จางหนิงอ้ายอาศัยอยู่กับมารดาที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนติดกับป่าไผ่พร้อมกับบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าหวังเยว่ซินจะมีฐานะเป็ถึงฮูหยินเอกของจวน แต่ทว่าความเป็อยู่ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ยังดีที่บ่าวในเรือนนี้ล้วนต่างจงรักภักดีต่อนายของตนทั้งสองยิ่งกว่าชีวิต เนื่องจากมารดาไม่ได้รับความรักจากบิดา อีกทั้งมีเื่ราวที่ผิดใจกันก่อนหน้าจึงทำให้เรือนน้อยท้ายจวนหลังนี้ไม่ได้รับเงินทองจากเรือนหลักมาจุนเจือนับเป็เวลาเกือบปีเเล้ว มีแต่เพียงสินสมรสเดิมที่มารดาของเขาได้จากตระกูลเดิมก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลจางเพียงเท่านั้น นับวันก็ยิ่งหมดไปจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจิปาถะต่าง ๆ
เมื่อไม่มีอำนาจในตระกูลและไม่เป็ที่รักของสามีนับว่าพอทนไหวอยู่บ้าง เพียงเเต่ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็เหตุทำให้หนิงอ้ายต้องล้มป่วยหนัก มารดาของเขา้าความเป็ธรรมในเื่ดังกล่าวนี้แต่สามีของนางก็มิได้นำพาอันใด อีกทั้งยังขับไสไล่ส่งพวกเขาทั้งคู่จากเรือนหลักของจวน
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งมารดาและหนิงอ้ายจำเป็ต้องมาอาศัยในพื้นที่ส่วนหลังของจวนห่างไกลจากเรือนหลักของตระกูลจางเช่นนี้ สำหรับอาหารนั้นเป็เนื้อสัตว์บ้างบางมื้อเพราะว่าเยว่ซินได้ให้บ่าวรับใช้ไปซื้อพวกเนื้อสัตว์จากตลาด อีกทั้งยังเลี้ยงไก่ไว้เพื่อเก็บกินไข่และทำอาหารอื่น ๆ รวมไปถึงได้ซื้อเมล็ดพันธ์ผักสำหรับปลูกไว้ข้างเรือนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด
ตอนนี้ตัวของนทีเองยอมรับแล้วว่าตัวเขาคือจางหนิงอ้ายผู้ถูกเรียกเป็ดั่งสวะของตระกูล เมื่อทบทวนเื่ราวทั้งหมดแล้วก่อนที่ร่างกายของเขาจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งเขายังมีเวลาให้ครุ่นคิดอีกมากมาย
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แน่นอนว่าไม่ใช่ความฝันแม้ว่าจะเหนือขั้นกว่าจินตนาการที่คาดคิด แต่กับเขาที่ชื่นชอบการอ่านนิยายมาบ้างไม่น้อยจึงไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกไปสักเท่าไหร่ ทักษะและความรู้มากมายที่เขามีจึงมั่นใจว่าสามารถนำมาใช้ในโลกนี้ได้อย่างแน่นอน
"คุณชายหลับสบายดีหรือไม่ขอรับ?" ลู่ซีถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณชายของตนนั้นตื่นแต่เช้าตรู่เช่นนี้
"หากไม่นับว่าอากาศหนาวเย็นกว่าที่คิด ก็นับว่าหลับสบายอยู่ไม่น้อย..." นทีพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ ร่างของจางหนิงอ้ายนั้นอ่อนแอเป็อย่างมาก เพียงแค่สายลมอ่อนพัดมายังทำให้รู้สึกหนาวเย็นสะท้านไปทั้งกายแล้ว
"คุณชายยังรู้สึกเ็ปหรือไม่สบายตรงที่ใดอีกหรือไม่?" ลู่ซีถามออกมาด้วยความเป็ห่วง
"ตอนนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อยเพราะอาจไม่ได้ขยับตัวมาหลายวันในก่อนหน้า หากได้ออกกำลังสักนิดก็คงดีขึ้นกว่านี้อีกมาก..." เด็กหนุ่มตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงโดยมีลู่ซีคอยประคองอยู่ไม่ห่าง
"ข้าเชื่อว่าร่างกายของคุณชายย่อมแข็งแรงขึ้นในเร็ววันขอรับ!" ลู่ซีรู้สึกดีใจเป็อย่างมากที่เห็นรอยยิ้มของคุณชายตนอีกครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา
"ลู่ซีพาข้าออกไปด้านนอกหน่อย ข้าอยากเดินออกกำลังสักเล็กน้อยใน่เช้านี้" หนิงอ้ายบอกถึงความ้าของตนให้รับรู้
"ขอรับคุณชาย!" ลู่ซีรับคำก่อนที่จะประคองอีกฝ่ายลงจากเตียงนอน ก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะมุ่งตรงไปยังด้านนอกของตัวเรือนที่ตรงด้านหลังมีป่าไม้ขึ้นตลอดทั้งแนว
"ไม่คิดว่าเรือนพักจะอยู่ส่วนด้านหลังของจวนมากกว่าที่ข้าคิดไว้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นหลังจากสำรวจพื้นที่โดยรอบของตัวเรือนหลังนี้ เพราะนอกจากแนวป่าไผ่ด้านหลังแล้วยังเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นอยู่ไม่น้อย
"เป็เช่นนั้นขอรับ เรือนหลังนี้นับได้ว่าเป็หลังสุดท้ายของจวนสกุลจางเคยเป็เรือนรับรองมาก่อน เพียงแต่ในระยะหลังมานี้ได้มีการขยับขยายพื้นที่มากขึ้นตัวเรือนหลักรวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นจึงอยู่ในส่วนกลางเสียมากกว่า หากเลยพ้นจากแนวเขตป่าไผ่ไปก็ถือว่าสิ้นสุดพื้นที่ของจวนสกุลจางแล้วขอรับ..." ลู่ซีอธิบายให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
"แล้วไม่มีผู้ใดเข้ามายุ่มย่ามในบริเวณนี้ใช่หรือไม่?" หนิงอ้ายถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
"ท่านประมุขตระกูลได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามาในบริเวณเรือนพักหลังนี้ แม้แต่บ่าวไพร่ในโรงครัวหรือโรงซักล้างรวมไปถึงเวรยามประจำจุด ต่างไม่ย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ส่วนหลังนี้เพราะกลัวบทลงโทษขอรับ"
"เช่นนี้ก็ดีแล้ว ไม่มีพวกสอดรู้สอดเห็นเข้ามาวุ่นวาย..." ลู่ซีพยักหน้าเห็นด้วยตามความคิดของคุณชายตน
นทีที่อยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายรู้ดีว่าร่างกายนี้ยังคงไม่ฟื้นตัวสักเท่าไหร่ ดังนั้นในการออกกำลังจึงไม่ควรที่จะหักโหมจนเกินไป ควรจะออกกำลังแบบเบา ๆ เสียก่อนโดยเริ่มจากการแยกขาออกเล็กน้อยทำร่างกายให้ผ่อนคลายแล้วปล่อยมือลงตามธรรมชาติ
ก่อนที่จะเริ่มขยับด้วยท่าทางการแกว่งแขวนไปมา พร้อมกับมองไปที่จุดใดจุดหนึ่งปล่อยความคิดให้ลอยไปกับสายลมแล้วหายใจเข้า จากนั้นแกว่งแขนไปข้างหลังให้เกิดแรงเหวี่ยงกลับมาพร้อมหายใจออก ทำแบบนี้ซ้ำไปมาเป็เวลาสองเค่อก็ััได้ว่าร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างไม่น้อยพอให้ชื่นใจ
ร่างกายของหนิงอ้ายได้ออกกำลังเล็กน้อยในยามเช้าเช่นนี้ ทางฝั่งของลู่ซีที่เป็ผู้ฝึกตนระดับขุนพลิญญาแม้ว่าภายนอกจะดูเป็เพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีแต่นับได้ว่าร่างกายมีความแข็งแรงกว่าเขาจนเห็นได้ชัด
เพราะในขณะที่หนิงอ้ายที่ออกกำลังด้วยความเมื่อยล้าแต่อีกฝ่ายกลับไร้ซึ่งอาการเดียวกันทั้งสิ้น นอกจากนั้นหนิงอ้ายยังสังเกตุว่าท่าทางฝึกฝนในเชิงยุทธ์ของอีกฝ่ายที่เขาเห็นมีความคล้ายคลึงกับพื้นฐานของศาสตร์การต่อสู้ในโลกเดิมของเขาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ร่างกายนี้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด
"นี่ก็เป็เวลาถึงยามเฉินแล้ว ข้าว่าคุณชายควรกลับเรือนพักเสียทีนะขอรับ..." ลู่ซีเอ่ยขึ้น
"เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ปล่อยให้ท่านแม่รอนานคงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำเท่าไหร่..." หนิงอ้ายพยักหน้าเห็นด้วยกับอีกฝ่าย เพราะตอนนี้มารดาของเ้าของร่างเดิมน่าจะตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน
"เ้าไม่ต้องช่วยข้าหรอก ได้ออกกำลังไปเล็กน้อยเช่นนี้ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายดีขึ้นมาไม่น้อยแล้วเช่นกัน" หนิงอ้ายปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายก่อนที่จะก้าวเท้าเดินไปอย่างช้า ๆ แต่ทว่าทุกย่างก้าวแฝงไปด้วยความมั่นคงหนักแน่น โดยที่มีลู่ซีคอยเดินตามหลังด้วยความเป็ห่วง ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึงหน้าเรือนพักที่ในตอนนี้เยว่ซินได้ยืนรออยู่
"เป็อย่างไรบ้างหนิงเอ๋อร์? เหตุใดจึงไม่นอนพักผ่อนอีกสักสองสามวันเล่า?" เยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความเป็ห่วง เพราะบุตรชายของนางพึ่งฟื้นจากพิษไข้ไม่ถึงหนึ่งวันเสียด้วยซ้ำ
"ท่านแม่อย่าได้เป็กังวล ได้เดินออกกำลังในยามเช้าเช่นนี้ถือว่าดียิ่งเพราะตอนนี้ร่างกายของข้ารู้สึกดีขึ้นมากไม่น้อยเลยขอรับ" นทีตอบกลับไปพร้อมกับเข้าไปออดอ้อนเยว่ซินผู้เป็มารดาของเ้าของร่างที่ตนเข้ามาอยู่ในตอนนี้
"อย่างไรเ้าอย่าเพิ่งหักโหมออกกำลังเกินไปนักเล่า..." เยว่ซินเอ่ยย้ำเด็กหนุ่มไปอีกครั้ง
"ขอรับท่านแม่" นทีตอบรับความเป็ห่วงนี้ด้วยความยินดีเป็อย่างมาก ในชีวิตนี้เขาได้มีครอบครัวตามที่้าแล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องตัวเองและคนที่เขารักได้...
ยามว่างหนิงอ้ายได้เลือกหยิบตำราสมุนไพรออกมาศึกษาเพื่อทบทวนความรู้ไปในตัว หนิงอ้ายคนเก่านั้นให้ความสนใจกับสมุนไพร รวมไปถึงการหลอมสร้างปรุงโอสถเป็พิเศษ นับได้ว่าความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หนิงอ้ายคนเก่าได้ศึกษาอย่างเชี่ยวชาญยิ่ง
แต่ด้วยเพราะไม่อาจปลุกพลังิญญาเป็ผู้ฝึกตนได้จึงไม่อาจทดลองหลอมสร้างปรุงโอสถระดับต่ำออกมา อีกทั้งความรู้ในตำรากับการปฏิบัติจริงนั้นจำเป็ต้องได้รับการถ่ายทอดจากนักปรุงโอสถโดยตรงหรือจากสำนักศึกษาเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเป็เวลาที่สมควรแล้วนทีเห็นว่าควรแก่เวลาพักผ่อนเสียที เด็กหนุ่มจึงปิดตำราลงก่อนจะเก็บเข้าชั้น ก่อนที่จะดับตะเกียงลงพร้อมกับซุกตัวนอนบนเตียงอุ่น ๆ ที่ในตอนนี้มารดาได้จัดการยัดนุ่นตามความ้าของหนิงอ้าย สิ่งนี้ให้ความรู้สึกสบายไม่ต่างจากโลกเดิมของเขา ก่อนที่ดวงตาเรียวงามจะค่อย ๆ หลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
"ลู่ซี เ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังถึงเื่การปลุกพลังิญญาได้หรือไม่?" หนิงอ้ายถามลู่ซีขึ้น ความจำในเื่นี้ยังคงเลือนลาง และมีบางส่วนที่เขายังไม่อาจเข้าใจได้มากนักในตอนนี้
"ขอรับ..."
"การปลุกพลังิญญาของผู้ฝึกตน จะทำให้รับรู้ได้ว่าคนผู้นั้นมีปราณธาตุต้นกำเนิดและถือครองิญญายุทธ์ประเภทไหนและมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด..."
"และหากสามารถปลุกพลังิญญาได้สำเร็จ คนผู้นั้นก็จะมีความแข็งแกร่งเหนือคนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังสามารถดูดซับกระดูกิญญาเข้ากับร่างกายเพื่อแปรเปลี่ยนเป็ทักษะความสามารถที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วยขอรับ" ลู่ซีอธิบายให้หนิงอ้ายเข้าใจมากยิ่งขึ้น
"เช่นนั้นข้าขอดูิญญายุทธ์ของเ้าได้หรือไม่?" หนิงอ้ายถามออกไปด้วยความอยากรู้
ิญญายุทธ์าากระบี่กลืนโลหิต สถิตร่าง!!
วูบ!
บนฝ่ามือของลู่ซีปรากฎเป็กระบี่สีแดงฉานเล่มเล็กที่หมุนวนโดยรอบ สร้างความแปลกใจให้กับนที ผู้ที่คุ้นเคยในเื่ราวหลักการของวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้
"นี่คือิญญายุทธ์ของข้า สังกัดปราณธาตุลมสายสนับสนุนขอรับ..." ลู่ซีได้สลายกระบี่ที่ลอยอยู่บนฝ่ามือให้หายไปราวกับว่าก่อนหน้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
จากนั้นลู่ซีได้พูดคุยในเื่ราวต่าง ๆ อย่างมากมายกับหนิงอ้าย ไม่คาดคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่ได้รับรู้และทำความเข้าใจให้มากขึ้น ค่อนข้างเหนือกว่าจินตนาการรับรู้ของนทีเป็อย่างมากเลยทีเดียว
เป็เวลาหนึ่งแล้วเดือนที่นทีได้เข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายคนนี้ ทุกวันเขามักจะออกกำลังอยู่เสมออีกทั้งยังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย
จริงอยู่ที่ว่าเขาจะยังไม่ได้ปลุกพลังิญญาเป็ผู้ฝึกตนเต็มตัวก็จริง แต่เพราะหนิงอ้ายคนเดิมได้ศึกษาตำราเกี่ยวกับวิถีของผู้ฝึกตนอยู่บ้างจึงพอทราบในเื่ของจุดพลังปราณในร่างกายทั้ง361จุด และตรงใจกลางนั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่าจุดตันเถียรที่เป็เหมือนกับจุดกักเก็บพลังลมปราณของร่างกายที่สำคัญของผู้ฝึกตน
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าแม้ไม่อาจปลุกพลังลมปราณได้ในตอนนี้แต่การโคจรพลังลมปราณไปตามเคล็ดวิถีพื้นฐาน เมื่อทำอย่างนี้สม่ำเสมอจึงส่งผลให้ร่างกายที่เคยบอบบางไร้เรี่ยวแรง ในแต่ตอนนี้กลับดูสมบูรณ์และมีเรี่ยวแรงมากกว่าแต่ก่อนเป็อย่างมากอีกทั้งยังััได้ว่าจุดตันเถียรของเขามีพลังิญญาสะสมไหลเวียนมากขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีเป็อย่างมาก
"ไม่คาดคิดว่าร่างกายของข้าจะสามรถดูดซับลมปราณได้รวดเร็วถึงเพียงนี้..." นทีเอ่ยขึ้นพร้อมกับระบายยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
"ตอนนี้คุณชายดูแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าคนทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์จากการชักนำลมปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน" ลู่ซีพูดด้วยความชื่นชม
"นั่นเป็เพราะว่าร่างกายนี้แต่เดิมก็สามารถปลุกพลังิญญาได้อยู่แล้วจึงมีการตอบสนองต่อการดูดซับปราณฟ้าดินเช่นนี้ ไม่รู้ว่าในครั้งนั้นได้เกิดกลโกงสิ่งใดกัน ผลจึงปรากฎว่าข้าเป็ผู้ไร้พลังิญญาเสียได้!" หนิงอ้ายพูดออกมาตามที่ตนคิดเอาไว้
เพราะจางหนิงอ้ายคนนี้มีบิดามารดาที่เป็ผู้ฝึกตนที่ไม่ธรรมดาสามัญ จึงมีโอกาสเป็ไปได้น้อยมากที่อีกฝ่ายจะเป็ผู้ไร้พลังิญญา และการที่เขาสามารถชักนำลมปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เช่นนี้ย่อมเป็สิ่งที่ยืนยันได้ความความจริงแล้วเขาก็สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนได้เช่นกัน
แต่ข้อเสียสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ปลุกพลังิญญาเช่นเขานั้น แม้ว่าจะสามารถชักนำปราณฟ้าดินเหล่านี้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย ผ่านจุดตันเถียรได้ก็จริงแต่เพราะไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แท้จริงจึงยังไม่สามารถกักเก็บพลังปราณเหล่านี้ในจุดตันเถียรได้เหมือนกับผู้ฝึกตนที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงต้องคอยนั่งโคจรพลังลมปราณฟ้าดินอย่างสม่ำเสมอเช้าเย็นเพื่อทะลวงเส้นปราณในร่างกายทั้ง361จุด เพื่อทะลวงให้จุดพลังลมปราณเหล่านี้บริสุทธิ์มากเพียงพอ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหนิงอ้ายนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหล่านี้ให้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างราบรื่นไร้ซึ่งการต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น ประสาทััทั้งห้าผสานเข้าเป็หนึ่งไม่แบ่งแยก นอกจากความแข็งแกร่งทางร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวันแล้ว
ความสามารถพิเศษของเขาในโลกเดิมยังคงติดตามมาด้วย แต่ด้วยเพราะร่างกายนี้ยังไร้ซึ่งในความสมดุลอีกหลายด้าน เขาจึงคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยหรือหลังจากปลุกพลังิญญาสำเร็จ ถึงตอนนั้นเขาคงต้องเร่งพัฒนาความสามารถเดิมของเขาเสียทีเพราะสิ่งนี้นับได้ว่าเป็ประโยชน์กับเขามาเลยทีเดียว
‘ไม่รู้ว่าตอนนี้เ้าจะอยู่ที่ไหนข้าขออวยพรให้ชีวิตหลังจากนี้มีแต่ความสุข มีอิสระสามารถทำทุกอย่างที่ปรารถนาโดยที่ไม่ต้องสนถ้อยคำอื่น ส่วนข้าที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่างนี้ขอสัญญาว่าข้าจะทำให้ชื่อของเ้าเป็ที่รู้จักและทุกคนจะได้รับรู้ว่าหนิงอ้ายผู้นี้มากไปด้วยความสามารถเพียงใด...’ นทีเอ่ยขึ้นในใจเพื่อส่งสารไปถึงเ้าของร่างเดิมและหวังว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นเดียวกับเขาในทุกวันนี้
หนิงอ้ายใช้เวลาในยามกลางวันไปกับการเรียนรู้ทบทวนศาสตร์ตำราเป็ส่วนใหญ่ ในยามกลางคืนเขาเลือกที่จะนั่งดูดซับลมปราณฟ้าดินเพื่อชักนำเอาพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ไหลเวียนในร่างกายผ่านจุดตันเถียรให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่าจิติญญาของเขาคือชายหนุ่มอายุยี่สิบปีที่ผ่านเื่ราวความสุข ความทุกข์มาอย่างมากมาย ดังนั้นเพื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จและเป้าหมายที่วางไว้ เส้นทางเดียวที่ต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุดนั่นคือการฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุดเพียงเท่านั้น...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้