บทที่ 129 การรวมตัวของพยัคฆ์และั
ลมหนาวพัดผ่าน เหมันต์กำลังมาเยือน
เมืองชุยเสวี่ยมีชีวิตชีวามาก ฝูงชนพลุกพล่าน นักรบหนุ่มจากทุกทิศปรากฏตัวไม่ขาดสาย ผู้แข็งแกร่งหลายคนได้รับเชิญให้ชมงานแต่งสุดยิ่งใหญ่ของตระกูลฉู่
ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงเจ็ดวันก่อนถึงวันแต่งงาน
แต่ใน่เวลานี้ก็มีข่าวแพร่กันในเมืองว่า คนงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของตระกูลฉู่ยังคงไม่เลือกใครเป็สามีและปิดประตูสนิทไม่รับแขก ช่างลึกลับยิ่งนัก
ยิ่งลึกลับและสวยงามมากเท่าใด มันก็ยิ่งกระตุ้นความสนใจของผู้คนมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนสืบข่าวมาว่า ฉู่เจิ้นหนานกำลังหัวหมุนวุ่นวายอยู่กับการจัดงานเลี้ยงเชิญกลุ่มอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากเมืองชุยเสวี่ยมารวมตัวกันเพื่อหารือ
แน่นอนว่าทั้งชายและหญิงสามารถเข้าร่วมในการชุมนุมนี้ได้ แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นคือต้องได้รับเทียบเชิญจากฉู่เจิ้นหนานก่อน จึงจะมีสิทธิ์เข้างานได้
ความหมายนี้ชัดเจนมาก หาก้าเทียบเชิญนั้น ต้องให้ของขวัญกับฉู่เจิ้นหนาน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะย่างก้าวเข้าประตู
แม้ว่านี่จะเป็กับดักอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีหญิงสาวชายหนุ่มจำนวนมากที่มุ่งมั่นจะทำตามและพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้ได้รับเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ของเมืองชุยเสวี่ยในครั้งนี้
เพราะทุกคนต่างก็ได้ข่าวมาว่าคนงามอันดับหนึ่งจากตระกูลฉู่จะปรากฏตัวในการรวมตัวกันครั้งนี้!
เมื่อคนงามปรากฏ สรรพชีวิตย่อมยอมหมอบ!
สำหรับตัวเลือกเ้าบ่าวหลายๆ คน นี่เป็โอกาสดีที่จะได้ใกล้ชิดกับนางและอาจเป็โอกาสเดียวด้วย! พวกเขาอยากจะได้รับความโปรดปรานจากเทพธิดาอย่างยิ่ง
สำหรับนักรบหญิงบางคน พวกนางเพียง้าดูว่าคนงามนี้งามสมคำร่ำลือ หรือไม่? ที่บอกว่านางงดงามมากดุจเทพธิดาจำแลงจาก์ หนึ่งยิ้มครองเมือง
นอกจากนี้เมื่ออัจฉริยะมารวมตัวกัน บางคนย่อมเกิดความริษยาคนงาม อาจเกิดเื่ทะเลาะกันระหว่างพยัคฆ์และั การแสดงที่น่าสนใจก็จะโหมโรงขึ้นทีละคู่
เมืองชุยเสวี่ย สวนด้านหลังของจวนตระกูลเสวี่ย
“ย๊า--!”
ด้วยเสียงะโอันดัง ฉู่อวิ๋นลุกขึ้นยืนและกระแทกฝ่ามือข้างหนึ่งไปทางทะเลสาบ ทันใดนั้น ก็เกิดัพุ่งคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงอันแข็งแกร่งพุ่งออกมา จากฝ่ามือ แสงสีทองสว่างไสว พลังองอาจอย่างไม่มีใครเทียบได้
รอยฝ่ามือกระทบกับทะเลสาบราวกับัทองที่พุ่งลงไปในน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นน้ำรุนแรงะเิขึ้นสู่ท้องฟ้า
จากนั้น ดูเหมือนทะเลสาบเล็กๆ ก็คล้ายจะเหือดแห้ง กลายเป็หยาดฝนตกลงมาจากท้องฟ้าทีละหยด ทำให้เกิดหมอกพิรุณโปรยปราย
“แย่แล้ว กระบวนท่าที่สามของฝ่ามือัพเนจรนี้มีพลังที่น่ากลัวมากจนะเิทั้งทะเลสาบได้ในครั้งเดียว”
ฉู่อวิ๋นเกาหัวอย่างงุนงงเล็กน้อย และยืนกุมมือเอาไว้
ในที่สุด เขาก็ฝึกฝนฝ่ามือัพเนจรกระบวนท่าที่สามเก้าัเขย่านภาสำเร็จ ผนึกฝ่ามือทั้งเก้ารวมเป็หนึ่งเดียวกันได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพร์ของพลังปราณไฟหยาง ทำให้ฝ่ามือัพเนจรมีปราณไฟร่วมด้วย พลังนี้จึงค่อนข้างน่ากลัวและไม่อาจมีใครเทียบได้
“หึ เ้าหนูไม่แย่นี่หว่า พลังฝ่ามือของเ้าในตอนนี้เป็หนึ่งในล้านของที่ข้ามีในตอนนั้น” โยวกู่จือกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ผู้าุโ ข้าย่อมเชื่อในสิ่งที่ท่านพูดแน่นอน ข้ายังรอคอยวันที่ท่านจะกลับมาสู่จุดสูงสุด แม้ว่าจะผ่านไปหลายร้อยปีก็ตาม” ฉู่อวิ๋นพูดประชด เดินออกจากลานบ้านแล้วะโกลับไปที่ห้อง
“เ้าหนูสารเลว! ถ้ายังกล้าหัวเราะเยาะข้าอีก ข้า... ข้าจะ... ช่างเถอะ ข้าค่อยมาจัดการกับเ้าทีหลัง” โยวกู่จืออ่อนข้อให้ ตอนนี้บอกได้เลยว่าวงแหวนอวกาศของฉู่อวิ๋นคือสิ่งเดียวที่เขาพึ่งพาได้ในตอนนี้
ไม่นานมานี้ พอฉู่อวิ๋นแอบเข้ามาในจวนตระกูลเสวี่ย ก็ทำให้โยวกู่จือหวาดกลัวมากจนไม่กล้าพูดอะไรสักคำ เพราะกลัวว่าจะถูกผู้แข็งแกร่งของจวนตระกูลเสวี่ยพบเข้า
จากนั้นไม่นาน โยวกู่จือก็เปลี่ยนหัวข้อและถามว่า “แต่ว่าเื่พี่สาวเ้า เ้าจะทำอย่างไร?”
“ทำอย่างไร? แน่นอนว่าต้องช่วยนางสิ” ฉู่อวิ๋นตอบอย่างไม่ลังเลด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แต่ในเวลานี้ เมื่อคิดว่าฉู่ซินเหยาอาจถูกกักบริเวณในบ้านและต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย เขาก็รู้สึกเ็ปในใจอย่างมากจนถึงกับคิ้วขมวด
ใน่สองวันมานี้ จากปากของเสวี่ยหรูเยียน ฉู่อวิ๋นได้รับรู้มากมายเกี่ยวกับฉู่ซินเหยา และรู้ว่ายามนี้นางอยู่ที่เรีอนพักในเมืองชุยเสวี่ย
เรือนหลังนี้ชื่อกลิ่นกำจร ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ เป็จวนตระกูลเสวี่ยที่จัดการหาให้ตระกูลฉู่ และสถานที่แห่งนี้ยังเป็ที่ตั้งมั่นของฉู่เจิ้นหนานด้วย
หลังจากทราบข่าว เดิมทีฉู่อวิ๋นคิดวางแผนที่จะไปสืบเสาะดู แต่เมื่อลองตรองดูแล้ว ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ได้
เพราะเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในเรือนกลิ่นกำจร ั้แ่แผนผังโครงสร้างอาคารไปจนถึงระบบนักรบทหารยาม
หากรีบรุดเข้าไปแล้วไปเจอกับผู้แข็งแกร่งจากขั้นพื้นพิภพเข้า นั่นไม่ใช่ว่าพาตนเองไปตกหลุมพราง รนหาที่ตายหรอกหรือ?
ไม่ต้องพูดถึงนักรบขั้นพื้นพิภพ แค่เผชิญหน้ากับฉู่เจิ้นหนานด้วยตัวเอง ฉู่อวิ๋นก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้ ท้ายที่สุด แม้ว่าเขาจะฝึกฝนพายุยุทธ์ระดับห้าได้แล้ว ความแข็งแกร่งก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควรก่อนจะกลับสู่ขั้นมหาสมุทร
ฉู่อวิ๋นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้นำตระกูลหลักเลย เขารู้แค่ว่าอีกฝ่ายเป็นักรบขั้นมหาสมุทรระดับสูง
“พรุ่งนี้ข้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้! บางทีอาจจะได้เจอพี่หญิงก็ได้”
ฉู่อวิ๋นบอกกับตัวเอง เขาเพิ่งได้รับข่าวว่าฉู่เจิ้นหนานจัดงานเลี้ยงขึ้น ไม่ว่าจะเป็การช่วยคนหรือไปสืบเบาะแสล้วนเป็โอกาสดีที่ไม่ควรพลาด
โชคดีที่ตอนนี้เขาแอบเข้ามาในจวนตระกูลเสวี่ยแล้ว ต้องขอบคุณอำนาจของตระกูลเสวี่ย เขาถึงได้พึ่งโชคเข้าร่วมงานเลี้ยงเรือนกลิ่นกำจรพร้อมสองพี่น้องตระกูลเสวี่ยในวันพรุ่ง
“เ้าหนู ข้าไม่ได้จะบั่นทอนเ้าหรอกนะ แต่ในงานนี้มีอัจฉริยะมากมาย ย่อมมีผู้แข็งแกร่งคอยดูแลเรือนกลิ่นกำจรอย่างลับๆ เป็แน่”
“หรือเ้าอยากจะช่วยพี่สาวของเ้าออกมาต่อหน้าทุกคน?”
โยวกู่จือถอนหายใจเล็กน้อย คิดในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าพายุยุทธ์ระดับห้าของฉู่อวิ๋นเป็อย่างไร แต่ในฐานะผู้าุโเมื่อพันปีก่อน เื่พื้นฐานเกี่ยวกับความแข็งแกร่งพวกนี้เขายังพอมีอยู่บ้าง
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉู่อวิ๋นเพียงพอที่จะรับมือกับนักรบระดับต่ำขั้นมหาสมุทร แต่กับศัตรูที่มีระดับการฝึกฝนที่สูงกว่านั้น ยังไม่ทราบผลลัพธ์แน่ชัด
“มาถึงตอนนี้แล้ว เราทำได้แค่ก้าวไปทีละก้าว อย่างน้อยต้องพบพี่หญิงก่อน”
ฉู่อวิ๋นถอนหายใจด้วยความหวาดหวั่นพลางกำหมัดแน่น
จากนั้น เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผู้าุโ คราวนี้ข้าจะเข้าไปในถ้ำเสือ มีอันตรายซุ่มอยู่รอบด้าน อาจถูกเคราะห์เข้าจริงๆ หากข้าไม่สามารถตามหาเชื้อสายของท่านได้ ต้องขออภัยด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ โยวกู่จือก็ะโ เชอะ! ข้าโชคร้ายมานับพันปีแล้ว และตอนนี้ก็โชคดีอยู่ ตราบใดที่มีข้าอยู่ เ้าหนู เ้าย่อมเปลี่ยนเคราะห์เป็โชค เปลี่ยนวิกฤติเป็โอกาสได้แน่!”
ได้ยินเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็ยกยิ้ม เขารู้ว่าตาเฒ่าคนนี้ให้กำลังใจเขา
จากนั้น ฉู่อวิ๋นก็ไม่คิดอะไรอีก เริ่มเปิดใช้งานิญญายุทธ์กระบี่บาป์ ใช้เวลานี้ในการฝึกฝนและเตรียมพร้อมสำหรับการรวมตัวครั้งใหญ่ในวันพรุ่งนี้
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ท้องนภาแจ่มใสไร้เมฆฝน
ในวันนี้ ข่าวการเริ่มงานเลี้ยงของเรือนกลิ่นกำจรแพร่กไปทั่วสารทิศ!
เมืองชุยเสวี่ยตกอยู่ในความวุ่นวาย หลายคนมาที่นี่ทันทีหลังจากทราบข่าว ก่อนรีบไปยังบริเวณเรือนกลิ่นกำจร ก่อตัวเป็คลื่นมนุษย์ คึกคักไปด้วยผู้คน มีชีวิตชีวา ทั้งยังแออัดยิ่งนัก
ผู้คนนับไม่ถ้วนยืนเขย่งเท้าข้ามหัวกันวุ่นวาย หวังว่าจะได้เห็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ประตูเรือนแห่งนี้
สถานที่นี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คน การสัญจรพลุกพล่านและแออัดจนดูเบียดเสียด เป็เหตุการณ์สำคัญที่ไม่เคยมีมาก่อน
“กุบกับ--!”
เสียงกีบม้าดังอึกทึก สัตว์มีเขาสีดำสองตัวลากรถม้าเข้ามา ที่้าของรถม้ามีกระบี่ขนาดใหญ่สามเล่มเสียบอยู่ รูปทรงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสง่างามอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น ชายหนุ่มผมม่วงก็เชิดหน้ายืดกายก้าวเท้าออกมาจากรถม้า สายตาที่เ็ากวาดมองไปรอบๆ และแอบสบถในใจ “พวกขยะ” จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปในเรือนกลิ่นขจร
“เขาคนนี้คือนายน้อยแห่งเคหาสน์เขากระบี่! เขามาที่เมืองชุยเสวี่ยด้วยหรือ?” มีคนจำชายหนุ่มผมม่วงผู้นี้ได้ เขาดูตื่นเต้นมาก
“ว่ากันว่าคนในเคหาสน์เขากระบี่ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหายอดกระบี่จนชีวิตหาไม่ ไม่คิดเลยว่านายน้อยของที่นั่นเองก็จะถูกผู้หญิงคนนี้ดึงดูดด้วย!” บางคนอุทาน
“กุบกับ—!”
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็คชสารเขาัสี่เชือกที่วิ่งมาอย่างดุเดือด ฝุ่นควันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยความดุดัน
รูปลักษณ์ของรถม้าเองก็ค่อนข้างดุร้าย มันมีรูปร่างเหมือนวัวป่า สองเขายกขึ้นเป็แนวนอน พระอาทิตย์ส่องแสงกระทบ มีบรรยากาศวังเวงแผ่ออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเ้าของรถม้าคันนี้จะต้องแข็งแกร่งและโหดร้ายมากเป็แน่
“กึก!”
แน่นอนว่าเป็ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งราวกับวัวคนนั้นเตะเปิดประตูรถม้าแล้วะโลงมา กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาเป็มัดๆ
ชายหนุ่มคนนี้ไม่สนใจเสียงโห่ะโของฝูงชน เขาเดินตรงไปที่ลานเรือน
“อัจฉริยะของเผ่าปีศาจวัวก็อยู่ที่นี่ด้วย!” มีคนบอกที่มาของชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งคนนี้
“ว้าว! ไม่...ไม่ใช่กระมัง?! พวกเ้าดูสิ!” ทันใดนั้นก็มีคนชี้ไปที่ด้านในรถม้าที่คล้ายวัวแล้วอุทานออกมาเสียงดัง ทำให้คนอื่นๆ เงยหน้าขึ้นมามอง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทุกคนก็วุ่นวายขึ้นมาทันที
มองเห็นหญิงงามสองคนนอนเปลือยกายอยู่ในรถม้า
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่าชายหนุ่มที่แข็งแกร่งคนนี้เกินคาดยิ่งนัก! ออกมาจากบ้านก็ยังไม่ลืมพาสองหญิงงามมาเล่นสนุก!
หลังจากการมาถึงของรถม้าหรูหราทั้งสองคันนี้ บรรยากาศก็เริ่มร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหญิงหลายคนก็เริ่มทยอยกันมาถึง
แต่ละคนมีรัศมีที่โดดเด่นและมีภูมิหลังที่ลึกซึ้ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนเป็คนหนุ่มสาวที่มีความโดดเด่น ทั้งยังมีความเย่อหยิ่งที่ทำให้ฝูงชนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ไม่คิดว่างานแต่งของตระกูลฉู่จะรวบรวมอัจฉริยะได้มากมายเช่นนี้ ปกติไม่ค่อยจะเคยเห็น!
“กุบกับ--”
พื้นดินสั่นะเื และอีกครู่หนึ่ง รถม้าทองคำดำก็มาถึง รูปทรงรถม้างดงามมาก ประดับด้วยแร่ผลึกน้ำแข็ง ดูหรูหราสง่างาม
รถม้าคันนี้ไม่แปลกตาสำหรับคนที่นี่ เพราะนี่คือรถม้าพาหนะสำหรับตระกูลเสวี่ย
ทันใดนั้น ชายหญิงคู่หนึ่งก็ก้าวลงมาช้าๆ พวกเขาทั้งบอบบางและสวยงาม ผิวขาวราวหิมะ ท่าทางและการเคลื่อนไหวดูสูงศักดิ์และสง่างามมาก จนรู้สึกเหมือนเป็สายลม่วันสารท
“คุณชายชุยเสวี่ยกับคุณหนูชุยเสวี่ยก็มาถึงแล้ว!”
ไม่มีใครแปลกใจกับการปรากฏตัวคนทั้งคู่ เพราะทุกคนรู้ว่าเสวี่ยหานเฟยจะมาที่นี่ทุกวัน ทั้งยังเป็เด็กหนุ่มผู้มีพร์ที่กระตือรือร้นที่สุดในการไล่ตามเทพธิดาของตระกูลฉู่
แต่ในยามนี้เอง ก็มีชายหนุ่มสวมหน้ากากก้าวลงมาจากรถม้าทองคำดำของตระกูลเสวี่ยด้วย
เขาสวมชุดหนังสัตว์ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูเป็อิสระและลึกลับ เดินเข้าไปในเรือนกลิ่นกำจรด้วย
“เด็กหนุ่มคนนี้คือใคร? คนป่าจะเดินร่วมทางกับพี่น้องตระกูลเสวี่ยผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไร?” หลายคนสับสน ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“เ้านี่โง่จริง ว่ากันว่าเมื่อเร็วๆ นี้ จวนตระกูลเสวี่ยได้รับอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากตระกูลโบราณมา! ข้าได้ยินมาว่าเขามีพลังที่แข็งแกร่งมาก และมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณหนูตระกูลเสวี่ย อาจเป็ลูกเขยในอนาคตของตระกูลนี้ก็ได้!”
“์! ที่มายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย?!” มีคนปิดปากอุทาน
“เดี๋ยวนะ!"
ทันใดนั้นก็มีคนะโขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจำเขาได้! เด็กป่าคนนี้ไม่ใช่คนที่เพิ่งขายวัตถุดิบยาหายากถุงใหญ่หลายใบให้ร้านปรุงยาหรอกหรือ?”
“อะไรนะ?!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ตื่นเต้นมาก หลายคนเคยได้ยินข่าวและสนใจคนคนนี้มาก แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าชายลึกลับคนนี้จะเป็แขกของจวนตระกูลเสวี่ย!
ดูเหมือนว่างานเลี้ยงครั้งนี้ จะเป็การรวมตัวของพยัคฆ์และัจริงๆ!