นี่มันคือคำถามอะไรกันน่ะ!
หลิวเฟินไม่เคยเผชิญหน้ากับคำถามประเภทนี้มาก่อน
และไม่เคยมีใครเอ่ยถึงเซี่ยต้าจวินต่อหน้าเธอแม้แต่ครั้งเดียว ั้แ่ผู้ชายคนนั้นหายสาบสูญไปในเดือนเจิง หลิวเฟินก็นึกถึงเขาน้อยลงทุกวัน คนเราจะคิดเรื่อยเปื่อยก็ต่อเมื่อว่างจนไม่มีอะไรทำ และในปัจจุบันหลิวเฟินใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ดี อีกทั้งเธอเองก็ไม่ใช่หญิงชนบทที่ถูกคนข่มเหงรังแกของหมู่บ้านต้าเหอในตอนแรกอีกต่อไปแล้ว
หลิวเฟินในตอนนี้คือคนเคยเห็นโลกกว้างมาแล้ว
เมื่อก่อนหลิวฟางคิดว่าตัวเธอเป็คนที่ได้ดีที่สุดของบ้านหลิว ทว่าตอนนี้หลิวเฟินด้อยกว่าหลิวฟางในตอนนั้นตรงไหน?
หลิวเฟินเคยไปเยือนปักกิ่งแล้ว ทั้งยังเคยเที่ยวชมมหาวิทยาลัยหัวชิงอีกด้วย
เธอเคยมาหยางเฉิงตั้งหลายหน
เขตพิเศษก็เคยมาถึงสองครั้ง
เรียกได้ว่าหลิวเฟินนั้นเคยขึ้นเหนือล่องใต้จนทั่วแล้ว นอกจากนี้เธอยังสามารถมาหยางเฉิงเพื่อรับสินค้าด้วยตนเองได้ หลิวเฟินยังกลัวสิ่งใดอีก?
เธอกลัวอดีตที่ไม่อยากจะนึกถึงเ่าั้
กลัวว่าชีวิตในวันนี้เป็เพียงความฝัน
สำหรับคำถามของทังหงเอินนั้น เธอตอบได้ยากยิ่งนัก เพราะเธอไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน!
ทังหงเอินเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน คำถามนี้ของเขากำลังทำให้คนอื่นลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาทุ่มเททั้งใจให้หน้าที่การงาน จึงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม นอกจากหลิวเฟินแล้ว เขาไม่รู้จักผู้หญิงที่เคยหย่าร้างคนไหนเลย
พอถามออกไปเขาก็เสียใจทีหลัง ทังหงเอินรู้สึกว่าเขากำลังรังแกคนซื่อตรงอย่างหลิวเฟิน และเขาไม่ควรทำความผิดพลาดเช่นนี้
“ขอโทษครับ คำถามนี้ผมไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง ผมไม่ควร...”
“คุณทัง ขอให้ฉันคิดสักหน่อยนะคะ”
หลิวเฟินไม่เคยคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกว่าต้องคิดทบทวนในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี เซี่ยต้าจวินแค่หายสาบสูญ ไม่ได้ล้มหายตายจากไปแล้วเสียหน่อย หากวันใดวันหนึ่งคนคนนี้ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเธอสองแม่ลูกเล่า?
แน่นอนว่าเธอไม่้าใช้ชีวิตร่วมกับเซี่ยต้าจวินอีกแล้ว
สามีที่เมาสุราและทำร้ายภรรยา ในชนบทดูเหมือนหลายคนคิดว่ามันคือสิ่งที่สมเหตุสมผล คือเื่ธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นในทุกครอบครัว ทว่าพอออกจากชนบทสู่เมืองมณฑล หลิวเฟินถึงรู้ว่าโลกภายนอกไม่ใช่แบบนั้นโดยสิ้นเชิง!
ละอย่างอื่นไว้ก่อน ยกตัวอย่างแค่หูหย่งไฉกับภรรยาของเขา คู่สามีภรรยาที่หลิวเฟินคุ้นเคยมากที่สุด
หูหย่งไฉทำงานเป็คนจัดซื้อของบ้านพักรับรองเทศบาลเมืองซางตู ย่อมได้รับเงินเดือนมากกว่าภรรยา แต่พอกลับบ้านไปกล้าตะคั้นตะคอกใส่ภรรยาไหม? อย่าว่าแต่ลงไม้ลงมือเลย แค่ตำหนิอย่างไร้เหตุผลไม่กี่ประโยค ภรรยาของเขาอาจต่อต้านได้เลยทีเดียว ย่าอวี๋กล่าวไว้ ชายและหญิงเหน็ดเหนื่อยในการทุ่มเทให้ครอบครัวเท่ากัน และผู้หญิงก็ไม่ใช่วัวหรือม้าที่ถูกขายให้ครอบครัวฝ่ายสามี ผู้ชายมิสิทธิอะไรมาเงื้อมือทำร้ายภรรยา?
นั่นคือสังคมเก่าก่อนการปฏิวัติ เหล่าสาวใช้ที่ตระกูลของย่าอวี๋ซื้อตัวมา หากถูกดุด่าทุบตีโดยไม่มีเหตุผล ก็จะหมางใจกับเ้านายได้เหมือนกัน
“มนุษย์มีความคิด คนเราไม่ใช่สัตว์เลี้ยง กระทั่งสัตว์ยังเคียดแค้นเป็ ถ้าคนเราเอาแต่ซาบซึ้งในสิ่งดีๆ เล็กน้อยโดยไม่จำว่าถูกกดขี่ เช่นนั้นก็สมควรโดนคนเขาข่มเหงจนตายนั่นแหละ!”
ขณะนี้แิของหลิวเฟินไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ผู้คนและสภาพแวดล้อมที่เธอใกล้ชิดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้นตัวเธอเองย่อมต้องเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
เธอดูเหมือนจะค่อยๆ จัดระเบียบความคิดของตัวเองได้แล้ว
“คุณทังคะ ถ้าพ่อเสี่ยวหลานกลับมาอีก ฉันจะอยู่ให้ห่างจากเขา และไม่ยินดีให้เสี่ยวหลานติดต่อกับเขาด้วย... เสี่ยวหลานจะเชื่อฟังฉันหรือไม่นั้นฉันไม่รู้ แต่ตัวฉันเองคิดแบบนี้ค่ะ”
น้ำเสียงของหลิวเฟินมีความเด็ดเดี่ยวมาก
หากเซี่ยต้าจวินแค่ไม่ดีต่อเธอ หลิวเฟินก็อยู่ห่างจากเขาเป็พอ
ทว่าเซี่ยต้าจวินกลับรักเซี่ยจื่ออวี้เสียยิ่งกว่าบุตรสาวแท้ๆ คราวนี้พอเสี่ยวหลานก้าวหน้าแล้ว เขาจะถ่อมายอมรับลูกสาวอีกครั้ง?
ต่อให้เป็คนซื่ออย่างหลิวเฟิน ก็ย่อมขุ่นข้องทั้งใจเหมือนกัน ขอย้อนถามหนึ่งประโยคว่ากลับมาทำไมเล่า!
เสี่ยวหลานศีรษะแตก นอนนิ่งบนเตียงไร้คนช่วยชีวิต ตอนลมหายใจรวยริน เซี่ยต้าจวินอยู่ที่ไหน? ภายหลังซ่อมทำนบแม่น้ำเสร็จและกลับมา เธอรอคอยให้เซี่ยต้าจวินออกหน้าแทนเสี่ยวหลาน... เซี่ยต้าจวินทำอย่างไรล่ะ!
หลิวเฟินยิ่งคิดยิ่งโมโห จิตใจของทังหงเอินก็รู้สึกหนักอึ้งพอสมควร
ทังหงเอินถามเหตุผลจากหลิวเฟิน หลิวเฟินจึงเล่าสองเหตุการณ์คร่าวๆ หลังจากนั้นก็สรุปออกมาหนึ่งประโยค
“เขาไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่พ่ออย่างสุดความสามารถ!”
เมื่อก่อนหลิวเฟินไม่อาจพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่เดี๋ยวนี้เธออ่านหนังสืออยู่เสมอ เป็เพราะเธอพัฒนาในการเรียนรู้นี่เอง
จิตใจของทังหงเอินหนักอึ้งจมดิ่งโดยสมบูรณ์
นี่คือทัศนคติของผู้หญิงที่หย่าร้าง?
พอทังหงเอินเงียบ บรรยากาศระหว่างทั้งสองก็ตึงเครียดขึ้นมาก หลิวเฟินไม่ใช่คนช่างเจรจา ดังนั้นจะให้เธอสร้างความสดชื่นแจ่มใสแก่บรรยากาศเช่นนี้ได้อย่างไร? เมื่อทังหงเอินเงยหน้าก็เห็นหลิวเฟินดูประหม่าอย่างหนัก เฮ้อ นี่เขากำลังทำอะไร ทำสหายหลิวเฟินกลัวหมดแล้ว! สีหน้าเคร่งขรึมของทังหงเอินนั้นค่อนข้างน่ากลัว ราศีของ ‘บุคคลผู้มีตำแหน่งสูง’ ที่ใครๆ ว่า บางทีก็ทำให้คนรอบข้างไม่กล้าพูดอะไรออกมาจริงๆ
ยามทังหงเอินผิดปกติธรรมดาไป แม้แต่เ้าของกิจการใหญ่จากฮ่องกงอย่างหลิวเทียนเฉวียนยังไม่กล้าเข้าใกล้ หลิวเฟินเป็เพียงหญิงชนบทผู้สัตย์ซื่อจึงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกหวั่นเกรง
“เื่ราวไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คุณคิดหรอกครับ อันที่จริงก็เป็เื่ส่วนตัวของผมเอง จึงอยากขอความคิดเห็นจากคุณสักหน่อย เป็เพราะผมใจร้อนชั่ววูบจนเลินเล่อ แต่ความจริงไม่ได้มีเจตนาดูิ่สหายหลิวเฟินอย่างแน่นอน... เอาเป็ว่าอย่างนี้นะครับ สถานการณ์ตอนนี้ของผมอาจค่อนข้างคล้ายกับสามีเก่าของคุณ ผมอยากทราบความคิดของผู้หญิงอย่างพวกคุณภายใต้สถานการณ์แบบนี้น่ะครับ”
เมื่อได้รู้แล้ว ทว่าไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีนัก
ที่ทังหงเอินยอมอธิบายเพิ่มเติม เพราะหลิวเฟินช่วยเขา ทำไมเขากลับทำให้คนอื่นกลัวแทนเล่า?
หลิวเฟินรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ จากนั้นจู่ๆ เธอก็มีการตอบสนอง สถานการณ์ของนายกเทศมนตรีทังค่อนข้างคล้ายกับเซี่ยต้าจวิน หรืออีกนัยหนึ่งคือนายกเทศมนตรีทังหย่าแล้วเช่นกัน?!
ผู้บริหารใหญ่บอกเล่าเื่ส่วนตัวแบบนี้แก่เธอกะทันหัน หลิวเฟินไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี!
อันที่จริงทังหงเอินไม่ได้คิดมากสักเท่าไร
เขาเป็เ้าคนนายคน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าต้องครองตัวสูงส่งต่อหน้ามวลชนเสียหน่อย อีกทั้งหลิวเฟินไม่ใช่คนที่ทำงานให้เขา ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่เป็เพราะเขารีบเร่งถามเื่ส่วนตัวของคนอื่นโดยขาดการไตร่ตรอง ดังนั้นจะเล่าเื่ส่วนตัวของตนเองออกมาบ้างไม่ได้ปกติหรอกหรือ?
นี่เป็การให้เกียรติเท่าเทียมกันอย่างหนึ่ง!
หลิวเฟินสับสนอยู่นานสองนาน เมื่อทราบเื่ส่วนตัวของข้าราชการใหญ่แล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างยิ่ง
นอกจากนี้ทังหงเอินยังอยู่ในฐานะของชายที่หย่าร้าง สิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องนัก?
ทังหงเอินสั่งให้เสี่ยวหวังขับรถส่งหลิวเฟินกลับไป ก่อนกลับในที่สุดหลิวเฟินก็เค้นออกมาได้หนึ่งประโยค
“คุณทัง คุณเคยทำร้ายร่างกายภรรยาไหมคะ?”
“...ไม่ครับ”
“แล้วคุณรักลูกไหมคะ?”
ทังหงเอินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ใจรักครับ แต่ไม่มีโอกาสได้รัก”
หลิวเฟินรู้สึกโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ของพวกเราไม่เหมือนกันหรอกค่ะ ภรรยาคุณ... อดีตภรรยาคุณจะไม่กีดกันคุณในการติดต่อกับลูกอย่างแน่นอน”
พอพูดถึงอดีตภรรยาสองคำนี้ หลิวเฟินรู้สึกกดดันเหลือเกิน คาดไม่ถึงว่าข้าราชการใหญ่ก็ประสบชีวิตแต่งงานไม่ราบรื่นเหมือนประชาชนคนธรรมดาได้เช่นกัน
----------------------------------------
วันสุดท้ายของการหยุดวันชาติ นักศึกษาหนิงเสวี่ยยังคงไม่กลับมหาวิทยาลัย
เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่อาจผัดผ่อนได้อีกเหมือนกัน เธอซื้อผลไม้เล็กน้อยไปยังบ้านของโจวเฉิง
ครั้งก่อนมีโจวเฉิงนำ ทำให้เธอสามารถเข้าต้าเยวี่ยนได้อย่างง่ายดาย ครั้งนี้เธอมาด้วยตนเอง จึงต้องลงทะเบียนและถูกซักถามก่อนเข้า แม้เธอจะจำเลขที่บ้านของโจวเฉิงได้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นพอคนแปลกหน้าสักคนมาเยือนก็สามารถเข้าบ้านเ้านายเพื่อก่อความรำคาญได้ตามใจชอบไม่ใช่รึ?
เซี่ยเสี่ยวหลานถึงกับคิดจะวางของไว้ที่ป้อมยามรักษาการณ์ ทว่าคุณป้าเจิงประจำบ้านโจวได้เดินออกมา และพาเซี่ยเสี่ยวหลานกลับเข้าไปภายในบ้าน
“คุณเซี่ย นั่งก่อนสิคะ เดี๋ยวฉันรินน้ำให้ค่ะ”
ป้าเจิงวิ่งวุ่นไปมา เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก
แม้วันนี้ยังคงเป็วันหยุดวันชาติ ทว่าคนงานยุ่งอย่างโจวกั๋วปินจะมีวันหยุดเต็มที่อย่างแท้จริงเสียที่ไหน โจวกั๋วปินมีงานยุ่ง กวนฮุ่ยเอ๋อเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าสามีสักเท่าไร วันนี้หน่วยงานมีธุระกะทันหันและได้เรียกตัวเธอไปจัดการอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น การมาบ้านโจวครั้งนี้จึงไม่ต้องเผชิญหน้ากับพ่อแม่ของโจวเฉิงสินะ?
อย่าว่าประธานเซี่ยขี้ขลาดเลย เธอไม่้ามีข้อพิพาทกับกวนฮุ่ยเอ๋ออีก อย่างไรเสียคราวก่อนทั้งสองคนก็คุยกันไม่ค่อยดีนัก
เซี่ยเสี่ยวหลานนั่งสักพักก็ตัดสินใจจะกลับ ทว่าป้าเจิงพยายามชวนเธออยู่ต่อเพื่อรับประทานอาหารกลางวันให้ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานออกจากบ้านโจวอย่างยากเย็น ขณะเดียวกันกวนฮุ่ยเอ๋อกำลังสนทนากับสตรีวัยกลางคนนางหนึ่งพลางเดินเข้าบ้าน ทั้งสองฝ่ายจึงเจอะกัน!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้