“นี่ ข้าถามเ้าอยู่น่ะ ใช่ญาติของครอบครัวเ้าหรือไม่?”
“ข้าก็ไม่รู้จัก คงใช่มั้ง!”
ยามเฉิงชิงเอ่ยคำพูดนี้ก็ยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มของนางทำเอาเ้าอ้วนชุยหนาวะเื— หากเป็ญาติกับครอบครัวเฉิงชิง เฉิงชิงคงไม่ชอบญาติผู้นี้แน่
ฉีเหยียนซงรีบเอ่ยแก้ตัวต่อดาวเด่นผู้นั้นที่มีนามว่าซือซือ ซือซือก็ช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเสียจริง
“หากที่กล่าวถึงคือคดีของใต้เท้าเฉิงแห่งอำเภอเจียงหนิง บ่าวก็เคยได้ยินมาเ้าค่ะ ได้ยินว่าคุณชายน้อยเฉิงเชิญดวงิญญากลับบ้านเกิด ปฏิญาณว่า้าจะชำระล้างมลทินให้แก่ใต้เท้าเฉิง แม้กายของบ่าวจะเป็คนชั้นต่ำ แต่ก็ชื่นชมบุตรกตัญญูเช่นคุณชายน้อยเฉิงเป็อย่างมาก แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ช่างน่าประทับใจ ซือซือปรารถนาที่จะดีดฉินแต่งบทกวีกับคนรู้ใจ ในเมื่อราชสำนักยังไม่ได้ตัดสินคดี พวกเราก็ไม่ควรจะกล่าวถึง คุณชายทุกท่านคิดเช่นไรเ้าคะ?”
สาวงามกล่าววาจาอ่อนโยนแฝงเหตุผลในทุกประโยค บัณฑิตที่โจมตีฉีเหยียนซงพอถูกดูแคลนกลับจึงใช้แขนเสื้อปิดบังใบหน้าแล้วรีบร้อนจากไป
แม้แต่สตรีจากหอโคมเขียวก็ล้วนมีความรู้ เฉิงชิงค่อนข้างคาดไม่ถึง
นางไม่ได้ดีใจเพราะซือซือกล่าวชมนางว่าเป็ ‘บุตรกตัญญู’ เพียงชื่นชมซือซือว่าเป็คนรู้จักพูดอย่างจริงใจ แค่คำพูดไม่กี่คำก็สามารถช่วยเหลือฉีเหยียนซงให้พ้นจากสถานการณ์ลำบากได้ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ล่วงเกินตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋
แววตาของฉีเหยียนซงที่มองซือซือยิ่งทวีความเร่าร้อน เฉิงชิงทนดูไม่ได้จึงลากเ้าอ้วนชุยแทรกตัวออกจากกลุ่มคน
“งานชุมนุมวรรณกรรมก็มีแค่นี้แล้ว ฉวยโอกาสที่ยังไม่ดึกมาก ข้าต้องกลับบ้านไปสักรอบ พี่ชุย แล้วเ้าล่ะ?”
เฉิงชิงต้องกลับบ้าน บ้านของเ้าอ้วนชุยไม่ได้อยู่ที่หนานอี๋ ยังคิดจะเดินไปเดินมาต่อ เฉิงกุยและเ้าอ้วนชุยจึงแยกทางกัน
เมื่อเห็นว่าอวี๋ซานยังคงส่ายหัวไปมาหาตัวนางทั่วทิศทางอยู่ เฉิงชิงก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว เข้างานอย่างยิ่งใหญ่แต่ออกจากเรือนแยกไปอย่างไม่เป็จุดสนใจ
“นายน้อย เหตุใดถึงรีบออกมาเร็วขนาดนี้ล่ะขอรับ?”
ซือเยี่ยนและซือโม่เดินมารับ เฉิงชิงหัวเราะ “พอแล้ว พวกเ้าสองคนอย่าทำสีหน้าเช่นนี้เลย ข้าไม่ได้ขายหน้าต่อหน้าราชบัณฑิตเสิ่น ท่านปู่ห้าเองก็อยู่ด้วย เพียงแต่ไม่อาจหาโอกาสพูดคุยกับท่านปู่ห้าได้เท่านั้น ซือเยี่ยน เ้านำโคมไฟกลับไปตรอกหยางหลิ่วกับข้ารอบหนึ่งสิ ส่วนซือโม่ เ้าอยู่ที่นี่สอบถามเกี่ยวกับคนผู้หนึ่งแทนข้าที”
เฉิงชิงให้ซือโม่ไปสอบถามเกี่ยวกับฉีเหยียนซง พองานชุมนุมวรรณกรรมยุติก็ดูว่าฉีเหยียนซงไปที่ใด แล้วก็ถือโอกาสสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลฉีแห่งอำเภอหลิน ภายในครอบมีบุตรชายกี่คน แต่งงานแล้วหรือยัง ฯลฯ
นางรู้สึกมาตลอดว่าการหมั้นหมายของบุตรสาวคนโตและตระกูลฉีไม่มั่นคง ได้แต่รอว่าตระกูลฉีจะถอนหมั้นอย่างกะทันหันเมื่อไร ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคนตระกูลฉีในงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูเร็วขนาดนี้
ฉีเหยียนซงมาถึงหนานอี๋และเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู แล้วได้ไปที่ตรอกหยางหลิ่วหรือยัง?
เฉิงชิง้าพิสูจน์เื่นี้ให้ชัดเจน
ซือโม่กล่าวรับรองว่าสามารถทำหน้าที่สำเร็จได้แน่นอน เฉิงชิงพร้อมด้วยซือเยี่ยนจึงกลับไปยังตรอกหยางหลิ่วพร้อมโคมไฟที่ได้มา
นางไม่ได้กลับบ้าน พวกนางหลิ่วก็ไม่มีแก่ใจจะชมจันทร์ มารดาและบุตรสาวทั้งสี่คนไม่ได้เย็บปักหาเลี้ยงชีพจนดึกดื่น กลับรีบเข้านอนั้แ่หัวค่ำอย่างหาโอกาสได้ยาก เมื่อเฉิงชิงกลับบ้านก็ทำให้ทั้งสี่คนตื่นขึ้นมา แต่ไม่มีผู้ใดกล่าวโทษนาง
เทศกาลกลางสารทฤดู เฉิงชิงรีบกลับบ้าน ภายในบ้านนี่แหละจึงจะถือว่ามีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองเทศกาล
บุตรสาวคนที่สามยกโคมไฟขึ้นมา สีหน้าคล้ายไม่อยากจะเชื่อ
“น้องชาย ทั้งหมดนี่คือที่เ้าชนะได้มา?”
“พี่สาม ไม่เพียงแต่โคมไฟเท่านั้น ยังมีเงินอีกหนึ่งร้อยตำลึงเงิน แต่ว่าข้าได้บริจาคโคมไฟและเงินให้กับโรงเมตตาเด็กไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจะทำตัวใจกว้าง ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะมีเหตุผล”
พวกนางหลิ่วทั้งสี่คนต่างไม่ปวดใจกับเงินที่ถูกนำไปบริจาค พวกนางตกตะลึงที่เฉิงชิงได้ที่หนึ่งเป็ที่จับจ้อง
เมื่อได้ยินว่าเฉิงชิงยังได้พบกับราชบัณฑิตเสิ่นด้วยแล้ว บุตรสาวคนโตก็ปีติยินดี “น้องชาย ท่านราชบัณฑิตเสิ่นได้กล่าวจริงๆ หรือว่าเ้าสามารถเข้าร่วมการสอบระดับสำนักศึกษาในปีหน้าได้?”
“อืม ปีหน้าข้าก็ออกทุกข์แล้วด้วย สอบระดับอำเภอก่อนในเดือนสอง แล้วถ้าผ่านระดับเมืองอีก ก็ย่อมสามารถเข้าร่วมการสอบระดับสำนักศึกษา”
เฉิงชิงอธิบายอย่างอดทนด้วย้าให้มารดาและเหล่าพี่สาวดีใจยิ่งขึ้น อีกด้านหนึ่งก็เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงมีคนส่งของขวัญมาให้บ้านเราหรือ?”
“ท่านย่าของเ้าให้คนส่งขนมไหว้พระจันทร์มาให้มากมาย ยามเ้ากลับไปยังสถานศึกษาก็เอาบางส่วนไปกินด้วยสิ คืนนี้จะต้องกลับเลยไหม? เดินทางลำบากนะ ไม่สู้พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับไปยังสถานศึกษา…”
นางหลิ่วกล่าวยืดยาวเยิ่นเย้อเพื่อ้าให้เฉิงชิงพักที่บ้านสักคืน ด้วยกลัวว่าหนทางยามค่ำคืนจะอันตราย
“มีโคมไฟดวงหนึ่งที่ข้าจะให้ท่านย่า พรุ่งนี้ตอนเช้าที่สถานศึกษายังมีวิชาเรียน คืนนี้ข้าคงไม่อยู่ที่บ้านแล้ว”
มีเพียงบ้านห้าที่ส่งขนมไหว้พระจันทร์มาให้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าฉีเหยียนซงไม่ได้มาที่นี่
หากตระกูลฉีมา นางหลิ่วย่อมต้องเอ่ยถึง
เฉิงชิงก็ไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติ อยู่ภายในบ้านครึ่งชั่วยามแล้วก็จากไป
ความครึกครื้นตรงริมฝั่งแม่น้ำยังไม่จางหายไป งานชุมนุมวรรณกรรมในค่ำคืนนี้ไม่รู้ว่ามีผู้ที่จะหาความสำราญตลอดคืนมากน้อยเพียงใด
มีผู้ที่สานสัมพันธ์กันภายในงานชุมนุมวรรณกรรม และมีผู้คนจำนวนมากกว่าที่ถือโอกาสใช้งานชุมนุมวรรณกรรมเป็ข้ออ้างในการปลดปล่อยตนเอง
เฉิงชิงไม่ได้ตรงกลับไปที่สถานศึกษา นางกลับมายังด้านนอกของเรือนแยกที่จัดงานชุมนุมวรรณกรรมอีกครั้งหนึ่งด้วย้ารอนายท่านห้าเฉิงที่ด้านนอก ไม่รู้ว่าผ่านไปเกินครึ่งเดือนแล้วทางเมืองหลวงมีข่าวใหม่ส่งมาบ้างหรือไม่?
ซือเยี่ยนจ้างเรือลำน้อยไว้แล้ว เฉิงชิงก็นั่งรออยู่บนเรือ
ซือโม่ถูกนางสั่งให้ไปจับตาดูฉีเหยียนซงแล้ว ส่วนซือเยี่ยนอยู่ดูแลที่ประตูหลังของเรือนแยก เพื่อป้องกันไม่ให้เฉิงชิงคลาดกับนายท่านห้าเฉิงหากออกมาทางประตูหลัง
เฉิงชิงให้นายท้ายถ่อเรือลำน้อยไปตามพื้นผิวแม่น้ำอย่างช้าๆ ลมแม่น้ำเย็นะเื แสงจันทร์ก็งามงด ความเงียบสงบในยามนี้เป็ของเฉิงชิง นางนึกถึงบรรดาญาติพี่น้องของตน— แน่นอนว่าไม่ใช่นางหลิ่วและพี่สาวทั้งสาม ที่นางนึกถึงคือญาติพี่น้องก่อนที่จะทะลุมิติมา
พี่ชายน้องชายเ่าั้ ไม่ว่าจะเป็สายรองหรือว่าสายตรง แต่ไหนแต่ไรมานางมองอย่างไรก็เกลียดอย่างนั้น เป็ที่รู้กันว่าเป็คู่แข่งของนาง แต่ละคนต่างรับมือยาก ไม่ง่ายเลยกว่านางจะกดแต่ละคนลงได้
เมื่อเทียบกับเฉิงกุยแล้ว พวกเขาสู้กับนางได้น่ารังเกียจยิ่งกว่า น้ำโคลนทั้งหลายล้วนสาดใส่บนร่างนาง[1] มีอยู่ปีหนึ่งซึ่งก็คืองานรวมญาติเทศกาลไหว้พระจันทร์ มีเื่เปิดเผยออกมาท่ามกลางผู้คนว่านางเลี้ยงดูไอดอลหนุ่มในวงการบันเทิง— เฉิงชิงย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว ทุกคนล้วนชอบความงาม นางก็แค่ได้รู้จักดาราเบอร์เล็กที่หน้าตาค่อนข้างดีภายในงานสังสรรค์กับเพื่อน แค่ได้ทานข้าวกับอีกฝ่ายสองมื้อเท่านั้น สามารถเรียกว่าเลี้ยงดูได้ด้วยหรือ?
การเลี้ยงดูก็คือการที่นางจ่ายเงินให้กับไอดอลหนุ่ม ที่จริงแล้วไอดอลหนุ่ม้าจะตีสนิทนาง แต่กลับส่งของขวัญที่ไม่ค่อยมีราคาให้กับนาง
แต่พอเปลี่ยนเวลาและสถานที่แล้ว คนตระกูลเฉิงที่ทำให้นางรังเกียจก็เหมือนจะไม่น่ารังเกียจขนาดนั้นแล้ว อย่างพ่อของนางซึ่งเป็คนค่อนข้างให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง หลังจากนั้นก็ถูกนางใช้กำลังพลิกกลับมาแล้ว… หาก์สามารถส่งนางกลับไป นางจะทะนุถนอมคนในครอบครัวเดิมให้ยิ่งกว่าเดิม
อืม ตอนจัดการพวกเขา นางจะไม่ออมมืออย่างเด็ดขาด หากรู้ว่าจะทะลุมิติมา นางไม่ควรเห็นแก่ความรู้สึกใดๆ !
บนพื้นผิวแม่น้ำมีเพียงแสงระยิบระยับ เรือลำน้อยที่เฉิงชิงนั่งอยู่ไม่รู้ว่ายามไหนกันที่เคลื่อนเข้าไปใกล้เรือลำใหญ่สีดำมืดลำหนึ่ง บนกราบเรือของอีกฝ่ายมีผู้คุ้มกันอยู่มากมาย แสงจันทร์สะท้อนให้เห็นคมอาวุธอันเหยียบเย็น ทำให้นายท้ายที่ถ่อเรือให้เฉิงอยู่ใจนแข้งขาอ่อนแรงทิ้งไม้ถ่อไป
ในเแม่น้ำยังมีเรือใหญ่เพิ่มมาอีกหนึ่งลำ!
เงียบสงัดแต่การป้องกันแ่า
มีคนะโข้ามมาเพียงก้าวเดียวก็ะโมาถึงบนเรือลำน้อยแล้ว ปลายดาบจ่อเข้าที่ลำคอของเฉิงชิงในชั่วพริบตา และคุมตัวนายท้ายที่อยู่ด้วยกัน
ปลายดาบอันเยียบเย็นแนบชิดกับลำคอของเฉิงชิงโดยมีเพียงปกคอของเสื้อนอกขวางกั้น
คนพวกนี้เป็ใครกัน คาดไม่ถึงว่างานชุมนุมวรรณกรรมหนานอี๋จะมีโจรทางน้ำโผล่มาปล้น?
เป็โจรทางน้ำที่ทางบ้านรองซื้อตัวมาเพื่อกำจัดนาง หรือว่าจะเป็อวี๋ซานที่ในที่สุดก็แสดงออกถึงความโเี้ของบุตรหลานขุนนาง… เฉิงชิงคิดมากมายภายในชั่วพริบตาสั้นๆ บางทีถ้าถูกคนแทงคอเช่นนี้แล้วนางก็จะสามารถกลับไปยังโลกของตนเองได้
พนันสักตาดีไหม?
ตายดีไม่สู้มีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก นางไม่มั่นใจว่าจะสามารถทะลุมิติกลับไปได้!
เฉิงชิงพยายามรักษาความเยือกเย็นอย่างเต็มกำลัง แม้ว่าฟันจะยังคงสั่นกระทบเบาๆ
“เ้าเป็ใคร!”
ปลายดาบเข้าใกล้ลำคอนางขึ้นอีกหนึ่งเฟิน[2] แต่กลับไม่ได้ฟันเข้าในทันที สมองของเฉิงชิงพยายามรักษาความสุขุมมีสติเอาไว้ ในเมื่อไม่ได้ฆ่านางในทันที นางก็ยังคงมีชีวิตอยู่!
“ข้าคือศิษย์ของสถานศึกษาหนานอี๋ วันนี้มาเข้าร่วมงานชุมนุมกลางสารทฤดู เห็นว่าแสงจันทร์สวยดีจึงให้คนบังคับท้ายเรือถ่อเรือมาชมจันทร์ ทำให้ท่านตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว... เป็แค่ความเข้าใจผิดจริงๆ!”
[1] มาจากคำว่า “สาดโคลน” หมายถึงใส่ร้ายป้ายสี
[2] เฟิน คือหน่วยวัดของจีนโบราณ 1 เฟินเท่ากับ 0.33 เิเโดยประมาณ
