หวังชุนเฟิงปรายตามองชวีฮวาครู่หนึ่ง “ต่อไปข้าจะไม่ตีนางแล้วขอรับ”
หวังไห่กล่าวกับหวังชุนเฟิงต่อหน้าหวังลี่ตงว่า “ตอนนี้เ้าต้องไปขายเต้าหู้ทุกวัน นับว่าเ้ามีกิจการเป็ของตนเองแล้ว เ้าเลี้ยงดูครอบครัวได้ทั้งยังเก็บเงินได้บ้าง ชีวิตดีกว่าเมื่อก่อนมาก ดังนั้นเ้าต้องรักษาไว้ให้ดี อย่าทำเื่ชั่วช้าอย่างการทำร้ายผู้อื่นจนทำร้ายตนเองอย่างพี่ชายเ้า”
หวังชุนเฟิงยืดอกขึ้น “ข้าจะฟังคำท่านพ่อขอรับ”
“ท่านพ่อ ข้าก็อยากขายเต้าหู้ด้วย แต่อาการาเ็ของข้ายังไม่หายดี” วันนี้หวังลี่ตงไปหมู่บ้านชวีก็ต้องเดินกะโผลกกะเผลกไป เมื่อเดินไปถึงครึ่งทางก็เดินไม่ไหวต้องจ่ายเงินหนึ่งทองแดงเพื่อขึ้นนั่งเกวียนลา
“แล้วอาการาเ็ของเ้าเป็เพราะอะไรเล่า เ้ายังมีหน้ามาฟ้องอีกหรือ” หวังไห่มีใบหน้าเรียบนิ่ง ท่ามกลางแสงตะเกียงสลัวๆ ยังพอมองเห็นใบหน้าอันบูดบึ้งของบุตรชายคนโตได้บ้าง เขายังอายุไม่ถึงสี่สิบปี แต่ดูแก่กว่าคนอายุห้าสิบปีเสียอีก เห็นดังนั้นก็รู้สึกสงสารจึงกล่าวไปว่า “รอให้ซื่อนิวออกเรือนก่อน เ้าค่อยแต่งภรรยาใหม่ เริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง”
ทว่าหวังลี่ตงกลับไม่มีท่าทียินดี
หวังชุนเฟิงกล่าวอย่างลำพองใจ “ท่านพ่อ ท่านให้พี่ชายข้าแต่งภรรยาใหม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะแต่งด้วยคนหนึ่ง”
ชวีฮวาร้อนใจยิ่งนักถึงกับเงยหน้าขึ้นมองหวังไห่เขม็ง หวังต้านิว หวังเอ้อร์นิว และหวังซื่อนิวตกตะลึงจนตาค้าง ส่วนหวังซื่อหู่ที่เพิ่งอายุสี่ขวบยังไม่รู้ว่าอะไรคือแต่งอนุภรรยา จึงได้แต่นั่งกินถั่วลิสงทอดที่หวังเยี่ยนนำมาให้อย่างเอร็ดอร่อยอยู่ข้างๆ
หวังไห่ถึงกับด่ากลับไป “แต่งอนุภรรยาบ้านเ้าสิ”
หวังชุนเฟิงยิ้มเ้าเล่ห์ “ท่านพ่อ ข้าไม่แต่งอนุภรรยาก็ได้ เช่นนั้นข้ารับนางบำเรอได้หรือไม่”
เฟิงซื่อมองไปทางหวังไห่ คิดในใจว่าขออย่าให้หวังไห่ถูกคำพูดของหวังชุนเฟิงทำให้หวั่นไหวจนคิดพาแม่นางน้อยกลับมาเป็นางบำเรอที่บ้านเลย หากเป็เช่นนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร นางถึงกับตบโต๊ะแรงๆ ครั้งหนึ่ง “มารดาเ้าเถิด ไอ้ลูกเต่าหวังชุนเฟิง เพิ่งขายเต้าหู้ไม่กี่วัน เ้าก็คิดจะหานางบำเรอแล้วหรือ เ้าเป็ฮ่องเต้หรือเป็ท่านอ๋องกันเล่าถึงจะรับนางบำเรอ เหตุใดไม่ตั้งสามวังหกตำหนักเจ็ดสิบสองนางสนมไปเลยเล่า!”
หวังเยี่ยนหลุดเสียงหัวเราะออกมา กระทั่งหวังจื้อเกาที่กังวลว่าเื่ตระกูลชวีจะทำให้เขาเข้าสอบเคอจวี่ไม่ได้ ก็ถูกคำพูดของเฟิงซื่อทำเอารู้สึกขบขันไปเช่นกัน
“ครอบครัวเราไม่มีการรับนางบำเรอ เ้าก็วุ่นวายเื่พวกนี้ให้มันน้อยๆ หน่อยเถิด!” หวังไห่มองหวังชุนเฟิงราวกับเป็คนชั่วช้า กลัวว่าเขาจะพาสตรีสกปรกจากข้างนอกเข้าบ้านมาจริงๆ “หากเ้าจะมีนางบำเรอก็ต้องออกจากตระกูลก่อน!”
หวังชุนเฟิงเห็นหวังไห่กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง จึงกลัวว่าตนจะเผลอยั่วโมโหให้หวังไห่โกรธจัดจนไม่ยอมให้เขาขายเต้าหู้อีก จึงรีบพูดขึ้นว่า “ข้าเพียงลองพูดดูเท่านั้น จะมีความคิดเช่นนั้นที่ไหนกันเล่า”
หวังไห่กล่าวกำชับไปว่า “เ้าเก็บเงินให้ดี ต่อไปจะต้องเก็บไว้ให้พวกต้านิวแต่งงานอีก”
หวังต้านิวและหวังเอ้อร์นิวมองหวังชุนเฟิงด้วยดวงตาเป็ประกาย หวังชุนเฟิงที่ถูกจ้องกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี ทำเพียงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ข้ารู้แล้ว ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็พ่อพวกเขาเล่า”
หวังไห่กล่าวอย่างเนิบช้า “วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับน้องหลี่ที่บ้านหลี่สักหน่อย ให้เขาขายเต้าหู้ให้ตระกูลเราเพิ่มอีกสักหลายร้อยชั่ง”
หวังชุนเฟิงดวงตาเป็ประกาย รีบกล่าวขอร้องโดยพลัน “ท่านพ่อ ท่านเป็พ่อแท้ๆ ของข้า ท่านบอกให้ท่านแม่และน้องสาวแบ่งเต้าหู้ให้ข้าไปขายอีกวันละหลายสิบชั่งเถิด ข้าขายหมดแน่นอน พวกต้านิวต้องแต่งเมียอีกไม่ใช่หรือ ข้าต้องหาเงินเก็บไว้ให้พวกเขา”
ก่อนหน้านี้แม้ปากของเขาจะเรียกขานเฟิงซื่อว่าเป็มารดา แต่ในใจกลับด่าว่านางเป็สตรีเหม็นเน่า ตอนนี้เพื่อให้ตนได้เต้าหู้เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยถึงกับยอมเรียกนางด้วยใจจริง
หวังซื่อนิวเห็นหวังลี่ตงแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ ก็รีบร้อนกล่าวไปว่า “ท่านปู่ ข้าก็อยากได้เต้าหู้เพิ่มอีกหลายสิบชั่งเช่นกันเ้าค่ะ ท่านให้ท่านย่าและอาหญิงแบ่งเต้าหู้ให้ข้าเพิ่มได้หรือไม่เ้าคะ”
“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว พวกเ้าก็ขายเต้าหู้กันดีๆ ใช้ชีวิตกันให้ดี ข้าช่วยพวกเ้าสุดความสามารถแล้ว” หวังไห่โบกมือให้บุตรชายคนโตและบุตรชายคนรอง รวมไปถึงครอบครัวของทั้งสองให้กลับไป จากนั้นจึงคุยกับบุตรีและบุตรชายอีกเล็กน้อยก่อนกลับไปพักผ่อนด้วยกันกับเฟิงซื่อ
เฟิงซื่อไม่ได้รู้ข่าวทุกอย่างเช่นเดียวกับหวังไห่ นางก็เพิ่งทราบเื่ที่ตระกูลชวีถูกผลกระทบ ทำให้ผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้จากปากของหวังไห่เมื่อครู่นี้เช่นกัน “กว่าครอบครัวชาวบ้านจะส่งบุตรชายไปเรียนหนังสือได้คนหนึ่งก็ช่างยากลำบาก คราวนี้คนตระกูลชวีไม่อาจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้แล้ว ที่เล่าเรียนมาหลายปีก็นับว่าเสียเปล่า ทั้งยังสิ้นเปลืองเงินทองไปเปล่าๆ ครอบครัวพวกเขาคงกังวลกันแทบตายแล้วกระมัง”
หวังไห่พยักหน้า เมื่อนึกถึงเื่นั้นก็พานให้กระบอกตาร้อนผ่าวจนน้ำตาไหลออกมา กล่าวไปอย่างเนิบช้า “โชคดีที่ หรูอี้ช่วยเยี่ยนเอ๋อร์ไว้ได้…”
มิเช่นนั้นหากหวังเยี่ยนตายไปแล้วหวังซานนิวกลายเป็คนร้าย เช่นนั้น บัณฑิตตระกูลหวังก็ไม่อาจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้อีก ตระกูลหวังก็นับว่าเสียเงินส่งหวังจื้อเกาเรียนหนังสือเสียเปล่า อนาคตของบุตรสาวที่ฉลาดเฉลียวและกตัญญูรู้คุณกับบุตรชายที่หล่อเหลาและขยันเรียนก็จะพังทลายกันหมด
เฟิงซื่อไม่เคยเห็นด้านอ่อนแอเช่นนี้ของหวังไห่มาก่อน ในใจรู้สึกทนไม่ไหวอยู่บ้างจึงยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เขา “เยี่ยนเอ๋อร์ของพวกเรามีวาสนามาก ต่อไปต้องได้แต่งกับบุรุษที่ดีแน่นอน”
“ดี ข้าจะจัดการเื่แต่งงานให้เยี่ยนเอ๋อร์”
ในใจของสองสามีภรรยาปรากฏภาพหลี่เจี้ยนอันผู้เป็บุตรคนโตของบ้านหลี่ขึ้นมาเช่นเดียวกัน ทั้งยังเอ่ยชื่อของเขาออกมาพร้อมกันอีกด้วย
เฟิงซื่อกล่าวเสียงแ่ “พวกเราเห็นเจี้ยนอันเติบโตมาั้แ่เล็ก เด็กคนนี้เป็คนดี บ้านหลี่ก็มีชื่อเสียงดีงามไปทั่วทั้งสิบแปดหมู่บ้าน หากเยี่ยนเอ๋อร์แต่งให้เจี้ยนอัน แม้ยามฝันข้าก็ยังหัวเราะได้”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับน้องหลี่เป็นัย”
“ใช่แล้ว บ้านหลี่เพิ่งซื้อบ่าวมาสี่คน”
“คราวเดียวซื้อสี่คนเชียวหรือ”
“ใช่แล้ว หรูอี้เป็คนไปซื้อ พาหลี่สือไปด้วยเพียงคนเดียว ก่อนไปยังไม่ยอมบอกหลี่ซานด้วยว่าจะซื้อกี่คน ท่านไม่เห็นสภาพตอนที่หลี่ซานเห็นบ่าวสี่คนนั่น สีหน้าท่าทางเช่นนั้นราวกับหรูอี้ไม่ได้ซื้อบ่าวมาสี่คน แต่เหมือนซื้อบิดามาสี่คนอย่างไรอย่างนั้น”
“ดูเ้าพูดเถิด น้องหลี่คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง” หวังไห่หัวเราะเสียงดัง
“ถึงขั้นนั้น ถึงขั้นนั้นจริงๆ” เฟิงซื่อยิ้มจนปรากฏรอยตีนกาบริเวณหางตา “หรูอี้ฉลาดมากจริงๆ นางกลัวหลี่ซานตำหนิ จึงซื้อบ่าวมารวดเดียวสี่คนโดยใช้ชื่อของหลี่สือ ทั้งยังกล่าวว่า ต่อไปนางจะให้พวกเขาย้ายชื่อมาอยู่ใต้ปกครองของนาง จะไม่ปล่อยให้หลี่ซานต้องจ่ายเงินเลี้ยงบ่าวเป็อันขาด”
หลี่ซานที่ถูกสามีภรรยาหวังไห่กล่าวถึงกำลังนอนกังวลเกี่ยวกับเื่ที่บ้านของตนมีปากท้องช่วยกินข้าวเพิ่มอีกรวดเดียวสี่คน
เขาเห็นด้วยกับเื่ที่หลี่หรูอี้จะซื้อบ่าว แต่คิดว่าหลี่หรูอี้จะซื้อเพียงคนเดียว ผู้ใดจะรู้ว่านางกลับซื้อทีเดียวสี่คน
“ท่านพ่อ สี่คนนี้เป็ครอบครัวเดียวกัน ข้าไม่อาจซื้อมาเพียงหนึ่ง นอกจากนี้จะซื้อสามคนก็ไม่ได้ เช่นนั้นจะทำให้ครอบครัวแตกแยกนะเ้าคะ”
“ท่านพ่ออย่ากังวลไปเลย เื่กินอยู่หลับนอนและเสื้อผ้าของพวกเขา ข้าจะเป็คนจัดการเอง ท่านเพียงเรียกใช้พวกเขาเป็พอ”
“ท่านพ่อ ต่อไปท่านก็ไม่ต้องทำงานหนักแล้ว งานในบ้านก็มอบให้บ่าวไปทำ ส่วนท่านคอยดูพวกเขาอยู่ข้างๆ ก็พอแล้วเ้าค่ะ”
คำพูดของหลี่หรูอี้พูดได้น่าฟัง และนางทำตามนั้นจริงๆ แต่หลี่ซานกลับรู้สึกรับไม่ได้
คนที่เดินเท้าจากเมืองเยี่ยนมาจนถึงหมู่บ้านหลี่เป็ระยะทางหลายสิบลี้โดยไม่ยอมจ่ายเงินซื้อหมั่นโถวกินระหว่างทาง ไม่กี่เดือนต่อมาจู่ๆ ที่บ้านก็ซื้อบ่าวมาเพิ่มสี่คน เขารู้สึกรับไม่ไหวจริงๆ
สตรีวัยกลางคนสวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง กล่าวกับจ้าวซื่อที่อยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฮูหยิน บ่าวจะอุ้มคุณชายน้อยทั้งสองไปเอง ไม่รบกวนท่านและนายท่านพักผ่อนแล้วเ้าค่ะ”
สตรีวัยกลางคนผู้นี้ดูแล้วอายุไม่ถึงสี่สิบปี นางมีใบหน้ายาว ผิวค่อนข้างดำ รูปร่างสูง คิ้วหนา จมูกหนา ริมฝีปากหนา หน้าตาไม่ดี แต่เพียงมองก็ดูออกว่าเป็คนใจดีและซื่อสัตย์
นางคือนางจาง อายุสามสิบเอ็ดปี ทำอาหารเป็ ดูแลเด็กได้ ทั้งยังปะชุนเสื้อผ้าได้อีกด้วย
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้