ฝนเทลงมากะทันหัน และผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฝนตกซ่าๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วก็ค่อยๆ ซาลง ก่อนจะหยุดลงในที่สุด
คงเป็ดังที่เฉินชุ่ยอวิ๋นบอก ์น่าจะรู้ว่าเหล่าชาวนาลำบากตรากตรำ ฝนเลยตกลงมารดดินและไม่ท่วมยุ้งข้าวที่เก็บเสบียงอย่างพอเหมาะพอดี
หลังฝนหยุด เจิ้งเฉวียนกังก็กลับมา สีหน้าฉายแววยินดี เขาพูดทันทีที่เข้ามาว่า “โชคดีที่ฝนตกไม่นานนัก ยุ้งข้าวของกองพวกเราไม่ได้สร้างตรงพื้นที่สูง ฉันกลัวน้ำจะท่วมเอา”
เจิ้งหยวนโอบหนิวหนิวน้อยไว้ในอ้อมแขน พลางลอบเบะปาก ในใจก็นึกว่าคุณพ่อเธอช่างเป็หัวหน้ากองที่มีความรับผิดชอบเสียจริง ฝนตกยังต้องรักษาการณ์อยู่อีก
เฉินชุ่ยอวิ๋นถือชามน้ำขิงผสมน้ำตาลมาให้เขาด้วย พร้อมถามขึ้นว่า “พืชผลของกองอื่นๆ เก็บเกี่ยวแล้วหรือยัง?” ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
เมล็ดพืชและภูมิประเทศแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ ดังนั้น
ระยะเวลาสุกงอมของข้าวสาลีจึงต้องเท่ากัน
ซึ่งปีนี้ข้าวสาลีของพวกเขากองหยางหลิวก็สุกงามเร็ว
เจิ้งเฉวียนกังรับชามน้ำขิงมาดื่ม พลางทำปากหงับๆ แล้วว่า“น่าจะเก็บแล้วละ ทางฝั่งเราเก็บมาสองวันแล้ว ต่อให้ฝั่งพวกเขาล่าช้า จะช้าได้สักกี่วันเชียว อีกอย่างกองของพวกเราก็ไม่ถือว่าเก็บเกี่ยวเร็วนะ กองชิงซานฝั่งหมู่บ้านหลิวทางนู้น พวกเขาเก็บเร็วกว่าพวกเราเสียอีก”
เห็นดังนั้น เฉินชุ่ยอวิ๋นจึงเปรยออกมาเบาๆ ว่า “อมิตาพุทธ” ก่อนว่าต่อ “ถ้าเป็เช่นนั้นก็ดีแล้วๆ”
ชาวนาหลังสู้ฟ้าทำงานหนักในทุ่งนาตลอดทั้งปี ก็เพื่อหวังผลผลิตไม่ใช่หรือ ยามคิมหันต์ฤดูเป็่ที่ฝนตกชุกชุมพิเศษ บรรดาเกษตรกรย่อมไม่อยากให้ฝนตกตอนเก็บเกี่ยวข้าวสาลี เพราะมันอาจตกหนักจนทำลายผลิตผลทั้งปีได้อย่างน่าเสียดาย สภาพภูมิประเทศบางแห่งพื้นที่เพาะปลูกนั้นค่อนข้างต่ำ เป็ไปได้จะไม่ปลูกข้าวสาลีในฤดูใบไม้ร่วงนัก ด้วยกลัวน้ำท่วมขัง
ฝนเพิ่งผ่านพ้นไป ถนนหนทางเดินไม่ค่อยสะดวกนัก กระทั่งวันถัดมา ครั้นดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าส่องแสงเจิดจ้าตลอดทั้งเช้า ถนนแห้งลงห้าถึงหกส่วน จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางแล้ว
ด้วยกลัวฝนตกหนักอีกระลอกจนท่วมเมล็ดพืชที่กว่าจะเก็บเกี่ยวมาได้ เจิ้งเฉวียนกังเลยรีบรวบรวมคนมาขนเสบียงขึ้นรถไปส่งที่หน่วยงานเสบียง
เจิ้งหยวนมองดูแวบหนึ่งขณะกำลังทำงาน ครั้นเห็นรถม้าลำเลียงเสบียงขนไปทีละคันๆ ก็อดปวดใจไม่ได้ เสบียงพวกนี้หากแบ่งมาคงกินอิ่มกันได้หลายคนเลย!คิดๆ ดู ตอนนั้นเริ่มยกเลิกจ่ายภาษีด้วยเสบียงปีไหนกันนะ? แต่เธอก็รู้ดี
เวลานี้คนในเมืองต่างอาศัยเสบียงที่ส่งมาจากชนบทเลี้ยงปากท้อง
ยุคสมัยนี้มาตรฐานการผลิตต่ำ ผลผลิตเสบียงอาหารก็ไม่สูง หากพวกเธอไม่จ่าย
คาดว่าคนในเมืองคงอดตายกันเป็จำนวนมาก
เจิ้งเสี่ยวชิวที่เดินมาด้วยกันมองขบวนจ่ายภาษีเสบียงตามสายตาของเจิ้งหยวนแล้วถอนหายใจ “หากฉันเป็คนในเมืองคงดีเนอะ ไม่เพียงทำงานเบาสบาย แต่ละคนยังได้ส่วนแบ่งอาหารจำพวกข้าวกับแป้งมากมายกินทุกเดือนด้วย”
อย่ามองว่าผลผลิตของปีนี้ดี เนื่องจากธัญพืชที่เก็บเกี่ยว่หน้าร้อนเป็ข้าวสาลีทั้งหมด และอาหารจำพวกข้าวส่วนใหญ่ต้องส่งให้หน่วยงานเสบียงกับคลังรับซื้อข้าวด้วย ส่วนที่เหลือแบ่งให้แต่ละครัวเรือนจึงหดหายไปเยอะ
เจิ้งหยวนพูดเรียบเรื่อย “แต่งให้คนในเมืองก็จบแล้วนี่?”
เจิ้งเสี่ยวชิวคล้องแขนเจิ้งหยวนพลางเอ่ย “เธอคิดว่าแต่งกับคนในเมืองง่ายนักเหรอ ฉันไม่ได้หน้าตาเหมือนเธอนะ!” เธอชนไหล่ของเจิ้งหยวน กระซิบถามเงียบๆ “เฮ้ เมื่อกี้ญาติผู้พี่จ้องแกแหละ”
เจิ้งหยวนมองซ้ายมองขวา สบสายตาเคียดแค้นของเจิ้งสยาพอดี เพียงแวบเดียว เจิ้งสยาก็รีบละออกไป
พูดกันตามตรง เจิ้งหยวนทั้งสงสารและรู้สึกผิดเล็กน้อยจนรู้สึกอึดอัดใจมากทีเดียว แน่นอนว่าหากเจิ้งสยาไม่เข้ามาหาเื่เธอ เธอคงไม่ใช้วิธีสาดโคลนล้างมลทินให้ตนเอง ซึ่งเป็วิธีการอันต่ำช้าแบบนี้ เหมือนกับที่เจิ้งเฉวียนกังบอกไว้ ทั้งที่เป็คนกระทำผิดก่อน แต่เพื่อกลบความผิดของตน กลับทำลายชีวิตที่น่าสังเวชพออยู่แล้วของเจิ้งสยาซ้ำไปอีก แต่เธอไม่เสียใจเลยสักนิดเดียว คนเราล้วนเห็นแก่ตัว เธอไม่กล้านึกสภาพครอบครัวตัวเองหลังเื่ที่เธอหาคนรักในเมืองหลุดรอดออกไป หากวงโคจรชีวิตวนกลับไปเป็ดังชีวิตก่อนจะทำอย่างไรล่ะ?
เจิ้งสยาเกลียดเธอก็เกลียดไปเถอะ หากอยากแก้แค้นเธอลงมือได้เต็มที่เลย เธอจะรับไว้เอง
“ญาติผู้พี่เธอจะแต่งกับคนขาพิการแซ่หลิวจริงเหรอ?” เจิ้งเสี่ยวชิวมองแผ่นหลังของเจิ้งสยาด้วยความเห็นใจ
“ป้าสะใภ้เธอใจร้ายชะมัด ฉันเคยเจอคนขาพิการแซ่หลิวมาก่อน ทั้งแก่ทั้งอัปลักษณ์
ฉันจะบอกให้ จมูกของเขาเคยโดนหนูกัดไปจนขาดออก
แม่ของเขาไปแย่งเนื้อตรงปลายจมูกกลับมาแปะบนจมูกให้เขาแหละ!”
เจิ้งหยวนลมหายใจสะดุด ถามด้วยความสงสัย “จริงเหรอ?” เื่เล่านี้ มันใกล้เคียงเื่สยองขวัญแล้วนะ?
“จริงสิ หากเธอเจอเขา เธอจะรู้เอง ตอนนี้จมูกเขาเบี้ยว แถมปลายจมูกยังมีรอยแผลเป็ขนาดใหญ่ด้วย” เจิ้งเสี่ยวชิวตอบด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง
ในจังหวะนั้นนั่นเอง มีเด็กผู้หญิงข้างๆ คนหนึ่งได้ยินบทสนทนาของพวกเธอ เอ่ยโพล่งเข้ามากะทันหันว่า “ฉันเคยได้ยินมาเหมือนกัน!”
เจิ้งเสี่ยวชิวั์ตาเปล่งประกายเมื่อเห็นคนตอบเธอ “ใช่ไหมล่ะๆ เธอก็เคยได้ยินเหรอ?”
เด็กผู้หญิงคนนั้นตอบ “ฉันเคยเห็นอยู่ จมูกเขาเบี้ยวจริงๆ ” เธอชะงักครู่หนึ่งแล้วค่อยถามเจิ้งหยวน “ป้าสะใภ้เธอจะให้พี่สาวเธอแต่งกับคนขาพิการแซ่หลิวจริงเหรอ?”
เจิ้งหยวนพยักหน้า เจิ้งสยาพูดเช่นนี้ออกมาเอง คงเป็ความจริง
เธอคนนั้นขานรับเสียงหนึ่ง “ทำไมล่ะ?แม้พี่เจิ้งสยาจะหน้าตาไม่ค่อยดีและอายุเยอะไปสักหน่อย
แต่ทำงานคล่องแคล่ว ทำไมหาครอบครัวที่ดีกว่านี้ไม่ได้กัน?”
เจิ้งเสี่ยวชิวโพล่งแทรกขึ้นมา “ก็ต้องเพื่อเงินอยู่แล้วสิ คนขาพิการแซ่หลิวให้ค่าสินสอดมาก ตั้งสองร้อยหยวนแน่ะ!” เธอไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้มาก่อน เงินสองร้อยหยวน
สามารถซื้อของสามชิ้นใหญ่อย่างนาฬิกา จักรยาน จักรเย็บผ้าได้ครบเลย!
เด็กผู้หญิงคนนี้ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าได้รับความรักเอ็นดูจากครอบครัว มีชีวิตสุขสบาย ใส่เสื้อผ้าไหมเทียมสีขาวลายดอกไม้ ดูท่าที่บ้านคงพอมีเงินอยู่บ้าง เธอบอก “ยังไงก็ไม่ควรขายลูกสาวเพื่อเงินเท่านี้…”
ยังไม่ทันสิ้นประโยค กลับมีคนะโเรียก “เซี่ยวเซี่ยว” ขัดมาจากข้างหน้า เด็กสาวคนนั้นตอบรับแล้ววิ่งจากไป
ครั้นเห็นเธอวิ่งไปไกลแล้ว เจิ้งเสี่ยวชิวจึงค่อยเบะปากตามหลังเธอ ก่อนพึมพำเสียงแ่เบา “เงินเท่านี้เหรอ… เหอะ ช่างไม่เข้าใจความทุกข์ของคนอดอยากเอาเสียเลย”
ด้านเจิ้งหยวน พอได้ยินชื่อของเด็กผู้หญิงคนนั้นถึงนึกออกว่าเธอเป็ใคร คุณปู่ของเด็กคนนี้เป็หนึ่งในกองทัพลู่ที่แปด [1] เหมือนจะเคยดำรงตำแหน่งค่อนข้างสูงมากมาก่อน ภายหลังได้รับาเ็แล้วเกษียณออกมา แต่ประเทศยังคงให้สวัสดิการที่ดีแก่เขาอยู่ ได้รับเงินเดือนลำดับที่สิบหก [2] นับร้อยกว่าหยวนต่อเดือน ครอบครัวเธอมีสมาชิกน้อย หนึ่งร้อยหยวนพอใช้ถมเถ แถมยังเหลือด้วย ตัวเหล่าปาลู่เองก็ไม่ใช่คนหัวโบราณยึดแิชายเป็ใหญ่ ดังนั้น เด็กสาวคนนี้เลยกลายเป็ที่อิจฉาของสตรีทั้งกอง
ชาติก่อนแม้เจิ้งหยวนจะหน้าตาดี เธอยังเคยอิจฉาริษยาหลินเซี่ยวเซี่ยวเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนบางคนในกองมักพูดล้อเล่นว่า “เจิ้งหยวนหน้าตาดีแค่ไหนก็สู้หลินเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้ ฐานะเจิ้งหยวนเป็อย่างไร? หลินเซี่ยวเซี่ยวนั้นเป็อย่างไร?” ทำนองนี้อยู่บ่อยๆ ก็ทำให้เจิ้งหยวนคับแค้นใจมาก
ใจกักเก็บความริษยาไว้จนอคติบังตา คิดว่าหลินเซี่ยวเซี่ยวดูแคลนพวกเาาวนา
เอาแต่ทำตัวเป็คุณหนูทุนนิยม
ชาตินี้มาเจอหลินเซี่ยวเซี่ยวอีกครั้ง พบว่าเธอก็เป็เพียงเด็กสาวที่คุณภาพชีวิตค่อนข้างดีและไม่ค่อยประสีประสาเท่านั้นเอง
เชิงอรรถ
[1] กองทัพลู่ที่แปด หมายถึง หนึ่งในกองทัพที่ต้านญี่ปุ่นในปี 1937 โดยกองทัพลู่ที่แปดแห่งกองทัพปฏิวัติประชาชน ได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์าต่อต้านญี่ปุ่นว่าเป็หน่วยรบแรกที่นำชัยชนะครั้งสำคัญมาสู่ประเทศจีน ณ สมรภูมิด่านผิงสิงพิชิตทัพญี่ปุ่นที่ไม่มีวันพ่าย"
[2] เงินเดือนลำดับที่สิบหก หมายถึง เงินเดือนที่กำหนดตามระดับขั้นผู้บริหาร ยศและหน้าที่ ยกตัวอย่างเช่น เงินเดือนลำดับที่หนึ่งเป็ของยศจอมพล ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค รวมไปถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งสิบที่ได้รับแต่งตั้งเป็จอมพลสูงสุดยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน จะได้เงินเดือน 594 หยวนต่อเดือน ซึ่งมีทั้งหมดยี่สิบสี่ลำดับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้