คำพูดของหลี่ฮูหยินแสดงให้เห็นว่านางมองหลินฟู่อินเป็สหาย
หลินฟู่อินเป็แค่เด็กสาวที่อายุน้อยกว่าลูกคนโตของหลี่ฮูหยินถึงสามปี การที่หลี่ฮูหยินปฏิบัติต่อนางเช่นนี้จึงถือว่าหาได้ยากมาก
หลินฟู่อินรู้ดีว่าการซื้อบ้านหรือซื้อร้านมันไม่ใช่เื่ง่าย แต่หากมีตระกูลหลี่คอยช่วยเหลือก็จะง่ายขึ้นมาก
นางจึงส่งเสียงหัวเราะออกมา “ข้าอยากได้บ้านหรือร้านสำหรับในเมืองอยู่พอดี หากท่านหมอหลี่และหลี่ฮูหยินเห็นที่ใดน่าสนใจ ก็โปรดบอกแก่ฟู่อินคนนี้ด้วยเ้าค่ะ!”
หลี่ฮูหยินตอบด้วยรอยยิ้ม “สำหรับเื่นี้ข้าถือว่าไม่เป็รองใคร ขอเพียงเ้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะบอกต่อเื่ของเ้าแก่เหล่าคนในเมืองเอง ไม่ว่าเ้าจะอยากได้บ้าน ได้ร้าน หรือได้ที่นา เ้าจะได้รับการแนะนำแค่ที่ที่ดีที่สุดและถูกที่สุดในเมืองแน่นอน!”
หลินฟู่อินได้คำยืนยันจากหลี่ฮูหยินเช่นนี้ก็พอใจมาก และเมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว หมอหลี่และภรรยาจึงขอให้นางอยู่กินอาหารด้วยกัน
แต่หลินฟู่อินปฏิเสธ เพราะนางยังมีเื่ต้องกลับไปจัดการที่บ้าน และยังต้องเตรียมเก็บเกี่ยวกัญชาเทศให้เร็วที่สุดเพื่อทำเป็ยาให้หลี่ฮูหยิน
และนางยังอยากกลับไปเก็บถั่วปากอ้ามาแช่น้ำเพื่อรอขายในฤดูหนาวด้วย
ก่อนหน้านี้ไม่นาน นางได้ใช้เงินห้าตำลึงเงินในการซื้อที่หลายไร่ที่เป็ดินแดงเอาไว้ นางจึงต้องหาวิธีพัฒนาดินเพื่อที่จะนำมาใช้ปลูกสมุนไพรที่ทนหนาวได้ เพราะหมู่บ้านหูลู่นั้นอยู่ติดชายแดนเหนือ ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวอากาศจึงหนาวเย็นมาก
หากไม่ใช่สมุนไพรที่ทนหนาวได้เป็ปกติแล้วก็ไม่มีทางรอด
ในตอนที่หลินฟู่อินจากมา หมอหลี่ก็ส่งซองอั่งเปาใส่เงินยี่สิบตำลึงเงินให้นางด้วย ซึ่งหลินฟู่อินปฏิเสธไม่รับ
แม้นางจะไม่อยากปล่อยมือจากเงินยี่สิบตำลึงเงิน แต่ตระกูลหลี่นับเป็สหายที่ดี การรับเงินเช่นนั้นมาจึงทำให้นางไม่สบายใจนัก
เห็นหลินฟู่อินปฏิเสธค่ารักษา หมอหลี่ก็นึกฉงนไม่น้อย แต่หลี่ฮูหยินกลับยิ่งประทับใจในตัวหลินฟู่อินมากขึ้น ก่อนจะมองผู้เป็สามีพลางยกแขนเสื้อปิดปากหัวเราะ “เด็กสาวผู้นี้ช่างปราดเปรื่องนัก การไม่ยอมรับค่ารักษาเช่นนี้ เป็สัญญาณว่านางอยากใกล้ชิดกับพวกเรามากขึ้น ราวกับจะบอกว่านางได้ทุกสิ่งที่้าไว้ในใจแล้ว เป็คนที่หาตัวจับยากจริงๆ!”
แล้วหลี่ฮูหยินจึงนึกเปรียบเทียบกับบุตรสาววัยสิบขวบของตัวเอง จากนั้นก็ทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วยิ้มฝืนๆ เด็กสาววัยสิบสามผู้นี้ทั้งเป็งานและมีวุฒิภาวะ แต่บุตรสาวของนางที่มีอายุถึงสิบขวบ อีกสองปีก็จะถึงวัยพร้อมแต่งงาน ทว่ากลับยังเป็เด็กอยู่เลย
เมื่อหลินฟู่อินกลับถึงหมู่บ้านหูลู่ก็เลยเวลาบ่ายมาแล้ว ในตอนที่เกวียนเทียมลาของลุงหลิวปล่อยนางลงตรงจุดลงเกวียน บริเวณนั้นก็มีกลุ่มคนที่มารอรอบถัดไปอยู่
เมื่อเห็นหลินฟู่อินลงจากเกวียนเทียมลามาพร้อมกล่องเล็กๆ เหล่าชาวบ้านก็พากันมองนางด้วยความสงสาร
หลินฟู่อินงุนงง ทว่าสีหน้ายังคงนิ่งสงบ
แต่พอลุงหลิวเห็นชาวบ้านมองหลินฟู่อินด้วยสีหน้าแปลกประหลาด เขาจึงพ่นควันยาสูบออกมาพลางถาม “พวกเ้าเป็อะไรกัน? อย่าทำให้นางหนูกลัวสิ!”
“พี่หลิวแค่ยังไม่รู้! แต่การที่ฟู่อินเกิดมาในบ้านหลินน่ะนับว่าโชคร้ายยิ่งนัก!” สตรีผิวเข้มดูแข็งแรงคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา
ลุงหลิวไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่ทันทีที่หลินฟู่อินได้ยินที่สตรีผู้นี้กล่าว นางก็เดาได้ว่าเฉียนซื่อยาคงออกไปเล่าในสิ่งที่ได้เห็นมาแล้วจริงๆ
“สะใภ้ใหญ่ของบ้านหลินทำอะไรไม่คิดจริงๆ นางพาแม่สามีบุกไปก่อเื่ที่บ้านฟู่อิน แล้วพอนางเห็นว่าฟู่อินใช้ไข่ที่นางทำเงินได้ก็อิจฉาตาร้อน เรียกร้องจะอยู่กินฟรีที่บ้านฟู่อินแถมจะขอค่าอยู่อีก แถมยังจะพาลูกสาวทั้งสองของตัวเองไปอยู่ด้วย แบบนี้ท่านว่ามันไม่เกินไปหรือ?”
“มันเรียกว่าไข่เยี่ยวม้าหรือไข่ดอกสน!” หญิงวัยกลางคนอีกคนกล่าวขึ้นด้วยสายตาชิงชัง “พวกบ้านหลินทำเกินไปแล้วจริงๆ จ้าวซื่อพาแม่สามีไปสร้างเื่แล้วจะเรียกเงินวันละสิบอีแปะ! กระทั่งบุรุษที่มีฝีมือที่สุดในหมู่บ้านเรายังได้ค่าจ้างเพียงวันละห้าอีแปะเท่านั้น!”
เมื่อมีคนนำก็มีคนตาม คนพวกนี้เพียงรอให้มีกระแสเท่านั้น พวกเขาสลับกันพูดไม่หยุด บดขยี้ชื่อเสียของจ้าวซื่อจนแหลกจมดิน
ส่วนอู๋ซื่อนั้น ด้วยอายุและความาุโที่มากกว่าคนส่วนมากที่อยู่ตรงนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ก็ยังมีท่าทีชิงชังอยู่พอสมควร
หลินฟู่อินรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้เห็นเหล่าชาวบ้านเป็เช่นนี้ นางจึงกล่าวขอบคุณก่อนจะกลับบ้าน
ทันทีที่ย่าหลี่เห็นนาง และเห็นว่าสีหน้าของนางยังคงเหมือนกับทุกครั้ง จึงรีบจูงนางเข้าบ้านแล้วชี้ไปยังอาหารร้อนๆ บนโต๊ะ ก่อนจะกล่าวกับหลินฟู่อิน “ข้ากลัวว่าเ้าอาจจะไม่ได้กินข้าวในเมือง ข้าเลยอุ่นมันไปแล้วสองรอบ แต่เ้าก็กลับมาแล้ว”
หลินฟู่อินกำลังหิว นางจึงกล่าวขอบคุณย่าหลี่แล้วนั่งลงเพื่อเริ่มกินทันที
“ฟู่อิน เฉียนซื่อยาไม่ธรรมดาจริงๆ เด็กสาวตัวเล็กๆ คนนั้นเอาเื่ที่ป้าสะใภ้ใหญ่และย่าของเ้าบุกมาก่อเื่ไปบอกปู่ ข้าได้ยินว่าเขาโกรธมาก พอป้าสะใภ้กับย่าของเ้ากลับไปหลังจากนั้นไม่นาน ก็เจอเข้ากับปู่เ้าที่โมโหจนทนไม่ไหว จนมีรอยตบอยู่บนหน้าย่าของเ้าเลยเชียว”
“แค่ก…” หลินฟู่อินใมากเมื่อได้ยินว่าอู๋ซื่อถูกปู่หลินตบ มือที่จับตะเกียบชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นถาม “ท่านปู่ตบย่าจริงหรือ?”
“ไม่รู้สิ?” ย่าหลี่ทำปากเป็สัญญาณว่านางก็ไม่เชื่อนัก ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูให้หลินฟู่อินชิ้นหนึ่ง แล้วกล่าว “ฟู่อิน ย่าเองก็ไม่อยากพูดมากเกินไปนัก แต่การที่ย่าของเ้าถูกผู้ชายตบบ้างมันเป็เื่ดีแล้ว ดูสิ่งที่นางทำมาตลอดเสียสิ! แม้แต่คนนอกอย่างพวกข้ายังต้องสั่นสะท้านเลย… ถ้าให้ข้าพูด จ้าวซื่อนั่นก็ควรจะถูกตบด้วย แต่น่าเสียดายที่ปู่หลินเป็คนเ้าเล่ห์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามน้ำไปกับสะใภ้ใหญ่หมด ชัดเจนว่าเป็คนมากเล่ห์!”
ย่าหลี่มักไม่ค่อยพูดถึงคนในบ้านหลินต่อหน้าหลินฟู่อินมากนัก แต่เพราะหลินฟู่อินต้องทนรับการรังควานจากบ้านใหญ่มายาวนาน จนนางเริ่มเก็บความโกรธในใจไว้ไม่อยู่
พวกคนในหมู่บ้านเองก็เชื่อกันว่าปู่หลินให้บทเรียนอู๋ซื่อไปแล้ว จึงค่อนข้างจะพอใจกันมาก แต่ในใจของหลินฟู่อินนั้นรู้ดี ว่าอู๋ซื่อคงกลับมารังควานนางด้วยเื่นี้อีกแน่
ต่อให้ยอมถอยสักหมื่นก้าว และอู๋ซื่อก็ไม่คิดแค้นนางด้วยเื่นี้ แต่ก็ยังมีจ้าวซื่อกับหลินต้าหลางที่จะไม่ยอมปล่อยนางไปอย่างสงบๆ แน่
เมื่อเห็นหลินฟู่อินนิ่วหน้า ย่าหลี่จึงรีบถามทันที “ฟู่อิน เป็อะไรไปหรือ?”
“อ๊ะ ไม่มีอะไรเ้าค่ะ ยังไงข้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดอยู่แล้ว ปล่อยพวกนางไปก็แล้วกัน” หลินฟู่อินยกตะเกียบขึ้นมาเริ่มกินต่อ
ย่าหลี่พยักหน้า “เ้ากล่าวได้ถูก พวกบ้านหลินนั่นไม่ยอมปล่อยเ้าไว้เฉยๆ แน่ตราบใดที่เ้ายังใช้ชีวิตอย่างเปี่ยมสุข ครั้งนี้ถือว่าดีแล้วที่พวกนั้นเสียหน้าเพราะคำพูดของเด็กๆ บ้านอื่น พอเป็คำพูดของเด็ก ชาวบ้านก็จะเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้โกหก และจะจำเื่นี้เอาไว้ในใจแน่!”
หลินฟู่อินพยักหน้า การวิเคราะห์ของย่าหลี่นับว่ามีมูล นางเข้าใจได้ ดังนั้นในตอนที่เฉียนซื่อยาออกไปป่าวประกาศเื่นี้ นางจึงไม่เข้าไปหยุด…
เมื่อย่าหลี่เห็นว่าหลินฟู่อินเข้าใจแล้ว นางจึงพยักหน้าซ้ำๆ ก่อนจะถาม “ตอนคุณชายหลี่อี้มารับเ้าไป เขาดูกังวลมาก ข้าเองก็เป็ห่วงเ้าั้แ่ตอนนั้น มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?”