ทันทีที่เห็นจวินหวงใบหน้าขาวซีด หนานสวินก็คิ้วขมวด เขารู้ดีว่าจวินหวงไม่มีทางยอมรับความจริงได้ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะยื่นมือเข้าไปกุมนิ้วมือที่เย็นเฉียบของจวินหวงไว้ในอุ้งมือของตนเองแล้วกล่าวว่า "ข้ารู้ว่าเ้าอยากช่วยฉีอวิ๋นค้นหาความจริง แต่ความจริงมักจะโหดร้ายเสมอ ตอนนี้กลับกลายเป็แบบนี้ไปแล้ว ฉีอวิ๋นคงทนรับความจริงเื่นี้ไม่ได้แน่ หากให้เขารู้ว่าการตายของเสด็จแม่ของเขาเกี่ยวข้องกับฝ่าา เ้าคิดว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป? เขาจะเคียดแค้นฝ่าา หากเขาคิดจะนั่งบัลลังก์ั ย่อมเป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน"
จวินหวงหลับตาหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมานางรู้สึกว่าฮ่องเต้เป็กษัตริย์ที่มีความเมตตากรุณา กลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฮ่องเต้จะไร้ความปรานี
นางอยู่ที่นั่นเป็เวลานาน น้ำชาบนโต๊ะเย็นชืดไปแล้ว ตอนที่นางก้าวออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง นางก็ยกถ้วยชาเย็นเฉียบที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วดื่มน้ำชาที่ขมเฝื่อนลิ้นลงไป แล้วถึงคลี่มุมปากยกยิ้ม ส่ายหน้าให้กับหนานสวิน ผ่านไปชั่วครู่พอจัดการกับอารมณ์ของตนเองเรียบร้อยแล้วก็ยืนขึ้นมองไปที่สตรีสูงวัยที่อยู่เบื้องหน้า
"วันนี้รบกวนท่านมากแล้ว พวกเราต้องขออำลา" พูดจบนางก็เดินออกไปข้างนอก ไม่รั้งอยู่นานเกินไป
หนานสวินถอนใจเฮือกหนึ่ง มองสตรีผู้นั้นแล้วกล่าวว่า "หวังว่าฟูเหรินจะไม่บอกใครเื่ที่พวกเรามาที่นี่วันนี้ ข้าขอขอบคุณ"
สตรีผู้นั้นพยักหน้า เื่ภายในราชวงศ์นางใช่ว่าจะไม่รู้ หลายปีก่อนนางหนีออกมาจากวังหลวงก็เพียงเพื่อหลีกหนีสิ่งเหล่านี้เอง เวลาผ่านไปหลายปีนางเปลี่ยนชื่อแซ่ปกปิดตัวตน ไม่คิดย้อนกลับไปวังวนนั้นอีก
กว่าหนานสวินจะอำลาสตรีผู้นั้นออกมา จวินหวงก็เดินใจลอยไปไกลแล้ว นางเดินไปภายใต้แสงสลัวจากตะเกียง สีหน้าของนางเ็าเฉื่อยเนือยราวกับเหินห่างจากทุกสิ่ง หนานสวินรีบก้าวเดินอย่างรวดเร็วตามไป "เ้ารอก่อน"
จวินหวงราวกับไม่แยแสหนานสวิน เดินจ้ำของตัวเองไปเรื่อยๆ หนานสวินคิ้วขมวด เขารู้ว่าเื่ราววันนี้ทำร้ายจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาดีของจวินหวง แต่ชีวิตคนเกิดมามีเื่ราวมากมายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงในชีวิต ไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตแบบเดิมไปได้ตลอดโดยไม่มีความเปลี่ยนแปลง
เขาเดินเข้าไปคว้าข้อมือของจวินหวงเอาไว้ จวินหวงถูกรั้งไว้จึงหยุดยืน นิ่วหน้าหันมามองหนานสวิน "ท่านจะทำอะไร?"
"แล้วเ้าล่ะ คิดจะทำอะไร และทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร?" หนานสวินย้อนถามกลับเสียงแข็งกร้าว จ้องจวินหวงเขม็งราวกับจะมองนางให้ทะลุปรุโปร่งเช่นนั้น
ทันทีที่สบสายตากับหนานสวิน จวินหวงถึงค่อยได้สติกลับมา ตระหนักได้ว่าปฏิกิริยาก้าวร้าวของตนเมื่อครู่ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด และยังน่าขันมากอีกด้วย นางกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนดังที่เคยเป็ ค่อยๆ ดึงข้อมือของตนเองให้พ้นจากการยึดกุมของหนานสวิน "เมื่อครู่ทำเื่น่าขันให้หวางเหย่เห็นแล้ว" นางยิ้มเรียบๆ "เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว ผู้น้อยขอลากลับก่อน" พูดจบนางก็ตัดสินใจหันหลังเดินจากไป
หนานสวินมองดูเงาร่างของจวินหวงที่ค่อยๆ กลืนหายไปกับไฟตะเกียงที่ส่องสว่าง แล้วก็ถอนใจอย่างจนปัญญา สตรีเช่นนี้ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ แต่ใครเล่าจะรับประกันได้ว่านางจะสดใสเช่นนี้ไปตลอดชีวิต?
คืนนั้นจวินหวงนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงทั้งคืนก็นอนไม่หลับ ในใจรู้สึกหดหู่สุดประมาณ คิดใคร่ครวญตลอดทั้งคืน ก็รู้สึกว่าที่หนานสวินกล่าวมาก็มีเหตุผล ตอนนี้ใต้หล้าไม่มั่นคง ฉีอวิ๋นมีใจฮึกเหิมทะเยอทะยาน ใน่เวลาที่ดีที่สุด นางจะบอกความจริงให้ฉีอวิ๋นรู้ไม่ได้เด็ดขาด คงได้แต่ปิดบังความจริงเื่นี้เอาไว้ก่อน เพื่อให้ฉีอวิ๋นได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้ในกาลข้างหน้า
ตอนที่นางหลับไปท้องฟ้าก็สว่างขึ้นมาแล้วเล็กน้อย กว่านางจะตื่นอีกทีก็เที่ยงวันแล้ว หลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ นางหยุดพักเื่ราวที่เกิดขึ้นมากมายของเมื่อวานไว้ ปล่อยให้ค่อยๆ ลืมเลือนไป
ตอนนี้ในราชสำนักต่างแบ่งพวกเป็สองสามฝ่าย พวกเขาล้วนต่อสู้กันอย่างลับๆ ลงมือเหี้ยมโหด ฉีเฉินพยายามปลุกปั่นเสี้ยมคนในพรรคของฉีอิน หมายโค่นฐานอำนาจของกั๋วจิ้วลง
เนื่องจากจวินหวงเป็ผู้ปรุงสมุนไพรที่คร่าชีวิตฉีอิน ่นี้ฉีเฉินจึงเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับนางมากขึ้น ยามว่างไม่มีธุระอะไรก็จะเรียกจวินหวงมาดื่มชาด้วย จวินหวงก็ไม่ปฏิเสธ ทุกครั้งล้วนไปด้วยรอยยิ้ม แต่ยามกลับก็ก้าวเท้ากลับอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
อำนาจของฉีเฉินมิอาจดูเบาได้ หากปล่อยให้ขยายต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะกลายเป็ปัญหาใหญ่ จวินหวงเข้าใจในจุดนี้เป็อย่างดี ดังนั้นจึงได้ให้คนจับสังเกตความเคลื่อนไหวของฮองเฮามาโดยตลอด ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้ฮองเฮาจะเสด็จไปวัดในเมืองเพื่อส่งดวงพระิญญาของฉีอิน จึงเริ่มดำเนินการเตรียมงาน
ในตอนเช้าจวินหวงออกมาจากจวนเฉินอ๋องไปยังวัด เนื่องจากฮองเฮาเสด็จ บนถนนจึงคลาคล่ำไปด้วยองครักษ์ที่เฝ้ารักษาการณ์อย่างแ่า แต่ฮองเฮาก็ไม่ได้มีพระราชเสาวนีย์ให้ปิดวัด ประชาชนทั่วไปยังคงเข้าออกวัดได้เหมือนเดิม เพียงแค่ต้องผ่านการตรวจสอบก่อนเท่านั้น
จวินหวงเป็คนฉลาดหลักแหลม รู้จักเจรจาพาทีเป็ที่ชมชอบของผู้คน เมื่อถูกทหารรักษาการณ์ผู้หนึ่งกักไว้ที่ประตู นางก็หัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอแล้วกล่าวว่า "พี่ชาย ข้าเป็พลเมืองดี มาที่นี่ไหว้พระก็เพื่อมาขอโชคลาภเท่านั้นเอง ท่านก็รู้ว่าตอนนี้แม่นางทั้งหลายในเมืองหลวงต่างก็หมายปองแต่เหล่าองค์ชาย คนธรรมดาอย่างข้าก็แค่มาที่นี่ขอวาสนาด้านความรักเท่านั้น"
นายทหารผู้นั้นอาบน้ำร้อนมาก่อน จึงตบบ่าของนางเบาๆ "น้องชาย ข้าเข้าใจเ้าดี เ้าไม่ต้องร้อนใจไปหรอก เื่แบบนี้มันพูดยาก จะว่าไปเ้าก็หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ วันข้างหน้าจะต้องหาสตรีดีๆ มาเป็คู่ครองได้แน่นอน เ้าเข้าไปเถอะ" กล่าวจบก็เปิดทางให้ จวินหวงใบหน้ายิ้มแป้นเดินเข้าไปข้างใน
พอเข้ามาในวัดได้แล้ว นางก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลง มองไปรอบด้าน สุดท้ายสายตาก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่โถงวิหารด้านหลัง ที่นั่นเป็สถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับราชนิกุลโดยเฉพาะ บุคคลอื่นเข้าไปไม่ได้
"พี่ชาย ผู้น้องหลงทางมาพักหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหน ช่วยบอกทางหน่อยได้หรือไม่?" จวินหวงวิ่งไปที่ประตูวิหาร แกล้งทำทีถามด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ ซ้ำยังทำท่ายื่นมือไปปาดเหงื่อที่ไม่มีสักหยดบนหน้าผากให้ดูสมจริง
ทหารองครักษ์ที่ถูกจวินหวงเรียกตัวไว้มีท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย ชี้มือไปทางอื่นแล้วกล่าวขึ้น "ไปๆๆ ทางออกอยู่ที่นั่น ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนต่ำต้อยอย่างเ้าจะเข้ามาได้ รีบไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้"
"ขอรับๆๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้" จวินหวงพยักหน้าโค้งตัวรับคำ แต่สายตากลับมองสอดส่องด้านในอย่างไม่ให้เป็ที่สังเกต ด้านในมีควันธูปลอยฟุ้ง ฮองเฮาในอาภรณ์หงส์ กำลังคุกเข่าอยู่หน้าพระพุทธรูปอธิษฐานให้กับพระโอรสที่จากไป น้ำตาไหลรินอาบพระพักตร์ ผู้คนที่ได้เห็นยากจะทำใจได้
องครักษ์ที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่นี่เข้มงวดมาก จวินหวงไม่สามารถเข้าเฝ้าฮองเฮาด้วยตนเองได้ ขณะที่กำลังขบคิดหาวิธีอื่นก็เห็นนางกำนัลที่รับใช้ข้างกายฮองเฮาอยู่ในสวน น่าจะมาพักผ่อนอยู่ที่นี่เป็การชั่วคราว ที่เอวก็ยังมีป้ายของในวังแขวนอยู่
หลังจากที่นางไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ก็ถอนหายใจออกมาเพื่อปรับสภาพอารมณ์ มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มแล้วค่อยๆ เดินไปทางนั้น นางกำนัลในชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนมองเห็นสุภาพบุรุษท่าทางเรียบร้อยงามสง่า ท่วงท่าเยื้องกรายคล้ายหงส์สะดุ้ง ขนงเนตรคมสันหล่อเหลา พาลให้หัวใจสั่นไหว นางไม่คิดว่าในโลกหล้าจะยังมีบุรุษเช่นนี้อยู่ด้วย
เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าของหญิงสาว จวินหวงก็ยิ่งคลี่ยิ้มกว้าง และเอ่ยปากเจรจา "เมื่อครู่ผู้น้อยมองเห็นแม่นางยืนอยู่ที่นี่คนเดียว มองอยู่ไกลๆ คิดว่าแม่นางคงจะเหงา ก็เลยเข้ามารบกวน หวังว่าแม่นางจะไม่ตำหนิในความบุ่มบ่ามของผู้น้อย"
"ไม่หรอกเ้าค่ะ คุณชาย... คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว" หญิงสาวพวงแก้มแดงเรื่อไม่กล้าสบตาจวินหวงโดยตรง นางบีบนิ้วมือเข้าหากัน ขบริมฝีปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความขวยเขิน
จวินหวงสนทนากับหญิงสาวไปตามอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวไม่มีทีท่าระวังตัว อีกทั้งจวินหวงก็ระวังการใช้คำพูด ไม่ลามปามล้ำเส้น นางจึงได้รับความไว้วางใจจากสตรีผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปหนึ่งจิบชา จวินหวงแสร้งทอดมองไปบนท้องฟ้า แล้วกล่าวอย่างรู้สึกเสียดาย "เวลาล่วงเลยไปนานแล้ว ผู้น้อยคงต้องลากลับก่อน วันนี้ได้พบกับแม่นางนับเป็วาสนาของผู้น้อย โอ้ว่า์ช่างไม่เห็นใจ คงได้แต่ขอพระโพธิสัตว์เมตตา ให้วันหน้ามีโอกาสได้พบกับแม่นางอีก"
"นี่คือถุงหอมที่ผู้น้อยพกติดตัว ตอนนี้ขอมอบให้แก่แม่นาง หวังว่าคงมีวาสนาได้พบกันอีก" กล่าวจบจวินหวงก็หยิบถุงหอมที่เตรียมเอาไว้ยื่นส่งให้หญิงสาว แล้วหมุนกายเดินจากไป มิได้กล่าวอะไรอีก
หญิงสาวรับถุงหอมไว้ สายตาก็มองตามเงาร่างของจวินหวงที่ค่อยๆ เดินไกลออกไป แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของเขา นางก้มหน้ามองถุงหอมในมือ ใจลอยไปชั่วขณะ จนกระทั่งมามา[1]ที่อยู่ด้านหลังร้องเรียกขึ้น นางถึงรู้สึกตัว ถุงหอมในมือตกลงพื้น สมุนไพรที่อยู่ด้านในกระจายเต็มพื้นและยังมีกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในนั้นด้วย
หญิงสาวรู้สึกสงสัยยอบกายลงมาเก็บกระดาษที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาดู ชั่วพริบตานางก็หน้าซีดไร้สีเื มามาขมวดคิ้วมองหญิงสาว "นี่คืออะไร?"
"มามาดูสิเ้าคะ..." นางกำนัลยื่นกระดาษให้มามาด้วยความหวาดกลัว พอมามาได้อ่านก็หน้าซีดทันที รีบวิ่งไปหาฮองเฮาอย่างร้อนใจ
ฮองเฮาเห็นนางกำนัลและมามาของตนเองมีท่าทางเงอะงะงุ่มง่ามเช่นนี้ ก็มุ่นพระขนงถามขึ้น "มีอะไรจึงได้ตื่นตระหนกเช่นนี้?"
"ฮองเฮาทรงทอดพระเนตรสิ่งนี้ก่อนเพคะ" มามากล่าวจบก็ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับฮองเฮา พระนางไม่ถามไถ่ที่มาก็ทรงคลี่กระดาษออกอ่าน
"ถั่วฉานโต้วมีเฉพาะในแคว้นมิตรประเทศ ในเป่ยฉีมีเพียงฮ่องเต้ที่สามารถได้ ฮ่องเต้พระราชทานให้องค์ชายรองเป็รางวัล แต่องค์ชายรองไม่โปรดเสวยฉานโต้ว ดังนั้นฉานโต้วที่พบในพระวรกายของรัชทายาท ก็มาจากองค์ชายรองที่หมายปลงประชนม์ และที่มีคนนอกกล่าวว่ารัชทายาททรงเป็ผู้ซื้อมานั้น ทราบหรือไม่ว่าตอนนี้เป็นอกฤดูกาลการผลิต แคว้นมิตรประเทศไม่จำหน่ายออกมาง่ายๆ ดังนั้นนี่ย่อมเป็แผนการของผู้มุ่งร้าย พระนางอย่าทรงหลงเชื่อคำลวง และอย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไปเช่นนี้" หลังจากฮองเฮาทรงอ่านจบก็ตกอยู่ในภวังค์ พระวรกายซวนเซคล้ายจะล้มลงทันที มามารีบเข้ามาประคองไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
หลังจากนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ฮองเฮาถึงค่อยๆ เอ่ยถามขึ้น "กระดาษแผ่นนี้เอามาจากไหน?"
นางกำนัลใบหน้าแดงก่ำ นางก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า "เมื่อครู่บ่าวรอปรนนิบัติอยู่ด้านนอก ได้พบกับ... พบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาเป็ผู้มอบให้บ่าวเพคะ"
"บุรุษหรือ? ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด?" ฮองเฮาขมวดพระขนงตรัสถาม
นางกำนัลส่ายหน้า "เขาไปแล้วเพคะ"
ฮองเฮาสดับเช่นนั้นก็กำกระดาษในมือแน่น ในใจยิ่งเกลียดชังฉีเฉินและพระสนมกุ้ยเฟยเข้ากระดูก เคียดแค้นจนอยากจะฉีกร่างชำแหละหัวใจของฉีเฉินออกมาสับเป็หมื่นชิ้นเสียเดี๋ยวนี้
กว่าฮองเฮาจะระงับความแค้นและสงบจิตใจลงได้ก็ใช้เวลานาน แววพระเนตรครึ้มมืดเย็นเยือก หันมารับสั่งกับมามาว่า "ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้กลับวังทันที"
"เพคะ" มามารับพระราชเสาวนีย์แล้วก็รีบออกไป นางกำนัลค่อยๆ ประคองฮองเฮาเดินออกมาจากวัด ขึ้นเกี้ยวประทับกลับวังหลวง
จวินหวงยืนอยู่ด้านหลังซุ้มขายของ มุมฝีปากยกยิ้ม เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างเป็ไปตามแผนการ ตอนนี้ก็รอดูว่าฮองเฮาจะทรงมีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้เพียงใด
แล้วก็เป็ดังคาด ทันทีที่ฮองเฮาเสด็จกลับมาถึงวังหลวงก็ตรงไปยังตำหนักส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ ทรงถลันเข้าไปและแสงเสียงดังลั่น ฮ่องเต้ที่กำลังทรงอ่านหนังสือกราบบังคมทูลอยู่ก็ตกพระทัยอย่างมาก เห็นชัดว่าทรงไม่เคยคิดมาก่อนว่าฮองเฮาจะร่ำไห้เสียพระทัยมากมายเช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่ทรงทราบว่าควรจะปลอบใจฮองเฮาอย่างไร
"ชายารักเ้าเป็อะไรไปหรือ?" ผ่านไปพักใหญ่ ฮ่องเต้ถึงออกพระโอษฐ์ถามขึ้น
"ฝ่าา พระองค์ต้องทรงจัดการให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ พระองค์ต้องทรงจัดการเพื่อโอรสของเราที่สิ้นไปด้วย" ฮองเฮาทรุดนั่งลงกับพื้น ตรัสไปกันแสงไปจนน้ำเสียงแหบพร่า ร่ำไห้ประหนึ่งว่าน้ำตากลายเป็สายเื
ฮ่องเต้ยังคงสับสน ทรงยืนขึ้นแล้วเดินมาประคองให้ฮองเฮาลุกขึ้นจากพื้น ใครจะรู้ว่าฮองเฮาทรงตั้งพระทัยอย่างไรก็ไม่ยอมลุกขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังดึงชายแขนฉลองพระองค์ของฮ่องเต้ร่ำไห้เสียงดังลั่น "หากฝ่าาไม่ทรงให้ความเป็ธรรมกับอินเอ๋อร์ หม่อมฉันก็จะคุกเข่าที่นี่ไปจนตาย"
..................................................................................................................
[1] มามา เป็คำเรียกบ่าวรับใช้ที่เป็สตรีมีอายุ