ท่าทีที่เปลี่ยนไปของซ่งอี้เฉินจะรอดพ้นสายตาของเหยียนอู๋อวี้ได้อย่างไร? นางยังมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น พูดพลางแย้มยิ้ม “ฝ่าาเพคะ ให้หม่อมฉันลองเดาว่า เหตุใดฝ่าาทรงกริ้วหรือเพคะ?”
ซ่งอี้เฉินวางรังนกไว้ด้านข้าง จับมือและดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ลูบไล้ที่ลำคอของนางแล้ว รู้สึกถึงเืที่สูบฉีดบริเวณคอแล้วพูดเบาๆ “เ้าลองเดาดูสิ”
เหยียนอู๋อวี้เอียงศีรษะมองดูเขา เดิมทีซ่งอี้เฉินคิดว่านางจะเดาออกมา ทว่านางกลับทำทีไม่สนใจและพูดว่า “จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็ต้องเดา หม่อมฉันไม่รู้ว่าฝ่าา้าสิ่งใดกันแน่ และหม่อมฉันมาที่นี่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น นอกจากอยากจะให้ฝ่าาคลายความกังวลลงเท่านั้นเพคะ!”
ซ่งอี้เฉินตกตะลึงครู่หนึ่งแย้มยิ้มแล้วตรัสถามว่า “เ้าจะช่วยข้าคลายกังวลได้อย่างไร?”
“ฝ่าาไม่เชื่อหม่อมฉันหรือเพคะ?” เหยียนอู๋อวี้นั่งตัวตรงอย่างไม่พอใจ หันไปพูดกับป้าโฉ่วว่า “นำสิ่งนั้นออกมาเถิด”
ป้าโฉ่วถวายบันทึกเล่มหนึ่ง ท่ามกลางแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของซ่งอี้เฉิน ป้าโฉ่วเปิดหน้าแรกไว้เบื้องหน้าซ่งอี้เฉิน เมื่อซ่งอี้เฉินเห็นว่าข้อความในบันทึกนั้น รู้สึกแปลกใจที่ข้อความนั้นเหมือนอักษรโบราณ เขาจึงมองไปที่เหยียนอู๋อวี้แล้วตรัสถามว่า “อวี้เอ๋อร์นำสิ่งใดมาให้เจิ้นดู?”
“เป็เทียบยาเพคะ” เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มงดงาม “หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าาทรงกังวลเกี่ยวกับโรคระบาดที่เหอเป่ย ดังนั้นหม่อมฉันได้ข่าวว่ามีนางกำนัลผู้หนึ่งในตำหนักของหม่อมฉันที่มาจากเหอเป่ย อีกทั้งบิดามารดาของนางเป็โรคนี้เสียชีวิต หม่อมฉันจึงสอบถามอาการและปรึกษาป้าโฉ่วเพื่อดูว่ามีวิธีใดที่จะช่วยได้บ้าง นางพบตำรายานี้จากต้นฉบับหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง โดยได้บันทึกโรคที่มีอาการเหมือนกับโรคระบาดในเหอเป่ยตอนนี้ทุกประการ ดังนั้นหม่อมฉันจึงนำมาให้ฝ่าาดูว่าใช้ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามหม่อมฉันรู้ว่าแม้อาการโรคจะคล้ายกัน ทว่าอาจจะเป็โรคต่างกัน หม่อมฉันไม่กล้าประมาทที่จะนำไปใช้เอง จึงให้ฝ่าาทรงตัดสินใจด้วยเพคะ”
เมื่อได้ยินเื่นี้แล้ว ทำให้ซ่งอี้เฉินดีใจมากและไม่สนใจความสงสัยในตัวเหยียนอู๋อวี้เลย จากนั้นรีบปล่อยมือนางทันที ถือบันทึกแล้วอ่านอย่างละเอียดแล้ว รู้สึกลำบากเล็กน้อย จากนั้นเหยียนอู๋อวี้ทูลเสริมทันที “ฝ่าา ทรงพลิกหน้าต่อไป ซึ่งอักษรที่อยู่ข้างหลังนั้นจดบันทึกโดยคนรุ่นหลังเพคะ”
ซ่งอี้เฉินเข้าใจและอ่านอย่างละเอียดทันที อาการที่บันทึกไว้นั้นเหมือนกับอาการของโรคระบาดในเหอเป่ยจริงๆ เขาตรัสอย่างมีความสุข “เจิ้นจะรีบส่งคนไปลองดำเนินการดูทันที หากเป็ไปได้จริง นับเป็ความดีความชอบของอวี้เอ๋อร์ เจิ้นจะตอบแทนเ้าอย่างงามแน่นอน!”
เหยียนอู๋อวี้พูดอย่างมีความสุข “ฝ่าาจะเลื่อนตำแหน่งให้หม่อมฉันเป็เจี๋ยอวี๋ได้หรือไม่เพคะ?”
ซ่งอี้เฉินมองนางด้วยความหมายที่ลึกซึ้งแล้วตรัสว่า “เจี๋ยอวี๋ ยังน้อยไปสำหรับอวี้เอ๋อร์กระมัง
เหยียนอู๋อวี้พูดพลางแย้มยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็ตำแหน่งใด ฝ่าาทรงอย่าลืมตกรางวัลหม่อมฉันด้วยสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีในบันทึกนะเพคะ!”
ซ่งอี้เฉินเห็นด้วยอย่างมีความสุข
เหยียนอู๋อวี้จึงไม่รบกวนและจากไปทันที
ซ่งอี้เฉินอ่านต้นฉบับหนังสือโบราณอีกครั้ง และสั่งให้เว่ยหรูไห่เรียกหมอหลวงมาตรวจสอบทันที นอกจากนี้เขายังให้หมอหลวงคนสนิทของเขามายืนยัน จากนั้นนำเทียบยาไปยังพื้นที่ประสบภัยโรคระบาดทันที
ความจริงแล้วซ่งอี้เฉินไม่มั่นใจเท่าใดนัก ทว่าถึงมีความเป็ไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง เขาคงต้องคว้าโอกาสนี้ไว้
คนของไทเฮาได้เสียชีวิตลงจากโรคระบาดนี้ เป็ถึงเ้ากรมเป็โรคระบาดได้อย่างไร? ต้องมีผู้ใดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเื่นี้แน่นอน ไม่ว่าเป็ผู้ใดก็สามารถไล่เขาออกจากตำแหน่งนั้นได้ กรมการคลังคือส่วนสำคัญด้านการเงินของแคว้นเซวียน หากสามารถควบคุมหน่วยงานนี่ได้ เขามีโอกาสชนะไปกว่าครึ่ง
หลังจากคนสนิทผู้นั้นจากไป ซ่งอี้เฉินก็หันไปมองหมอหลวงที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงถามด้วยเสียงแ่เบา “คราวก่อนที่ตำหนักเฟิ่งชัย เหตุใดเ้าจึงบอกว่าครีมหยกบำรุงผิวนั้นใช้ไม่ได้?”
เดิมทีหมอหลวงคิดว่าตนเองสามารถออกไปได้ ไม่คิดว่าจู่ๆ ซ่งอี้เฉินก็ตรัสถามขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงภารกิจของตนเองในฐานะหมอหลวง จึงก็ทูลตอบอย่างใจเย็น “ทูลฝ่าาครีมหยกบำรุงผิวนั้นเป็ครีมที่ทำจากทองคำจริงๆ ทว่าในขวดยาของเหยียนฉายเหรินมีตัวยาชนิดหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของยาได้ ไม่เพียงแต่ไม่อาจลบรอยแผลเป็ได้ และยังทำให้แผลเน่าเปื่อยและเป็แผลลึกขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์จะไม่รู้ว่าวิธีใช้ครีมหยกบำรุงผิวได้อย่างไร?” ซ่งอี้เฉินนึกถึงคำพูดและการกระทำของป้าโฉ่วเมื่อครู่นี้ และคิดถึงเหตุการณ์และการกระทำของป้าโฉ่วที่ตำหนักเฟิ่งชัยในวันนั้น จึงตรัสถามขึ้นลอยๆ
“ทูลฝ่าา ยาทาต่างๆ มีคุณสมบัติ สูตร และปริมาณที่ต่างกัน ครีมหยกบำรุงผิวเป็ผลิตภัณฑ์ในวังหลวงและผลิตโดยสำนักหมอหลวง ประชาชนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจวิธีการใช้ ก็เป็เื่ปกติพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ความสงสัยในใจของซ่งอี้เฉินก็ค่อยๆ จางหายไป จากนั้นโบกมือเพื่อให้เขาออกไป
เขาไม่ได้สงสัยเหยียนอู๋อวี้ ทว่ามีบางอย่างบนตัวนาง ทำให้เขานึกถึงอวิ๋นอู๋เหยียนยากจะอธิบายได้
ซ่งอี้เฉินรู้สึกผิดต่อนาง ซึ่งเป็สิ่งที่เขายากจะยอมรับมาตลอด
ตอนนั้นเขาใช้กระบี่แทงหน้าอกของนาง ทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางก็จะต้องจากไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลายปีมานี้เขาไม่มีทายาท หรือนี่เป็การลงโทษจาก์หรือเปล่า?
ซ่งอี้เฉินเคยฝากความหวังไว้กับฮวารั่วซี แต่สุดท้ายแล้วฮวารั่วซีก็ทำให้เขาผิดหวัง
หากเหยียนอู๋อวี้.......คือ.......
ก็คงจะดี
เพียงคิดถึงใบหน้าสองคนนั้น ซ่งอี้เฉินก็ล้มเลิกความคิดไป
เขาต้องรับผิดชอบต่อการล่มสลายของตระกูลอวิ๋นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งความจริงแล้วเป็การกระทำของไทเฮา ที่ล้วนแต่ทำเพื่อเขา
ตระกูลอวิ๋นมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนรู้จักแต่ตระกูลอวิ๋นเท่านั้น ไม่รู้จักฮ่องเต้ นั่นเป็เื่ที่อันตรายมาก
หลายครั้งที่เขามักคิดว่า หากอวิ๋นอู๋เหยียนไม่แข็งแกร่ง ไม่กล้าหาญและเก่งในการต่อสู้ขนาดนั้น และอาจเป็เพียงสตรีที่อยู่เหย้าเฝ้าเรือน คอยดูแลสามีและเลี้ยงลูกๆ ความจริงแล้วเขาอาจจะยอมอดทนอยู่กับนาง
อย่างไรมันเป็เพียงภาพลวงตาที่ผุดขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่อาจหนีรอดจากสตรีผู้นี้ได้
จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยหนีจากสตรีคนใดเลย เขานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ก็เป็ผลจากความพยายามของสตรีหลายคนไม่ใช่หรือ?
หรือว่าเขา ซ่งอี้เฉิน ทำได้เพียงพึ่งพาสตรีเท่านั้นหรือ?
ไม่!
ไม่มีทาง!
......
ด้านหนึ่งซ่งอี้เฉินกำลังกำจัดผู้มีความเห็นต่าง อีกด้านหนึ่งเหยียนอู๋อวี้ก็ไม่ได้อยู่ว่างเช่นกัน
หลังจากกลับมาที่ตำหนักเฟิ่งชัยแล้ว เหยียนอู๋อวี้สั่งให้ฉางฮวนติดต่อกับโจวหลู่ชิงทันที และแจ้งให้เขาทราบถึงเื่ที่เกิดขึ้นในวังหลวงวันนี้ โดยให้เขาฝึกนางกำนัลอีกสองสามคนและส่งพวกนางมาหลังเหตุการณ์ในเหอเป่ยผ่านพ้นไปแล้ว
ตำหนักของนางเต็มไปด้วยสายจากที่อื่น และไม่สะดวกในการปฏิบัติการ หากมีคนของนางเองจะปลอดภัยกว่าแม้ว่าคนเหล่านี้อาจไม่ใช่คนของนางจริงๆ ก็ตาม
ไม่กี่วันต่อมา มีข่าวมาจากราชสำนักว่าซ่งอี้เฉินสั่งให้คนของเขาไปที่เหอเป่ย และควบคุมโรคระบาดสำเร็จด้วยเทียบยาที่เหยียนอู๋อวี้มอบให้
ซ่งอี้เฉินไม่ได้ลังเลรีบออกราชโองการ ให้คนสนิทของเขาดำรงตำแหน่งเ้ากรมฝ่ายกรมการคลัง หลังจากได้อำนาจในราชสำนักคืนมา อีกทั้งยังยืมมือไทเฮาเพื่อลดทอนอิทธิพลขององค์หญิงใหญ่ออกจากกรมการคลังอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ สร้างเสถียรภาพให้ตำแหน่งเ้ากรมการคลัง
เหยียนอู๋อวี้รู้สึกประหลาดใจกับเื่นี้มาก
หลังจากซ่งอี้เฉินแฝงตัวอยู่เงียบๆ มาหลายปี แผนการของเขายิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ทันทีที่เขาลงมือประหนึ่งพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ เกรงว่าไทเฮาอาจจะยังไม่รู้รสชาติที่ถูกซ่งอี้เฉินยืมดาบนางและส่งคืนกลับไปกระมัง เพียงแค่ดาบนั้นทื่อกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
อย่างไรก็ตาม เื่ราวตำหนักหลังยังต้องดำเนินต่อไป งานเลี้ยงวันประสูติของซ่งอี้เฉินใกล้จะมาถึง
โดยปกติแล้ววันคล้ายวันประสูติของฮ่องเต้จะต้องมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ทว่าเนื่องจากภัยโรคระบาดในเหอเป่ยเพิ่งสงบลง ซ่งอี้เฉินจึงมีรับสั่งให้จัดงานวันคล้ายวันประสูติอย่างเรียบง่ายและร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับประชาชนในเหอเป่ย การกระทำเช่นนี้จะสามารถชนะใจประชาชนได้อย่างดี
การจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติให้เรียบง่ายไม่ได้หมายความว่าจะไม่จัดขึ้น ก่อนหน้านี้มีการเตรียมการหลายอย่าง ทว่าต้องพยายามทำให้เรียบง่าย ทำอย่างไรให้เรียบง่ายโดยยังคงแสดงถึงพระบารมีของฮ่องเต้กลายเป็เื่น่าปวดหัวสำหรับกรมพิธีการ
ไม่ว่าจะเรียบง่ายเพียงใด อย่างไรก็เป็ฮ่องเต้และหากกรมพิธีการดำเนินการโดยพลการ ซึ่งตอนนี้อาจไม่มีผลอันใด ทว่าในอนาคต อาจกลายเป็เหตุผลให้เหล่าขุนนางวิพากษ์วิจารณ์โจมตีพวกเขาได้
เ้ากรมพิธีการ เ้ากรมการคลัง และเ้ากรมโยธาอาจตกที่นั่งลำบาก ทุกคนต่างรู้สึกว่าหมวกประจำตำแหน่งของพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย