ชายหนุ่มคนนั้นเห็นเย่เฟิงไม่หยุด แถมยังไม่สนใจเขาแม้แต่นิดเดียว เขาจึงเดินไปขวางหน้าเย่เฟิงแล้วตะคอกใส่เช่นนั้น จากนั้นฝ่ามือใหญ่คว้าจับไปที่ลำคอของเย่เฟิงด้วยความเร็วสูง
“ไปให้พ้น!” ดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายคมกริบแฝงด้วยความเยือกเย็น จากนั้นเหวี่ยงหมัดออกไป พร้อมพลังแห่งการทำลายล้างแพร่กระจาย ก่อนจะแผ่ปกคลุมผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นหน้าเปลี่ยนสีทันที คล้ายนึกไม่ถึงว่าเย่เฟิงจะลงมือกับเขาเช่นนี้ ทำให้ฝ่ามือนั้นที่หมายคว้าจับลำคอต้องเปลี่ยนทิศทางไปหยุดยั้งหมัดของเย่เฟิง
“กร๊อบ!” ทว่าวินาทีที่หมัดของเย่เฟิงปะทะกับฝ่ามือของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น กลับมีเสียงกระดูกหักดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้ฝึกยุทธ์ เขาถูกหมัดของเย่เฟิงซัดกระเด็นจนไปกระแทกกับหินก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างแรง และต้องกระอักเืออกมา แต่ขณะเดียวกันชะตาของเขาก็ถูกเย่เฟิง่ชิงไป
“แกร่งมาก!” ผู้คนเห็นฉากนี้ก็ต้องตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าเย่เฟิงขั้นบ่มเพาะกายาจะมีพลังมากขนาดนี้ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเป็อัจฉริยะจากตระกูลหนึ่งในเมืองหลวง มีพลังต่อสู้ที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ทั่ว ๆ ไปทัดเทียมไม่ได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้เขายังเอาชนะคนที่อยู่ระดับเดียวกันได้หลายคน ทั้งยังได้ชะตามาไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงกล้าทำตัวอวดดีเช่นนี้
“สวะ กล้าดียังไงมาพูดจาจองหองเช่นนี้?” เย่เฟิงเหลือบมองผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แม้แต่การโจมตีเดียวก็รับไม่ได้ แล้วคนประเภทนี้มีสิทธิ์อะไรมาทำตัวอวดดี?
ขณะเดียวกันมีสายตาหลายคู่มองมาที่เย่เฟิงพลางมีไอเย็นแพร่กระจาย เ้าของสายตาเหล่านี้คือสหายของชายหนุ่มที่ถูกเย่เฟิงทำลายวรยุทธ์ และถูกตัดแขน จึงโกรธเย่เฟิงเป็อย่างมาก
“น่าสนใจ ไม่คิดว่าหมอนี่จะแข็งแกร่ง ดูท่าพี่หลี่คงต้องลงมือด้วยตัวเองแล้ว!” ชายหนุ่มชุดฟ้ากล่าวกับชายแซ่หลี่คนนั้น ราวกับว่าถ้าชายแซ่หลี่คนนั้นลงมือ เย่เฟิงก็ต้องตาย
“สวะขั้นบ่มเพาะกายา แม้เ้าจะแข็งแกร่งแต่ไร้ประโยชน์ต่อหน้าข้า เ้าจงทำลายวรยุทธ์เพื่อเป็การขอโทษซะ!” ชายแซ่หลี่คนนั้นกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย่อหยิ่ง สั่งให้เย่เฟิงทำลายวรยุทธ์เพื่อเป็การขอโทษ
“เ้าเป็ใครกล้าดียังไงมาพูดจาเช่นนี้กับข้า ขอโทษข้าซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้า!” เย่เฟิงมองชายแซ่หลี่คนนั้น เขาเดาฐานะของอีกฝ่ายได้นิดหน่อย เป็ลูกหลานตระกูลหลี่ อยู่ตระกูลเดียวกับหลี่เฟยที่เขาฆ่าในเทือกเขาปี้หลิง แต่ว่าด้านพลังแกร่งกว่าหลี่เฟยตั้งไม่รู้กี่เท่า น่าจะเป็คนรุ่นเยาว์ที่ค่อนข้างเก่งกาจในตระกูลหลี่
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างต้องชะงักงัน สายตาที่มองเย่เฟิงก็แตกต่างจากเดิม
“หมอนี่อวดดีมาก แม้แต่หลี่ซวี่เขาก็กล้ายั่วยุ หรือเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็ใคร?” มีคนหนึ่งกล่าว
“หลี่ซวี่เป็คนเก่ง เขาก็ยังกล้ายั่วยุ ต้องตายแน่ ๆ !” อีกคนกล่าวเสริม แม้ชายหนุ่มคนนั้นที่ถูกเย่เฟิงตัดแขนทำลายวรยุทธ์จะแข็งแกร่งมาก แต่จะทัดเทียมกับหลี่ซวี่ได้อย่างไร? ต้องรู้ก่อนว่าอีกฝ่ายเป็หนึ่งในอัจฉริยะขั้นรวมชี่แห่งตระกูลหลี่ ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาอย่างเย่เฟิงจะต่อต้านได้
“แกว่งเท้าหาเสี้ยน!” หลี่ซวี่ได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็โมโหขึ้นมา พร้อมปล่อยพลังชั้นรวมชี่ปะทุออกจากร่าง ก่อนจะเข้ากดดันเย่เฟิง
ดวงตาของเย่เฟิงฉายอย่างเย็นเฉียบ เท้ายังคงก้าวเดิน เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับแรงกดดันของอีกฝ่าย
“วูบ!” เมื่อสิ้นเสียง หลี่ซวี่พลันก้าวออกมา และเคลื่อนไหวดุจเสี้ยวเงา ก่อนจะไปเยือนเบื้องหน้าเย่เฟิงในพริบตา พร้อมกับเหวี่ยงหมัดโจมตีเย่เฟิง ห้วงอากาศสั่นไหว คล้ายมีเงาหมัดมหึมารวมตัวที่กลางอากาศ แฝงด้วยเสียงกระแสลมที่น่าสะพรึงกลัว
เย่เฟิงชะงักเล็กน้อย และก้าวเท้าออกมาพร้อมพลังดาราแผ่ปกคลุมร่าง แสงดาวส่องระยิบระยับ พลันมีแผนที่ดาวขนาดใหญ่ปรากฏ ก่อนจะเข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ ทั้งยังมีอักขระโคจรอยู่บนแผนที่ดาว ส่วนเย่เฟิงอาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงแห่งอักขระ ย่างก้าวของเขาสามารถหลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
“ตายซะ!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ ทักษะหล่อิญญาและพลังคัมภีร์หล่อกายาเทพาโคจรอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปจนแกร่งขึ้น อัดแน่นด้วยพลังไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นเหวี่ยงหมัดโจมตีหลี่ซวี่
“รนหาที่ตาย!” หลี่ซวี่ชะงักไปชั่วขณะ ใกับความว่องไวของเย่เฟิง จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดปะทะกับหมัดของเย่เฟิง ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น คลื่นทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วอากาศ เหล่าผู้คนต่างถอยหลัง หลบหลีกคลื่นพลังนั่นเพราะกลัวว่าจะกัดกร่อนร่างตัวเอง แต่เมื่อพวกเขาหันไปมองศึกต่อสู้ของเย่เฟิงกับหลี่ซวี่อีกครั้ง ก็พบว่ามีคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น และคนนั้นก็คือเย่เฟิง ส่วนหลี่ซวี่กลับอยู่ห่างออกไปไกล สภาพดูน่าอนาถ โอดครวญด้วยความเ็ป บนแขนมีาแลึกจนเห็นกระดูก
“เป็ไปได้ยังไง?” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตะลึงงันพลางใจเต้นโครมคราม
“แม้แต่หลี่ซวี่อัจฉริยะแห่งตระกูลหลี่ก็ถูกโจมตีจนได้รับาเ็ พลังของหมอนี่จะน่ากลัวเกินไปแล้ว เขาอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาจริง ๆ หรือ?” ผู้คนต่างใ เย่เฟิงลงมือในที่แห่งนี้ทั้งหมดสองครั้ง สองครั้งนี้อีกฝ่ายล้วนเป็อัจฉริยะมากฝีมือแต่กลับพ่ายแพ้ โดยเฉพาะหลี่ซวี่ เขาเป็ถึงอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงแห่งตระกูลหลี่ มีพลังต่อสู้ที่น่าหวาดกลัว น้อยคนนักที่จะกล้าท้าทายเขา
แต่คนอย่างหลี่ซวี่กลับเปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง หมัดของเย่เฟิงสามารถซัดอีกฝ่ายจนกระเด็นออกไปไกล
ช่องว่าง... มิอาจชดเชยได้!
“ให้ข้าทำลายวรยุทธ์ เ้ามีสิทธิ์อะไร!” เย่เฟิงกล่าวขณะมองหลี่ซวี่ที่นอนหมดสภาพบนพื้น จากนั้นเขาหันไปมองชายชุดฟ้าคนนั้น ก่อนกล่าวว่า “ไสหัวออกมาซะ!”
เสียงนี้ทำให้ผู้คนตะลึงอีกครั้ง หลังจากเอาชนะหลี่ซวี่ ชายผู้นี้ก็คิดจะลงมือจัดการชายชุดฟ้าอีกคนอย่างนั้นหรือ?
ชายชุดฟ้าได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าไม่สู้ดี และเกิดความไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ถูกเย่เฟิงตะคอกใส่เช่นนี้ หากไม่ออกไปเขาจะกลายเป็ตัวอะไรในสายตาของผู้คน?
“สวะ เ้าคิดจะทำอะไร?” ชายชุดฟ้ากล่าวเสียงเย็น ทั้งที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
“ทำไม ไม่กล้าออกมาหรือ?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น
“ทำไมจะไม่กล้า!” ชายชุดฟ้ากัดฟันพูด ก่อนจะเดินออกมาจากท่ามกลางฝูงชน พลังของเขานั้นไม่ด้อยไปกว่าหลี่ซวี่ แต่หากเย่เฟิงลงมือโจมตีเขา เขากลัวว่าตัวเองจะต่อต้านไม่ได้
“ถ้าเ้าอยากจัดการข้า ตัวเองก็ลงมือสิ ไยต้องปลุกปั่นผู้อื่นเล่า?” เย่เฟิงกล่าว สิ่งที่เขาชิงชังที่สุดคือคนที่ชอบปลุกปั่นผู้อื่นแต่ไม่ออกหน้าเอง
“แล้วอย่างไรเล่า เ้าอยู่ขั้นบ่มเพาะกายา ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เ้าควรมา!” ชายชุดฟ้ากล่าว
“งั้นหรือ?” แววตาของเย่เฟิงเผยประกายคมกริบ และกล่าวเสียงเย็นว่า “ข้าไม่อยากพูดไร้สาระกับคนอย่างเ้า จงรับหมัดของข้า หากเ้าทนได้ ข้าจะปล่อยเ้าไป แต่หากทนไม่ได้ งั้นเ้าก็ดวงซวย!”
เสียงแข็งกร้าวของเย่เฟิงดังเข้าไปในหูของผู้คน ทำให้พวกเขาต้องตาเบิกโพลงด้วยความใอีกครั้ง
“หมอนี่จะโอหังเกินไปแล้ว ถึงกับสั่งให้ชายชุดฟ้ารับหมัดของเขา แต่ชายชุดฟ้าจะตอบตกลงง่าย ๆ ได้อย่างไร?” ผู้คนคิดในใจ แม้เย่เฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ชายชุดฟ้าจะติดกับง่าย ๆ ไปอีกคนหรือ?