“เอาล่ะ ทุกคนต่างทานอิ่มแล้ว พวกเรามานับเงินกันเถิด” หวังซื่อข่มความปีติยินดีที่มากล้นไม่ได้ ใช้มือแบ่งเงินบนโต๊ะออกเป็สองส่วน “กระต่ายที่ขายได้แปดตัวครั้งนี้ ชั่งละ 24 เหวิน ทั้งหมดเป็ 820 เหวิน แบ่งเป็สองส่วน นี่เป็ 400 เหวินเต็มๆ ฉางกุ้ย มาถือเอาไว้ ส่วนอีก 400 เหวินนี่ข้ากับพ่อเ้าเก็บไว้ เหลืออีก 20 เหวิน มอบให้แก่เจินจูของพวกเรา”
เจินจูมึนงงทันที ไม่คิดเลยว่าหวังซื่อจะให้เงินตนเองด้วย ถึงอย่างไรนางก็เพิ่งจะสิบขวบเท่านั้นเอง
“มา เจินจู นี่ให้เ้าเป็ค่าขนม สามารถจับกระต่ายได้ นับเป็คุณงามความดีของเ้ามากที่สุด เ้าอย่ารังเกียจว่าน้อยเลยนะ ส่วนเงินนี่ย่าเก็บไว้ให้เ้า ต่อไปรอให้เ้าแต่งออกแล้วจะใช้ซื้อสินเดิมของฝ่ายเ้าสาวให้” หวังซื่อกล่าวแล้วยิ้มตาหยี
หัวเจินจูเต็มไปด้วยเส้นดำทันที เจ้เพิ่งสิบขวบเอง อย่าเอ่ยเื่ที่ยังอีกไกลได้หรือไม่ เฮ้อ... ชีวิตที่แล้วหลังจากอายุยี่สิบห้าก็เริ่มโดนผู้ใหญ่เร่งรัดให้แต่งงาน ชาตินี้ดูแล้วน่าเศร้ากว่าเดิมนัก เด็กผู้หญิงยุคนี้อายุประมาณสิบห้าก็เริ่มปรึกษาหารือเื่การแต่งงานแล้ว สิบเจ็ดสิบแปดต้องแต่งงาน พ้นยี่สิบไปยังไม่แต่งกลายจะกลายเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ทันที
เมื่อได้รับเหรียญทองแดงมาสองพวงเล็ก เจินจูดีใจเป็อย่างมาก แม้ว่าเงินจะน้อย แต่อย่างไรเสียก็เป็เงินส่วนตัวจำนวนแรกที่นางได้รับ จึงใส่ไว้ในอกอย่างระมัดระวัง เงยหน้ายิ้มแล้วกล่าว “ขอบคุณท่านย่า ข้าจะเก็บไว้อย่างดีเลย”
หูฉางกุ้ยก็รับเงิน 400 เหวินมา เก็บไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง เงินที่ขายกระต่ายเหล่านี้เทียบเท่ากับที่เขาทำงานให้คนอื่นตั้งยี่สิบวัน
“ท่านพ่อ พวกเราควรกลับบ้านกันได้แล้ว ฟ้ายิ่งมืดจะยิ่งหนาว ต้องรีบสร้างที่พักกระต่ายก่อนหิมะจะตกด้วย” บนทางที่กลับมาเมื่อครู่ ลมหนาวต้นฤดูพัดแรงเสียจนใบหน้าแห้งเจ็บ เกรงว่าอีกไม่กี่วันหิมะก็น่าจะตกแล้ว
“คาดว่ายังมีเวลาอีกสี่ห้าวันหิมะถึงจะตก ปลูกกระท่อมฟางก็ยังทัน” หูเฉวียนฝูที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกมาทันที เขาเป็คนที่ชำนาญในการทำนา ประสบการณ์มองเมฆรู้ฟ้ามากมายนัก
“กระท่อมฟางอุ่นพอหรือเ้าคะ?”
“ริมเขาหนาวมากนัก กระท่อมฟางรักษาความอบอุ่นได้แย่นิดหน่อย แต่ตอนนี้ปลูกบ้านดินคงไม่ทันแล้วอย่างแน่นอน” หูเฉวียนฝูขมวดคิ้ว “หากไม่ได้จริงๆ ด้านนอกกระท่อมก็พันม่านฟางไว้อีกหนึ่งชั้น ข้ามหน้าหนาวเช่นนี้น่าจะไม่มีปัญหา”
“กระท่อมฟางปลูกขึ้นมาได้เร็ว สามสี่วันน่าจะได้แล้ว หากเป็บ้านดินพวกเราเร่งทำมากเท่าไหร่ถ้าไม่ได้มีเวลาสิบวันขึ้นไปก็สร้างไม่สำเร็จ” หูฉางหลินช่วยวิเคราะห์
“เช่นนั้นก็ได้ ปลูกกระท่อมฟาง ปลูกไว้ริมหลังบ้าน แล้วต้องล้อมรอบพื้นที่ลาดเอียงขนาดใหญ่ เพื่อให้กระต่ายเคลื่อนไหวได้” เจินจูดูลักษณะพื้นที่ไว้เรียบร้อยนานแล้ว หลังบ้านของนางที่เชื่อมต่อกับนาดอนขนาดใหญ่ ชัยภูมิค่อนข้างลาดเอียง เศษไม้ก้อนหินผสมกันมีไม่น้อย เมื่อก่อนเคยใช้ปลูกธัญพืชจำพวกถั่วเหลืองและถั่วลิสง
“เอาล่ะ ข้าไปกับพวกเ้าเลยแล้วกัน งานถักม่านฟางพวกเ้าไม่มีคนไหนถักได้ดีเท่าข้าแล้ว ข้าสามารถไสแผ่นกระดานให้พวกเ้าได้ด้วย” ชายชราหูยิ้มแล้วกล่าว
“ท่านพ่อ ขาและเท้าของท่านไม่คล่องแคล่ว อย่าไปเลย เดินมากไปอาจเจ็บได้” หูฉางหลินมองขาของเขาด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็ไร ไม่กี่วันมานี้ ขานี่ไม่รู้ทำไมถึงดีขึ้นบ้างแล้ว แค่ทางระยะเพียงนิด ข้าเดินได้” หูเฉวียนฝูรู้สึกแปลกใจอยู่มาก ขาของเขาเดิมทีเย็นและเจ็บมาเป็เวลานานแล้ว แต่พักนี้ความรู้สึกตึง บวม และปวดกลับบรรเทาลงไปมาก แล้วยังสามารถเดินในลานบ้านได้หลายรอบด้วย ขาและเท้าที่อธิบายไม่ถูกก็มีพละกำลังขึ้นบ้างแล้ว
เจินจูเม้มปากยิ้ม ดูท่าว่าประสิทธิภาพของน้ำแร่จิติญญากำลังค่อยๆ ปรับเปลี่ยนร่างกายของชายชรา นางยิ้มแล้วกล่าว “เช่นนั้นก็ดียิ่ง ท่านปู่มิได้ไปบ้านเรามานานมากแล้ว ไปเป็ผู้คุมงานได้พอดีเลย ท่านลุง ท่านปู่เดินไม่ไหว ท่านแบกท่านปู่ไปก็ได้นี่ ฮิๆ ข้ากับท่านพ่อเดินไปก่อนหนึ่งก้าว เอาแปลงดินกำหนดให้แน่นอนก่อน ท่านลุง ท่านค่อยๆ เดินทางมาเป็เพื่อนท่านปู่เล่า”
ในขณะนั้น สีท้องฟ้าข้างนอกมีเมฆค่อนข้างมาก อากาศแห้งเย็นพัดผ่านใบหน้าคน ทำให้ความตึงของิัแตกระแหง เจินจูลูบใบหน้าที่ยังคงชุ่มชื้น ไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบกับความดีใจที่ตนเองโชคดี ได้มิติช่องว่างน้ำแร่จิติญญาอีกแล้ว ล้วนเป็เพราะประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนี้จึงทำให้นางสบายใจมาก
สองคน บิดาและลูกสาวกลับถึงบ้านก็ทำงานกันไม่หยุดพัก หูฉางกุ้ยเอาเงินที่ขายกระต่ายมอบไว้ในมือของหลี่ซื่อ แล้วให้เจินจูยืนยันสถานที่ความสูงความกว้างของกระท่อมให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงหยิบพลั่วมาปรับพื้นที่ให้ราบเรียบ ตอนที่หูฉางหลินมาถึง เขาก็จัดการพื้นที่ให้สะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว
จัดหางานให้ชายชราหูทำอยู่ในห้องโถง หลังเอาฟางข้าวที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงย้ายเข้ามาในห้องกองไว้ด้านข้างข้างหนึ่งของยุ้งฉางแล้ว มือของหูเฉวียนฝูก็เริ่มผูกม่านฟางโดยไม่ได้หยุดพัก
“ผิงอัน มา ยกถ้วยน้ำไปให้ท่านปู่ที ดูว่าท่านปู่ยัง้าสิ่งใดอีกหรือไม่? หากเ้าไม่ได้ทำอะไร ก็ไปเป็ผู้ช่วยท่านปู่ทีนะ” เจินจูก็ยุ่งนัก อย่างแรกต้องต้มน้ำหนึ่งหม้อใหญ่กับชุ่ยจูก่อน ที่บ้านคนทำงานมากมาย น้ำย่อมขาดไม่ได้เด็ดขาด ยังต้องผสมน้ำแร่จิติญญาลงไปอย่างเงียบๆ อีก ไม่นานหลังจากนั้นจึงสั่งการให้ผิงอันไปเป็ผู้ช่วยท่านปู่ด้วย
ผิงอันอมน้ำตาลที่เจินจูซื้อกลับมาให้ไว้ในปาก น้ำตาลห่อใหญ่ห่อหนึ่ง เขากับผิงซุ่นคนละครึ่ง เด็กหนุ่มสองคนดีใจกันยกใหญ่ จึงกล่าวตอบเสียงดังอย่างร่าเริง “ท่านพี่ ข้าทราบแล้ว”
ต้มน้ำเสร็จ เจินจูก็เริ่มทำเครื่องในหมู อันดับแรกคือปัญหาการล้างให้สะอาด ตอนนี้เกลือมีค่าสูงนัก ไม่สามารถนำมันมาล้างให้สะอาดอย่างสิ้นเปลืองได้ แต่ก็ไม่ใช่เื่ยากลำบากของนาง เพราะนางมีน้ำยาชะล้างมากความสามารถ นั่นก็คือขี้เถ้านั่นเอง
เอาไส้ใหญ่กับไส้เล็กและปอดหมูใส่ลงไปในถาด หยิบถ้วยใส่ขี้เถ้าลงไปเล็กน้อย แล้วยกถาดไม้ขึ้นไปบนูเาริมลำธาร ชุ่ยจูกะพริบตามองเครื่องในที่อยู่ในถาด ถามอย่างสงสัยว่า “เจินจู ต้องทำอย่างไรจึงจะอร่อยหรือ?”
แม้ชุ่ยจูจะช่วยงานในครัวมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่เคยทำของพวกนี้มาก่อนเลย
“อันดับแรกเอาพวกมันไปล้างให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นให้หั่นไส้ใหญ่เป็ท่อนทอดผัด หั่นไส้เล็กเป็ท่อนครึ่งหนึ่งผัดทอด ครึ่งหนึ่งต้มแกงจืด อืม... ปอดหมูนี่ก็ใช้ตุ๋นน้ำแกง พูดถึงตุ๋นน้ำแกงแล้ว หัวไชเท้าบ้านเราถอนเก็บหมดเกลี้ยงแล้วหรือยัง?” เจินจูเพิ่งนึกได้ว่าก่อนหน้านี้หัวไชเท้าที่บ้านถูกถอนไปจนเกลี้ยงแล้ว หลี่ซื่อเอามาตากแห้งไว้เป็หัวไชเท้าแห้งหมดแล้ว หัวไชเท้าสดๆ สักหนึ่งหัวที่บ้านล้วนไม่มีเลย
“ผักที่บ้านยังมีอีกนิดหน่อย ท่านย่าเก็บไว้ใช้ตุ๋นน้ำแกงโดยเฉพาะ” ท่านแม่ของชุ่ยจูกำลังตั้งครรภ์ จึงซื้อกระดูกมาตุ๋นน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่บ่อยๆ
“เช่นนั้นก็ดีเยี่ยมไปเลย พี่รอง ต้องรบกวนท่านไปถอนหัวไชเท้ามาให้ข้าหนึ่งหัวแล้ว ประเดี๋ยวข้าเอาของพวกนี้ล้างให้สะอาด กลับมายังต้องต้มน้ำลวกอีกนิด” เจินจูหัวเราะแล้วกล่าว
“ยุ่งยากอะไรเช่นนี้ ยังต้องลวกน้ำทิ้งอีก มิน่าเล่ากระดูกและเครื่องในที่ทำในบ้านครั้งก่อนมักมีกลิ่นแปลกๆ เจินจู เ้ารู้เยอะเสียจริง” ชุ่ยจูมองนางด้วยความอิจฉาเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงกลับไปถอนหัวไชเท้าอย่างว่องไว
เจินจูยกถาดไม้มาถึงูเาริมลำธาร หาก้อนหินแล้วนั่งลง หยิบเอาเครื่องในหมูออกมาวางไว้ข้างหนึ่งก่อน แล้วนำถาดลงไปตักน้ำมาครึ่งหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าน้ำลำธารยังมีความอุ่นเล็กน้อย ค่อยๆ จุ่มมือลงไปในน้ำที่ไม่มีความเย็นแม้เพียงนิด ลำธารูเานี่อุณหภูมิพอดีไม่เลวเลยจริงๆ
ใช้ขี้เถ้าถูไส้ใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า นำน้ำสกปรกเทไปในพุ่มไม้เตี้ยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วตักน้ำมาครึ่งถาดล้างต่อไป หลังทำไปทำมาอยู่เช่นนี้สี่ห้าครั้ง เจินจูหยิบมาดมใกล้ๆ ปรากฏว่ากลิ่นจางลงไปมากแล้ว จึงวางใจลงได้ หลังจากนั้นจึงนำปอดหมูมาราดน้ำเทออกซ้ำไปซ้ำมาอีกครั้ง จนน้ำที่เทออกมาเปลี่ยนเป็ใสจึงหยุดลง
เมื่อเจินจูกลับไปถึงบ้าน ชุ่ยจูที่ถอนหัวไชเท้ากลับมาก็ก่อไฟอย่างขยันขันแข็ง
“เจินจู เ้าจะทำอย่างไร? บอกข้า ข้าช่วยเ้าเอง” เสียงไพเราะของชุ่ยจูมีความใจเย็นไม่เหมือนคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ความสามารถในการลงมือทำยอดเยี่ยมนัก ทักษะงานบนเตาล้วนต้องใช้ความชำนาญอย่างมาก
“ได้เลย ขอบคุณพี่รอง สองอย่างนี้หั่นท่อน อันนี้หั่นฝานเป็แผ่น” เจินจูที่กำลังบัญชาการก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฝีมือในการใช้มีดของนางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฝีมือครัวถือว่าธรรมดาเป็อย่างยิ่ง วันนี้มีคนทำแทนย่อมดีนัก ฝีมือของชุ่ยจูถ่ายถอดมาจากหวังซื่อ ต้องดีกว่านางมากอย่างแน่นอน
สองคนที่อยู่ในครัวเร่งทำงานกันเสียงดัง “ตึงๆ ตังๆ”
หลังบ้าน สองพี่น้องสกุลหูกำลังตีเสาไม้อย่างขะมักเขม้น ผิงซุ่นกับหลี่ซื่อก็ช่วยลำเลียงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ เมื่อรู้ว่าการเลี้ยงกระต่ายสามารถทำรายได้ให้ทางบ้านไม่น้อยเลย กำลังใจในการทำงานของทุกคนจึงเต็มเปี่ยม พยายามปลูกกระท่อมฟางขึ้นมาให้ได้ก่อนที่หิมะจะตก
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม กลิ่นหอมเผ็ดอันเป็เอกลักษณ์ก็ปลิวออกมาจากห้องครัว ผิงซุ่นดมทีหนึ่งก็สะดุ้งะโขึ้นมา ะโกล่าว “ผัดอะไรกันจึงหอมเช่นนี้? ข้าไปดูก่อนนะ” ไม้ยาวที่อยู่ในมือถูกทิ้งลงแล้ววิ่งหายวับไปกับตา
หลี่ซื่อมองแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เก็บไม้ยาววางไว้ที่ตำแหน่งเดิม เจินจูบอกกับนางแต่เช้าตรู่แล้วว่าอาหารเย็นวันนี้นางกับชุ่ยจูจะเป็คนทำเอง ลูกสาวโตแล้ว สามารถทำอาหารเย็นให้ครอบครัวได้แล้ว ช่างทำให้คนปลื้มอกปลื้มใจเสียจริง มีชุ่ยจูดูแลอยู่ด้านข้าง นางก็วางใจได้
ผิงซุ่นพุ่งเข้ามาในครัวรวดเร็วราวกับสายลม “ท่านพี่ พวกท่านกำลังทำอะไรอร่อยๆ หรือ? ทำไมหอมเช่นนี้? ให้ข้าชิมสักคำได้หรือไม่?” กล่าวจบแล้วยังกลืนน้ำลายอีกด้วย
“พรืด” เจินจูที่นั่งยองๆ ดูไฟอยู่บนพื้น ถูกท่าทางตะกละบนใบหน้าของเขาทำให้หัวเราะออกมาเสียแล้ว นางกล่าวอย่างตลกขบขันว่า “ผิงซุ่น ทั้งบ้านมีจมูกของเ้าที่ว่องไวที่สุด เ้ายังมิได้ทานอาหารกลางวันหรือ?” ยิ้มไปพลางเพิ่มฟืนให้แก่ทั้งสองเตาไปพลาง บนเตาอีกเตาหนึ่งกำลังตุ๋นน้ำแกงปอดหมู
ชุ่ยจูที่ยืนอยู่ข้างเตา ปฏิบัติตามการชี้แนะของเจินจู กำลังผัดไส้ใหญ่ในหม้อกลับไปมาอย่างรวดเร็ว ถือโอกาสว่างเหลือบมองผิงซุ่นแวบหนึ่ง ปากกล่าวรำพัน “เ้าเด็กนี่ปากตะกละเป็ที่สุด อาหารเพิ่งลงหม้อก็วิ่งมาแล้ว นี่เพิ่งเป็อาหารอย่างแรก เ้าไปทำงานทำตัวดีๆ ข้าทำเสร็จแล้วจะเรียกเ้า”
“มา ผิงซุ่น ดื่มน้ำหน่อย นี่ยังอีกสักพักเลยกว่าจะถึงอาหารเย็น มาทำให้คอชุ่มชื้นก่อนเถิด” เจินจูมองผิงซุ่นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังแล้วยิ้ม นางยื่นมือออกไปเทน้ำต้มใส่ชามให้เขา
ผิงซุ่นรับมาดื่ม “อึก อึก” หมดภายในลมหายใจเดียว เม้มปากแล้วเดินไปอย่างหนึ่งก้าวหันหลังกลับสามครั้ง [1]
สีของท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีดำ ควันจากการทำกับข้าวของบ้านหูฉางกุ้ยลอยออกมาไม่หยุด กลิ่นหอมโชยเข้าจมูกเป็พักๆ หม้อสองใบถูกเปิดพร้อมกันบนเตาดินในครัว น้ำแกงปอดหมู หัวไชเท้าในหม้อขนาดเล็กเคี่ยวไฟอ่อนๆ มาระยะหนึ่งแล้ว จึงเปิดฝาหม้อออกใช้ตะเกียบคีบปอดหมูหนึ่งชิ้นขึ้นมาชิม อื้ม รสชาติไม่เลว ระดับไม่ต่างจากที่มารดาคนก่อนทำมากนัก เจินจูคิดอย่างเบิกบานใจ หม้อน้ำแกงที่เติมขิงกับฮวาเจียวลงไปทำให้ชาลิ้นเล็กน้อย ดื่มลงไปกลับอุ่นในท้องยิ่งนัก
บนเตาอีกด้านหนึ่งกำลังหุงข้าว กับข้าวสองสามอย่างผัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว จัดวางไว้ข้างเตาเตรียมให้เย็นลงอย่างเรียบร้อย ชุ่ยจูเอากับข้าวกลับไปที่บ้านเก่าแล้วหนึ่งอย่าง ทั้งใช้ให้ผิงซุ่นถือกลับมาด้วยอีกอย่าง ต้นเหตุที่ทำให้ยุ่งยากถึงเพียงนี้มีเพียงหนึ่งเดียวคือบ้านนางจน ถาดใส่กับข้าวจึงมีเหลือไม่กี่ใบ เฮ้อ...
“ท่านพี่ อาหารเสร็จหรือยัง? ท่านปู่กับท่านลุงจะกลับมาแล้ว” ผิงอันเดินเข้ามาถาม
“อื้ม ใกล้จะเสร็จแล้ว เ้าไปเรียกท่านพ่อเข้ามาเถิด” เจินจูตอบกลับโดยไม่รอช้า
นางตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง หยิบเครื่องปั้นดินเผาที่ล้างสะอาดแล้วใส่น้ำแกงปอดหมูหัวไชเท้าลงไปครึ่งหนึ่ง ปิดฝาให้สนิทเรียบร้อยก็ใส่ลงไปในตะกร้าไผ่สานเล็กๆ ให้ท่านพ่อเอาไปส่งยังบ้านเก่า
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งก้าวหันหลังกลับสามครั้ง คือการเปรียบเปรยถึง การอาลัยอาวรณ์ เดินไปหนึ่งก้าวแล้วยังเหลียวหลังกลับมามอง