ณ หอสมุดราชวงศ์ หลี่ชิงหยุนใช้เวลากับการร่ำเรียนอักษรรูนและฝึกฝนการร่ายข้อจำกัดในเจดีย์ปฐมกาลจนถึงเวลาตะวันลับขอบฟ้า
หลี่ชิงหยุนหมกมุ่นกับสิ่งตรงหน้าจนเผลอลืมเวลาไปเสียสนิท ทันใดนั้นเขาออกมาจากเจดีย์ปฐมกาลและมองไปยังด้านนอก "ข้าอยู่ด้านในเจดีย์นานถึงป่านนี้เชียวหรือ?"
อีกไม่นานจวนจะได้เวลาไปงานเลี้ยงขององค์ชายลำดับที่หนึ่งแล้ว
เขายืดตัวบิดจนกระดูกส่วนต่างๆเกิดเสียง 'กร๊อบ'
หลังจากลุกขึ้นเขารู้สึกว่าขาของเขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการฝืนใช้พลังิญญาอย่างต่อเนื่องเป็เวลาหลายชั่วยาม แต่ก็ยังมีความพึงพอใจอยู่บ้างที่เขาสามารถพัฒนาการร่ายข้อจำกัดขึ้นมาได้เล็กน้อย
"แม้จะประวิงเวลาของอาณาเขตได้ไม่เกินกว่าครึ่งก้านธูป แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วหากใช้สิ่งนี้ในการเดินทางไปมิติโบราณ" หลี่ชิงหยุนพูดเบาๆกับตัวเอง
จากตำราอักษรรูนประมานยี่สิบเล่มที่เขาหยิบมา ขณะนี้เหลืออยู่แค่อีกประมานแปดเล่มเท่านั้นที่เป็อักษรรูนขั้นสูงซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่างอักษรรูนปกติหลายอักขระให้รวมกันเป็【อักษรรูนผสาน】
หลี่ชิงหยุน้าคัดลอกตำราทั้งแปดเล่มนี้กลับไปเพื่อศึกษาต่อเพิ่มเติม เพียงแต่ค่าใช้จ่ายในการคัดลอกตำรานั้นก็สูงมิใช่น้อย
เป็เพราะหลี่ชิงหยุนจำเป็ต้องไปที่พระราชวังเนื่องจากคำเชิญขององค์ชายลำดับที่หนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาเพียงพอในการศึกษาตำราทั้งหมด
และตำราทุกชนิดในหอสมุดนั้นจะไม่มีผู้ใดสามารถนำออกไปข้างนอกได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ดังนั้นหอสมุดราชวงศ์จึงตั้งกฏการคัดลอกตำราจากหมวดหมู่ต่างๆและสามารถนำกลับไปได้โดยไม่ต้องนำสิ่งนี้มาคืน
หลี่ชิงหยุนเก็บตำราอักษรรูนสิบสองเล่มที่เขาจดจำได้แล้ววางไว้ที่ชั้นวางตามเดิมพลางคิดกับตัวเอง 'ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหยิบยืมเงินบางส่วนจากหัวหน้าหยวนก่อนแล้วจึงค่อยใช้คืนในคราวหลัง'
เงินของเขาเหลือเพียงแค่ห้าแสนกว่าเหรียญเงิน แต่ราคาการคัดลอกตำรานั้นสูงมาก
จะบอกว่าหลี่ชิงหยุนเป็ชายที่มุ่งมั่น หากเขาไม่สามารถเรียนรู้สิ่งที่้าได้จนสำเร็จ เขาก็จะลองมันไปเรื่อยๆจนกว่าจะบรรลุสิ่งที่้า
หลังจากตัดสินใจได้ หลี่ชิงหยุนติดต่อกับหัวหน้าหยวนผ่านหยกสื่อสารให้ลงบัญชีเงินเชื่อของเขา
ใช้เวลาไม่นานเมื่อตกลงกันได้ หลี่ชิงหยุนยิ้มหน้าระรื่นและออกจากห้องเช่าส่วนตัวอย่างดีอกดีใจ มาพร้อมกับตำราอักษรรูนอีกแปดเล่มที่เขา้านำกลับไปศึกษาต่อ
แม้หลายคนอาจจะบอกว่าผู้ฝึกฝนควรจะเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สุดทาง และอาจจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนั้นเส้นทางเดียว ซึ่งดีกว่าการฝึกฝนหลายสิ่งหลายอย่างแต่กลับไม่สุดสักทางที่เลือกไว้
ซึ่งแตกต่างกับหลี่ชิงหยุน แม้ว่าเขาจะเรียนรู้สิ่งใด เขาสามารถเข้าใจและบรรลุผลสูงสุดในสิ่งที่เขา้าได้หลายทางเลือก
ผู้ฝึกฝนพลังฉีทั่วไปนั้นจะไม่เลือกเป็นักปรุงยา เพราะการเลือกทั้งสองเส้นทางพร้อมกันอาจจะทำให้เกิดการเบี่ยงเบนการฝึกฝนไปนอกเส้นทางได้
และจะมีผู้ฝึกพลังฉีจำนวนน้อยกว่า 1 ใน 100,000 คนที่เลือกศึกษาในหลายเส้นทางพร้อมๆกัน
หลี่ชิงหยุนกลับลงมาที่ชั้นแรกและไปเจอกับบรรณารักษ์สาวชิงชิง "แม่นาง ข้า้าคัดลอกเนื้อหาตำราทั้งแปดเล่มเล่มนี้ ท่านช่วยข้าได้หรือไม่?"
เขาวางตำราอักษรรูนขั้นสูงทั้งแปดเล่มบนโต๊ะขนาดใหญ่ตรงหน้าชิงชิง ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
"โอ๊ะ" ชิงชิงอุทานออกมาเบาๆ พลันนึกคิดในใจ 'นี่คืออะไร เขายืมตำราอักษรรูนขั้นสูงทั้งสิ้น เป็ไปได้ไหมที่เขาสามารถร่ำเรียนอักษรรูนขั้นพื้นฐานจนบรรลุแล้ว?'
แม้ว่าชิงชิงจะสงสัยเล็กน้อย แต่นางเป็บรรณารักษ์ของหอสมุด การที่จะถามผู้มาเยือนเพราะความอยากรู้ส่วนตัวนั้นเป็ไปไม่ได้ ดังนั้นนางจึงตอบกลับอย่างนอบน้อม "นายน้อย โปรดรอสักครู่ ข้าจะเตรียมพนักงานบางส่วนไปจัดการให้ทันที"
จากนั้นชิงชิงนำตำราทั้งแปดเล่มไปคัดลอก ทิ้งให้หลี่ชิงหยุนเดินวนเวียนรอบๆในหอสมุดชั้นที่หนึ่ง
ในระหว่างรอเขาเดินไปที่หมวดหมู่ประวัติศาสตร์บนชั้นล่างสุดเพื่อหยิบตำราบางส่วนขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา
หลังจากนั้นไม่นาน ชิงชิงก็กลับมาพร้อมกับแหวนเก็บของในมือพลางส่งต่อให้กับหลี่ชิงหยุน "นายน้อย ตำราทั้งแปดเล่มที่คัดลอกอยู่ในแหวนเก็บของแล้ว ท่านสามารถนำมันออกไปได้"
หลี่ชิงหยุนรับแหวนเก็บของมาในไว้มือ แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนและอายที่จะพูดออกไป "อะแฮ่มๆ แม่นาง คือว่ายอดชำระเงินสำหรับคัดลอกตำรา... อะแฮ่ม ข้า้าหักเงินเชื่อในส่วนของหัวหน้าหยวน—"
ชิงชิงปิดปากและหัวเราะเบาๆ "นายน้อย ตำราทั้งแปดเล่มนี้ไม่จำเป็ต้องชำระค่าใช้จ่าย นายน้อยสามารถเอาสิ่งนี้กลับไปได้ทันที"
"แต่หัวหน้าหยวน— เอ๊ะ!" หลี่ชิงหยุนที่กำลังพล่ามเกี่ยวกับการชำระเงินกลับได้ยินคำพูดของชิงชิงสวนกลับมา เขาก็อุทานออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ชิงชิงแลดูสนุกสนานที่เห็นหลี่ชิงหยุนสะดุดไปชั่วขณะ "นายน้อยไม่ต้องแปลกใจ นี่คือคำสั่งของท่านผู้นำ ฉะนั้นทุกอย่างที่ท่าน้าจึงไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ"
"ท่านผู้นำ?" หลี่ชิงหยุนพึมพำอย่างสงสัย
เขาไม่เข้าใจว่า 'ท่านผู้นำ' ที่ชิงชิงกำลังกล่าวถึงนั้นเป็ผู้ใด
แต่ก่อนที่หลี่ชิงหยุนจะได้พูดต่อ ชิงชิงก็กล่าวขึ้นมา "นายน้อยท่านนี้ อีกอย่างท่านผู้นำขอเชิญท่านไปเข้าพบ นายน้อยพอจะมีเวลาว่างหรือไม่?"
หลี่ชิงหยุนที่ได้ยินก็เลิกคิ้ว เหตุใดท่านผู้นำที่กล่าวถึงจึงอำนวยความสะดวกให้กับเขาเช่นนี้ อีกทั้งยังเชิญเขาไปเข้าพบอีกด้วย
แน่นอนว่าหลี่ชิงหยุนไม่มีทางให้เลือกมากนัก ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงเจตนาที่ชัดเจนเช่นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่า 'ท่านผู้นำ' ทำเช่นนี้เพื่อเชิญเขาเข้าไปพบปะเพื่อบางสิ่งบางอย่าง
แม้จะไม่รู้เหตุผลว่าท่านผู้นำ้าสิ่งใดจากเขา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายใช้คำว่า 'เชิญ' นั่นคงหมายความว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย
การใช้คำว่า 'เชิญ' และ 'เรียก' นั้นเป็สองความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อคำนึงถึงเจตนาของท่านผู้นำเห็นได้ว่าคนผู้นี้ยังให้ความเคารพเขาอยู่
อีกอย่างยังคงมีเวลาเล็กน้อยจนกว่างานเลี้ยงจะเริ่ม การไปพบกับผู้นำที่กำลังกล่าวถึงไม่มีปัญหาใดๆเช่นกัน
หลี่ชิงหยุนไม่จำเป็ต้องคิดและตอบกลับชิงชิงทันที "แม่นาง เชิญนำทาง ข้าจะไปพบท่านผู้นำที่เ้ากล่าวถึง"
ชิงชิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางกลัวว่าหลี่ชิงหยุนจะปฏิเสธคำเชิญเสียแล้ว "ได้โปรดตามข้ามา"
ชิงชิงนำทางหลี่ชิงหยุนไปที่ประตูใหญ่นอกหอสมุด จากนั้นนางเปลี่ยนเส้นทางไปที่ด้านหลังหอสมุดราชวงศ์ซึ่งเป็พื้นที่โล่งที่มีเพียงหญ้าสีเขียวขจีเท่านั้น
ไกลสุดลูกหูลูกตาปรากฏกระท่อมเก่าแก่ที่แลดูโทรมหลังหนึ่ง กระท่อมหลังนี้เป็กระท่อมเล็กๆที่อาศัยอยู่ได้แค่คนเดียวเท่านั้น
มุมปากของหลี่ชิงหยุนกระตุกทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า 'นี่คือที่อยู่อาศัยของท่านผู้นำที่แม่นางกล่าวถึงงั้นหรือ?'
คำว่าท่านผู้นำช่างฟังดูยิ่งใหญ่และสูงส่ง แต่กลับพักอยู่ที่กระท่อมเก่าๆเช่นนี้ ช่างเป็รสนิยมที่คาดไม่ถึง
ตรงหน้ากระท่อมไม้ปรากฏร่างของชายชราในชุดสีเทากำลังนอนเอนตัวบนเก้าอี้โยกอย่างี้เี พลางอ่านตำราเก่าๆในมืออย่างสบายใจ
"ท่านผู้นำ" เมื่อเดินไปถึงหน้ากระท่อม ชิงชิงไม่ลืมที่จะทักทายชายชราในชุดสีเทา เมื่อเสร็จงานของชิงชิงแล้ว จากนั้นนางก็หันหลังกลับไปที่หอสมุดทันที
ทิ้งให้หลี่ชิงหยุนยืนสำรวจใบหน้าเหี่ยวๆของชายชราผู้นี้
"หลี่ชิงหยุน เชิญนั่ง" ทันใดนั้นชายชราในชุดสีเทาโบกมือ เก้าอี้ไม้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ เห็นได้ชัดว่าเขานำสิ่งนี้ออกมาจากแหวนเก็บของระดับสูงที่มีพื้นที่หลายตารางเมตร
หลี่ชิงหยุนไม่ได้ถามหรือพูดอะไร เขานั่งลงที่เก้าอี้อย่างเชื่อฟัง
ชายชราเก็บตำราในมือของเขา จากนั้นหันไปถามหลี่ชิงหยุน "เ้าคงสงสัยใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเรียกเ้ามา?"
หลี่ชิงหยุนที่นั่งตรงกันข้ามผงกหัวเบาๆ
"เช่นนั้นให้ข้าแนะนำตัวเสียก่อน ข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของหอสมุดราชวงศ์มีนามว่าสุ่ยจงเหิง" สุ่ยจงเหิงแนะนำตัวอย่างเป็ทางการ มาดของชายชราที่ี้เีก่อนหน้านี้กลับถูกสลัดออกไป เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็มิตร
"หลี่ชิงหยุนคารวะผู้าุโสุ่ย" หลี่ชิงหยุนประสานมือและคำนับทักทายเมื่อเห็นทัศนคติที่ดีของสุ่ยจงเหิงผู้นี้
หลี่ชิงหยุนพยายามสำรวจมองไปทั่วร่างของชายชราผู้นี้อย่างครุ่นคิด
สุ่ยจงเหิงพยักหน้าอย่างหนัก แต่จากนั้นเขากลับเงียบไปโดยไม่มีเหตุผล
"ผู้าุโสุ่ย ท่าน้าอะไรจากข้าหรือไม่?" เมื่อเห็นว่าสุ่ยจงเหิงเงียบไป หลี่ชิงหยุนจึงริเริ่มบทสนทนา
การที่สุ่ยจงเหิงเรียกชื่อของเขาั้แ่พบกันครั้งแรกนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชราผู้นี้มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาอยู่พอสมควร
ดังนั้นการเสียเวลาพูดพล่ามนั้นไม่จำเป็ เขาจึงถามวัตถุประสงค์ของชายชราทันที
"ฮ่าย~ เ้าช่างรีบร้อนเสียจริง" สุ่ยจงเหิงยิ้มพลางลูบเครา ก่อนที่เขาจะกล่าวชักชวนโดยไม่อ้อมค้อม "หลี่ชิงหยุน เ้าสนใจเข้าร่วมนิกายหรือไม่? แน่นอนหากเ้า้าที่จะแข็งแกร่ง—"
แต่ไม่คาดคิดว่าหลี่ชิงหยุนจะตอบกลับมาในเสี้ยววินาทีนั้นโดยไม่ต้องรอให้สุ่ยจงเหิงพูดจบ "ข้าขอปฏิเสธ!"
คำสั้นๆคำเดียวจากหลี่ชิงหยุน ทำให้ใบหน้าของสุ่ยจงเหิงดูน่าเกลียดขึ้นมาทันที มือของเขาเผลอกระตุกเคราหลุดออกมาสองสามเส้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
แม้ว่าสุ่ยจงเหิงจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มอาจจะปฏิเสธ แต่เขาไม่คิดว่าหลี่ชิงหยุนจะตอบอย่างทันควันโดยที่ไม่ต้องคิดทบทวนเลยแม้แต่น้อย
[เ้าเด็กบ้า! เ้าควรตอบแบบถนอมน้ำใจหน่อยไม่ได้หรือ?]
[เล่นปฏิเสธดื้อๆเช่นนี้ ข้าจะเอาหน้าแก่ๆของข้าไปไว้ที่ไหนกัน?]
สุ่ยจงเหิงพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับความไม่พอใจ จากนั้นเขาจึงพูดต่อ "ข้ายังไม่ได้นำเสนออะไรให้เ้าเลย ไฉนเ้าจึงรีบปฏิเสธเช่นนี้?"
แม้ว่าเขาจะสงบสติอารมณ์ได้เป็อย่างดี แต่เมื่อต้องรับมือกับชายหนุ่มดื้อรั้นเช่นนี้ แม้แต่สุ่ยจงเหิงก็ยังมีอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย
ในความเป็จริงสิ่งนี้เป็สิ่งล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับหนุ่มสาวทั่วไป การเข้าร่วมกับนิกายยังหมายความอีกนัยหนึ่งว่าจะมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่เื้ั และสุ่ยจงเหิงอาจช่วยหลี่ชิงหยุนจัดการบางสิ่งบางอย่างที่หลี่ชิงหยุนไม่สามารถทำได้ในขณะนี้
แต่หลี่ชิงหยุนไม่ได้สนใจจะฟัง เขาตอบกลับอย่างราบเรียบ "ข้ามีเหตุผลที่ไม่้าเข้าร่วมนิกายอยู่สามข้อ..."
จากนั้นหลี่ชิงหยุนจึงพูดต่อพร้อมทั้งยกสามนิ้วขึ้นมา "ข้าไม่ชอบการผูกมัดและถูกจำกัดการเคลื่อนไหว นั่นคือเหตุผลแรก"
"เหตุผลที่สอง เป้าหมายของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่และไม่ได้้าสังกัดนิกายใด ข้าแค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยจนกว่าเส้นทางแห่งเมฆจะเปิดออก และข้าจะจากไปทันทีที่ครอบครัวของข้าปลอดภัยดี"
"เหตุผลที่สาม ข้าไม่ชอบระบบของนิกายที่ยิ่งใหญ่ ต่อให้ท่านจะเชิญชวนข้าอย่างไร ข้าก็ไม่สน!"
ความแค้นของนิกายที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ยังคงฝังลึกในจิตใจของหลี่ชิงหยุนอยู่เสมอมา และเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าชีวิตนี้เขาจะเป็ศัตรูกับนิกายที่ยิ่งใหญ่อีกหรือไม่
ชีวิตที่แล้วเขาสูญเสียสุ่ยโหรวซีไปจากสิ่งที่เขาได้ก่อขึ้น เขาตั้งตัวเป็ศัตรูกับสี่นิกายที่ยิ่งใหญ่เพียงเพราะ้าความแข็งแกร่งและอำนาจจากเจดีย์ปฐมกาล
ดังนั้นชีวิตนี้เมื่อเขาขึ้นสู่อาณาจักรนภา เขาเพียงแค่ต้องตามหาสุ่ยโหรวซีและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยที่ไม่จำเป็ต้องไปข้องเกี่ยวกับนิกายใดๆ
บางทีการดำเนินชีวิตเช่นนี้ต่อไปอาจจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
แน่นอนว่า่เวลาทั้งสองชีวิตของเขาอาจจะมีบางเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปบ้าง แต่ทุกอย่างในโลกก็ไม่แน่นอนเสมอไป
ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
สุ่ยจงเหิงที่ได้ฟังเหตุผลทั้งสามข้อของหลี่ชิงหยุนก็ผงกหัวเบาๆ สีหน้าของเขากลายเป็เคร่งขรึม
บอกตามตรงว่าหลี่ชิงหยุนนั้นแปลกกว่าผู้ฝึกฝนทั่วๆไปจริงๆ
เขาไม่ได้้าอำนาจหรือความแข็งแกร่งที่ล้นหลาม แต่เขากลับวางแผนระยะยาวไว้แล้ว สิ่งล่อใจเช่นความแข็งแกร่งไม่สามารถซื้อใจชายหนุ่มที่ชื่อหลี่ชิงหยุนได้
จากนั้นเขาหรี่ตามองไปยังหลี่ชิงหยุนและถามด้วยน้ำเสียงสงสัย "เมื่อครู่เ้าพูดว่าเส้นทางแห่งเมฆ... ดูเหมือนว่าเ้ารู้จักที่ที่ข้าจากมาเป็อย่างดี ข้ายังไม่ได้บอกเ้าด้วยซ้ำว่าข้ามาจากที่ใด แต่เ้ากลับคาดเดาได้ง่ายๆเช่นนี้—"
"และอีกอย่าง เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาจากนิกายที่ยิ่งใหญ่?" สุ่ยจงเหิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
การที่หลี่ชิงหยุนหยิบยกเื่เส้นทางแห่งเมฆและนิกายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมานั่นหมายความว่า หลี่ชิงหยุนรู้จักนิกายในอาณาจักรนภาเป็อย่างดี อย่างน้อยเขาก็รู้ถึงระบบการทำงานภายในของนิกาย
หลี่ชิงหยุนยิ้มราบเรียบ เขาชี้ไปที่นิ้วของสุ่ยจงเหิงและตอบอย่างสุขุม "ที่นิ้วมือของท่านมีแหวนอวกาศแบบพิเศษที่สามารถใช้กักเก็บสิ่งมีชีวิตเช่นพืชสมุนไพรที่อายุมากกว่าพันปีโดยที่ยังคงแก่นแท้ของมันไว้ อีกทั้งแหวนพิเศษนี้มันยังมีความกว้างมากกว่าแหวนเก็บของธรรมดาหลายเท่าตัว แหวนที่ท่านกำลังสวมอยู่นั้นเป็สิ่งที่มีเพียงระดับสูงของนิกายที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะได้"
"นั่นหมายความว่าเ้าเคยอาศัยอยู่ที่อาณาจักรนภามาก่อนหรือไม่?" สุ่ยจงเหิงลูบเคราพร้อมกับตั้งคำถาม
"ถูกต้อง มีคนสำคัญของข้ากำลังรอข้าอยู่ และข้าจำเป็ต้องไปพบนางให้ได้" เมื่อพูดถึงคนสำคัญใบหน้าของหลี่ชิงหยุนก็แสดงรอยยิ้มอันอ่อนโยนโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและดวงตาที่บริสุทธิ์ของหญิงสาวยังคงตรึกตรึงในหัวใจของเขาอยู่เสมอมา ทั้งยังมีความรู้สึกผิดที่เขา้าชดเชยให้กับหญิงสาวผู้นี้
จากนั้นเขาก็พูดต่อ "และอีกอย่างข้าไม่้าเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งและการแข่งขันระหว่างนิกายที่ยิ่งใหญ่"
ในเมื่อหลี่ชิงหยุนคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว หลี่ชิงหยุนไม่จำเป็ต้องปิดบังเื่นี้ต่อไป สุ่ยจงเหิงผู้นี้เป็ชายชราที่มาจากอาณาจักรนภาและถูกส่งมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหาและคัดเลือกสาวกอย่างไม่ต้องสงสัย
และด้วยกฏของเมืองศักดิ์สิทธิ์และเจ็ดนิกายที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเมืองศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของราชวงศ์ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวว่าจะโดนคุกคามจากสุ่ยจงเหิงผู้นี้
สุ่ยจงเหิงหรี่ตาลงโดยไม่ได้ตั้งใจทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของหลี่ชิงหยุน "เ้ารู้เื่ความขัดแย้งของนิกายที่ยิ่งใหญ่ด้วยหรือ?"
[เ้าเด็กนี่รู้แม้กระทั่งความขัดแย้งระหว่างนิกายที่ยิ่งใหญ่]
[ภูมิหลังของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่ผู้าุโหลิวกล่าวไว้จริงๆ]
มุมปากของหลี่ชิงหยุนขดเป็รอยยิ้มที่ยียวน แต่เขากลับเงียบไปและไม่ตอบคำถามใดๆ
"ไอ้เด็กเวรนี่ แสร้งทำเป็ลึกลับ ฮึ่ม!" สุ่ยจงเหิงพ่นลมหายใจอย่างเ็าเมื่อเห็นใบหน้าที่กวนโอ้ยของหลี่ชิงหยุน