ในสายตาของเขา แทบจะไม่มีใครปฏิเสธที่จะคบค้าสมาคมกับสกุลถัง เฉกเช่นเดียวกับเหตุผลที่ว่าคนบนโลกนี้ไม่มีใครไม่ชอบเงิน แต่นางกลับปฏิเสธ...ช่างน่าประหลาดจริงๆ!
ทว่ายังมีความเป็ไปได้อีกชนิดหนึ่ง คนทั้งสองอาจมาจากครอบครัวไม่ธรรมดาสามัญเหมือนกัน ดังนั้นไม่เห็นสกุลถังอยู่ในสายตา
ถังเจิ้นอวี่อดที่จะบังเกิดความสนใจต่อคนทั้งสองมากขึ้นไม่ได้
ริมฝีปากสีผลอิงของถังไน่ไน่เบ้ออกด้วยความรู้สึกผิดหวัง “พี่สาว ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าและพี่สามล้วนเป็ผู้ชื่นชอบในหมากล้อม เห็นพวกท่านสวมอาภรณ์คล้ายคลึงกับเซียนหมากผมเงินและแม่นางเฟิงเหลือเกิน จึงคิดว่าพวกท่านจะต้องเป็ผู้ชื่นชอบหมากล้อมเช่นเดียวกัน การเดินทางอีกยาวไกล น่าเบื่อจะแย่ จึงคิดจะเชื้อเชิญพวกท่านขึ้นรถม้าเดินหมากร่วมกันสักกระดานเพื่อเป็การฆ่าเวลา หากพี่สาวยังเป็กังวลใจ เช่นนั้นข้าย่อมไม่ฝืนใจ”
ที่แท้้าเชิญพวกเขาขึ้นรถม้าเพื่อเดินหมาก...
เฟิ่งเฉี่ยนหันไปตวัดสายตามองซือคงเซิ่งเจี๋ยปราดหนึ่ง เห็นเขาไม่มีความเห็นเป็อื่นจึงตอบว่า “เป็ข้าที่ตัดสินคน ใจคอกว้างขวางด้วยจิตใจอันคับแคบของตนเองเสียแล้ว ในเมื่อแม่นางเปิดอกเชื้อเชิญ เช่นนั้นพวกเราไม่เกรงใจแล้ว”
ถังเจิ้นอวี่เห็นนางถ่อมตนและรู้มารยาท รู้จักรุกและถอยอย่างเหมาะพอควร จึงบังเกิดความรู้สึกดีต่อนางขึ้นมาอีกหลายส่วน เขาสั่งให้ให้คนหยุดรถม้าแล้วเชิญคนทั้งสองขึ้นรถม้า
คนด้านหลังรถม้าที่เห็นคนทั้งสองก้าวขึ้นไปบนรถม้าแต่ละคนอิจฉาแทบแย่ รู้สึกว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกิน!
เฟิ่งเฉี่ยนและซือคงเซิ่งเจี๋ยก้าวขึ้นไปบนรถม้า สองพี่น้องสกุลถังเว้นที่นั่งฝั่งซ้ายของรถม้าออกมาให้ทันที เฟิ่งเฉี่ยนนั่งลง ซือคงเซิ่งเจี๋ยจับจ้องที่นั่งแล้วขมวดคิ้ว ลังเลไม่ยอมนั่งลง ชัดเจนเหลือเกินว่าเขารังเกียจว่าที่นั่งไม่สะอาดสะอ้าน
บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
เฟิ่งเฉี่ยนลอบถลึงตาใส่เขา เขาจะก่อกวนไปถึงไหน
ทว่าซือคงเซิ่งเจี๋ยกลับพูดขึ้นมาราวกับเป็เื่ธรรมดาๆ ว่า “ที่นั่งของข้า อย่างน้อยต้องใช้ผ้าไหมสีขาวสิบหมื่นเช็ดสิบรอบ กระทั่งบนผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาว...อ๊าก เอามือสกปรกของเ้าออกไปนะ!”
ไม่รอให้เขาโวยวายจนจบ เฟิ่งเฉี่ยนกระชากแขนของเขานั่งลงบนที่นั่งทันที!
รำคาญที่สุดก็คือบุรุษรักความสะอาดแล้วยังเื่มากเช่นเขานี่แหละ!
ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากสีผลอิงเล็กๆ ของถังไน่ไน่แย้มออกเป็เสียงหัวเราะ “พี่สาว พวกท่านรักกันดีเหลือเกิน!”
เฟิ่งเฉี่ยนและซือคงเซิ่งเจี๋ยต่างตกตะลึง พวกเขาประสานสายตากันแล้วพูดพร้อมๆ กันว่า “ข้าและเขา/ข้าและนางไม่สนิทกัน!”
พูดจบ คนทั้งสองต่างถลึงตาใส่กัน
ถังไน่ไน่เห็นทางราวกับเป็คู่แค้นของทั้งคู่แล้วยิ่งเชื่อเข้าไปอีกว่าพวกเขาเป็คู่รักกัน นางหัวเราะฮิๆ แล้วกล่าวว่า “ดูการแต่งกายของพวกท่านคล้ายคลึงกับซือคงเซิ่งเจี๋ย เซียนหมากล้อมผมเงินในตำนาน ยังมีการแต่งกายของแม่นางเฟิงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหมากล้อม พวกท่านเป็ผู้ชื่นชอบในหมากล้อมเช่นกันกระมัง”
“โอ๊ะ...” เฟิ่งเฉี่ยนและซือคงเซิ่งเจี๋ยสบตากันปราดหนึ่ง พวกเขาควรจะอธิบายอย่างไรดี ที่จริงพวกเขาก็คือเซียนหมากล้อมผมเงินและแม่นางเฟิงตัวเป็ๆ นั่นแหละ
กิริยาตอบสนองของพวกเขาตกอยู่ในสายตาของถังไน่ไน่ กลายเป็การอธิบายอีกแบบหนึ่ง นางไพล่เข้าใจไปว่าพวกเขารู้สึกขัดเขินที่การเลียนแบบของพวกเขาถูกเปิดโปง
ถังไน่ไน่พูดอีกว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก มีการประลองหมากล้อมที่เปิดโลกทัศน์ใหม่ในเมืองมู่หยาง ผู้ที่เดินหมากฝ่ายหนึ่งคือ ซือคงเซิ่งเจี๋ย เซียนหมากล้อมผมเงิน ซึ่งก็คือนักเดินหมากที่พี่สามของข้าเลื่อมใสยิ่งนัก น่าเสียดายที่ข้าและพี่สามอาศัยอยู่ในเมืองเทียนเซียง จึงเดินทางไปดูการประลองไม่ทัน แต่ต่อมาได้ยินผู้ที่ได้ดูการประลองด้วยตนเองเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น รวมไปถึงการเดินหมากทุกๆ ก้าวของทั้งสองฝ่าย ข้าและพี่สามต่างฟังกันอย่างติดอกติดใจ นับั้แ่นั้น บุคคลในดวงใจของข้าและพี่สามก็เพิ่มเข้ามาอีกคน นางก็คือแม่นางเฟิง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของวงการหมากล้อมที่เอาชนะซือคงเซิ่งเจี๋ยนั่นเอง!”
ได้ยินเช่นนั้นริมฝีปากของเฟิ่งเฉี่ยนโค้งลง ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นเห็นเป็ไอดอลก็ไม่เลวเลยทีเดียว
เสียงหัวเราะของซือคงเซิ่งเจี๋ยดังขึ้นข้างกาย เฟิ่งเฉี่ยนตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่งด้วยความลำพองใจ
ถังไน่ไน่พูดต่อ “พี่สามของข้าชอบเดินหมากล้อมที่สุด หลังจากได้ตำราหมากล้อมที่พวกเขาประลองกันในวันนั้น ก็เริ่มศึกษาวิเคราะห์โดยไม่ยอมหลับยอมนอนทั้งวันทั้งคืน ตลอดทางที่เดินทางมาก็ไม่ได้หยุดศึกษา...”
เฟิ่งเฉี่ยนสังเกตอุปกรณ์การเดินหมากภายในรถม้า ดูแล้วเป็ผู้ชื่นชอบในหมากล้อมจริงๆ
ถังไน่ไน่เสนอความเห็นอย่างกระตือรือร้น “อย่างไรก็ไม่มีอะไรให้ทำ ไม่สู้พวกเรามาเดินหมากกันสักกระดานหนึ่งกระมัง”
คำพูดของนางเพิ่งจะจบลง ซือคงเซิ่งเจี๋ยกลับมาโยนคำพูดออกมาประโยคหนึ่ง “จะเดินหมากกับข้า พวกเ้ายังมีคุณสมบัติไม่ดีพอ!”
บรรยากาศภายในรถม้าแปรเปลี่ยนเป็ประดักประเดิด
แม้คำพูดของเขาจะเป็ความจริง แต่ไม่ได้คำนึงถึงกาลเทศะ และไม่ให้เกียรติผู้อื่นเกินไป
เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถม้าแทบจะเป็น้ำแข็งไปแล้วจึงกระแอมกระไอออกมาครั้งหนึ่งเพื่อทำลายความตึงเครียดตรงหน้า “ข้าเดินหมากเป็เพื่อนพวกเ้าก็แล้วกัน นานแล้วที่ไม่ได้ฝึกปรือ”
ใครจะล่วงรู้ว่าถังเจิ้นอวี่กลับตอบกลับมาว่า “ขออภัย แต่ไรมาข้าไม่เดินหมากกับสตรี!”
อุ๊บ มุมปากเฟิ่งเฉี่ยนแข็งค้าง ต่อมาเห็นสายตาของเขามองไปที่ซือคงเซิ่งเจี๋ย ชัดเจนเหลือเกินว่าคำพูดเมื่อซักครู่ของซือคงเซิ่งเจี๋ยได้ท้าทายความรู้สึกอยากเอาชนะของเขา
น่าเสียดายที่ซือคงเซิ่งเจี๋ยไม่สนใจถังเจิ้นอวี่แม้แต่น้อย เขาเอนกายพิงไปกับผนังของรถม้าพร้อมกับหลับตาลงพักผ่อน
บรรยากาศภายในรถม้ากระอักกระอ่วนอย่างที่สุด
เฟิ่งเฉี่ยนกุมขมับ นางคิดมาตลอดว่าตนเองเป็คนทำอะไรเอาแต่ใจ ไม่ยี่หระ แต่เมื่อเทียบกับซือคงเซิ่งเจี๋ยแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองอ่อนปวกเปียกอย่างที่สุด!
เขาต่างหากที่เอาแต่ใจอย่างแท้จริง!
คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น
ถังไน่ไน่เห็นบรรยากาศกระอักกระอ่วนตรงหน้าจึงเอ่ยปากเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ “พี่สามของข้าเริ่มศึกษาการเดินหมากล้อมั้แ่อายุสามขวบ อายุเจ็ดขวบมีอาจารย์เป็ยอดฝีมือขั้นเจ็ด หลังจากอายุสิบสามปีเข้าร่วมแข่งขันการเดินหมากทุกๆ ประเภท ส่วนมากจะชนะน้อยที่จะพ่ายแพ้ ตอนนี้เป็นักเดินหมากล้อมขั้นหก!”
เฟิ่งเฉี่ยนได้ยินจึงตอบเบาๆ “อ้อ!”
นางคิดว่าเมื่อพูดออกมาว่าพี่สามเป็นักเดินหมากขั้นหก อีกฝ่ายจะต้องให้ความสำคัญ ในเมื่อคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ชายในชุมนุมเดินหมาก ถือเป็คนที่หาได้ยาก
ใครจะรู้ว่าพวกเขาคนหนึ่งกลับหลับตาพักผ่อนต่อไป อีกคนหนึ่งรับคำเบาๆ ว่าอ้อเท่านั้น ช่างมิได้เห็นนักเดินหมากขั้นหกอยู่ในสายตา
ถังไน่ไน่รู้สึกจุกอกไปหมด
ถังเจิ้นอวี่มีสีหน้าเคร่งขรึม คิดว่าตนเองถูกดูแคลน
เฟิ่งเฉี่ยนค่อยๆ รู้สึกตัวในภายหลังว่า อาจเป็เพราะท่าทีของตนเองเ็าเกินไป ในสายตาของนาง นักเดินหมากขั้นเก้ายังไม่นับเป็อะไรได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงนักเดินหมากขั้นหก แต่ในสายตาของพวกเขาสองพี่น้องกลับแตกต่างออกไป นักเดินหมากขั้นหกถือว่าเป็ขั้นที่ไม่ธรรมดาแล้ว!
อย่างไรก็เป็คนหนุ่มสาวที่เพิ่งจะออกมาสู่โลกภายนอก!
เฟิ่งเฉี่ยนตัดสินใจที่จะให้บทเรียนแก่คนหนุ่มสาวคู่นี้!
“เมื่อสักครู่เ้าบอกว่า แต่ไรมาเ้าไม่เดินหมากกับสตรี ข้าแปลกใจมาก เหตุใดเ้าจึงดูถูกสตรีถึงเพียงนี้ คงไม่ได้กลัวว่าจะเดินหมากแพ้สตรีหรอกนะ ในเมื่อการพ่ายแพ้แก่สตรีเป็เื่น่าอับอายเื่หนึ่ง!”
ถังเจิ้นอวี่ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะท้าทายเขาเช่นนี้ ใบหน้าคมสันนั้นปรากฏให้เห็นริ้วสีแดงขึ้นทันที เขาโต้กลับ “ข้าไม่ได้ดูแคลนสตรี เพียงแต่คิดว่าการประลองหมากล้อม เหมาะสมกับบุรุษที่ชอบไล่ล่าสังหารมากกว่า”
“น้องสาวของเ้าเพิ่งจะพูดว่าบุคคลในดวงใจของเ้าคือ แม่นางเฟิงผู้เป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของชุมนุมหมากล้อม เ้ายอมรับที่นางเดินหมากกับบุรุษได้ เหตุใดจึงไม่อาจยอมรับการเดินหมากกับข้าได้เล่า” เฟิ่งเฉี่ยนเลิกคิ้ว “หรือเ้ากลัวแพ้ให้ข้า”
ถังเจิ้นอวี่พูดเสียงหนักแน่น “ไม่มีเื่เช่นนี้แน่!”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ไม่สู้พวกเรามาเดินหมากกันกระดานหนึ่ง หากเ้าชนะ ข้าเรียกเ้าเป็อาจารย์ หากเ้าแพ้ เ้าเรียกข้าเป็อาจารย์ เป็อย่างไร?”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของถังเจิ้นอวี่กระตุก ขณะที่เขาคิดจะตอบโต้กลับได้ยินเฟิ่งเฉี่ยนพูดอีกว่า “หากเ้ากลัวแพ้ ไม่กล้าเดินหมากกับข้า ก็แล้วไปเถิด คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้