คำว่า “อีก” ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นจำได้ว่าซูอินฉีกหน้าหลิงเมิ่ง และเมื่อเสร็จจากการสอบขึ้นชั้นมัธยมปลายเธอก็ยังมาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ
ในเวลานั้นบรรยากาศโดยรอบเกิดความอึดอัด
สำหรับคนที่เกลียดชังกัน แน่นอนว่าซูอินเข้าใจความหมายที่หลิงเมิ่ง้าสื่อ แต่เธอไม่รู้สึกประหม่าเลย จัดกระโปรงที่ยับเล็กน้อยระหว่างที่นั่งรถมา สายตาดูสงบนิ่ง
“พ่อเธอเชิญฉันมา”
คำตอบที่เรียบง่ายทำให้หลิงเมิ่งแทบสำลัก
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปราวกับการแสดงเปลี่ยนหน้ากาก ซูอินก็ไม่อยากเสียเวลา เธอหันไปหาหลิงจื้อเฉิง “ไม่ใช่ว่าให้มาดูสถานที่จัดงานหรือคะ”
หลิงจื้อเฉิงขมวดคิ้วมองไปทางหลิงเมิ่ง ทั้งที่ตอนอยู่ที่บ้านคุยกันดิบดีแล้ว แม้จะเห็นแววตาเ็ปของบุตรสาว เขาก็ไม่ใจอ่อน
อู๋อู๋พูดไว้ไม่ผิด เมิ่งเมิ่งใช้ชีวิตอยู่นอกเมืองมาสิบหกปี ไม่รู้ว่าเธอต้องยากลำบากแค่ไหน
ในขณะที่อินอินใช้ชีวิตสิบหกปีที่ตระกูลหลิง จากหางตาเมื่อเห็นชุดเดรสกระโปรงสวยที่เธอใส่ รวมไปถึงท่าทางมีความสุข ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะไปจากตระกูลหลิง
คนเป็พ่อที่เริ่มจากศูนย์และฟันฝ่าอุปสรรคจนธุรกิจก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้ เห็นชัดว่าหลิงจื้อเฉิงเป็คนฉลาดมาก ไม่ว่าในใจจะสงสารเมิ่งเมิ่งขนาดไหน ทว่าในเวลานี้อินอินสำคัญที่สุด เขาต้องชดเชยและซ่อมแซมความรู้สึกเ่าั้ให้ดี
ความคิดของเขาชัดเจนมากขึ้น หลิงจื้อเฉิงหันไปขยิบตาให้อู๋อู๋ ถึงแม้จะไม่ค่อยเต็มใจ แต่เธอก็ใช้มือตบไหล่ของบุตรสาวเพื่อปลอบโยน
“ไปกันเถอะ ไปดูพร้อมกัน”
การได้มาเหยียบโรงแรมหลิงกวงอีกครั้งหลังจากใช้ชีวิตมาสองชาติ ซูอินไม่เคยได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้มาก่อน
พนักงานแปดคนแต่งกายเป็ระเบียบยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูทางเข้า โค้งตัวอย่างนอบน้อม ผู้จัดการที่ดูแลเื่งานเลี้ยงรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมรายงานเื่การจัดการต่างๆ ในงาน
ยิ่งได้ฟังเธอพูด ซูอินก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น
นี่…มันไม่ต่างอะไรเลยกับงานวันเกิดที่ต้อนรับการกลับมาของหลิงเมิ่งในชาติก่อน
ไม่ใช่แค่คล้าย พนักงานเสิร์ฟในชุดสีทองที่เปิดประตูห้องจัดเลี้ยงและฉากที่ทักทายเธอก็เหมือนกับในชาติก่อนไม่มีผิด นอกจากนั้นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักก็ปรากฏอีกครั้ง
ซูอินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ท่าทีที่สะท้อนในสายตาของผู้พบเห็นต่างคิดว่าเธอกำลังตกตะลึงกับฉากที่ยิ่งใหญ่และหรูหราตรงหน้า
หลิงจื้อเฉิงพยักหน้าเบาๆ พอใจก็ดี ขอแค่อินอินพอใจก็พอ
อู๋อู๋ทำหน้าเยาะเย้ย ไม่แปลกใจที่เกิดจากบ้านนอก ถูกครอบครัวเธอเลี้ยงดูมาตั้งสิบหกปี แต่สายตาก็ยังไม่มีวิสัยทัศน์
เมื่อหลิงเมิ่งจัดการกับอารมณ์ที่สับสนได้แล้ว เธอก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น ต้องแบ่งครึ่งหนึ่งแล้วจะทำไม เพราะอย่างไรก็ต้องตามใจเธออยู่ดี
ทั้งสามคนมีความคิดเป็ของตนเอง ในที่สุดซูอินก็ได้สติ
“นี่…คุณจะแก้ใหม่ตามความ้าของฉันใช่ไหมคะ”
ในใจของหลิงจื้อเฉิงเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามอย่างระวัง “อินอินไม่ชอบหรือ”
สีหน้าของหลิงเมิ่งเปลี่ยนเป็ไม่พอใจทันที คงไม่ใช่หรอกใช่ไหม
และแล้วลางสังหรณ์ของสองพ่อลูกก็เป็จริง ซูอินพยักหน้าพร้อมเอ่ยยอมรับ “ใช่ ไม่ใช่แค่ไม่ชอบ แต่ไม่ชอบเลยสักนิด”
ซูอินถูกเลี้ยงดูโดยผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลหลิง ทั้งคู่เป็คนชนบทที่ใช้ชีวิตยากลำบากและเรียบง่าย ซูอินได้รับอิทธิพลนั้นทำให้เธอชอบสิ่งที่เรียบง่ายติดดิน
เธอชอบความเป็ธรรมชาติและความสดใสมากกว่าความโอ่อ่าตระการตาแบบที่สองแม่ลูกตระกูลหลิงชื่นชอบ
“ก่อนจะมา เหมือนคุณจะพูดว่าหากฉันไม่ชอบ ก็สามารถเปลี่ยนได้ใช่ไหมคะ”
หลิงจื้อเฉิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล “แน่นอนสิ”
“พ่อคะ!”
หลิงเมิ่งส่งเสียงร้องอย่างแทบไม่อยากเชื่อ อู๋อู๋รีบเข้ามาทำให้เธอสงบก่อนจะเอ่ยปาก “เหลืออีกสองวันก็จะเป็วันงาน หากเปลี่ยนตอนนี้เกรงว่าจะไม่ทัน”
ซูอินไม่สนใจหล่อน แต่หันไปยิ้มให้หลิงจื้อเฉิง
“ตกลงจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนคะ”
หลิงจื้อเฉิงรีบส่งสายตาให้อู๋อู๋ “เปลี่ยน!”
ผู้จัดการห้องจัดเลี้ยงที่ยืนอยู่ข้างเขารวมไปถึงพนักงาน ถึงแม้จะรักษาระดับการบริการเหมือนโรงแรมระดับห้าดาวเอาไว้ได้ โดยยังคงรอยยิ้มบนหน้า แต่ในใจเหมือนน้ำที่กำลังทะลักออกจากเขื่อน
นี่หรือบุตรสาวที่เถ้าแก่อุ้มมาผิดคน
ทำไมเถ้าแก่ตามใจเธอขนาดนี้ล่ะ
ดูเหมือนเถ้าแก่จะกลัวเธอนะ
กลัวแน่ๆ แม้แต่เถ้าแก่เนี้ยพูด เขายังไม่สนใจเลย
คำนินทาพรั่งพรูออกมามากมาย
แน่นอนว่าคำพูดเ่าั้ซูอินไม่ได้ยิน ในขณะที่หลิงเมิ่งกำลังพยายามข่มสีหน้าที่ไม่สู้ดี ซูอินก็เดินไปทุกมุมของห้องจัดเลี้ยงและแสดงความเห็น
ทุกประเด็นที่แสนจู้จี้จุกจิก ไม่ได้มีแค่หลิงเมิ่ง แม้แต่อู๋อู๋ก็แสดงสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน
ทั้งที่เธอตกแต่งไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เด็กบ้านนอกกลับจงใจหาเื่ ยิ่งตอนนี้ครอบครัวของเธอ้าความช่วยเหลือจากซูอิน สามีของเธอก็ยิ่งตามใจ
คงไม่ต้องบอกว่าอู๋อู๋รู้สึกแย่แค่ไหน
ยิ่งสองแม่ลูกทุกข์ใจมากเพียงใด ซูอินก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เพราะในชาติก่อนคนที่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้คือเธอ
เมื่อเลือกแบบตกแต่งงานเลี้ยงวันเกิดแล้ว ซูอินจึงได้พูดสรุป “เดิมทีการตกแต่งในห้องโถงสวยอยู่แล้ว แต่การตกแต่งที่มากเกินไปทำให้ดูรก จนทำลายบรรยากาศเดิมของสถานที่ ให้คงอุปกรณ์ตกแต่งเดิมไว้ เปลี่ยนแค่นิดหน่อยแล้วเพิ่มสิ่งสำคัญของธีมวันเกิดก็พอ ไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลือง”
เธอนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองผู้จัดการห้องจัดเลี้ยง “การตกแต่งแบบเรียบง่ายนี้ แค่สองวันก็พอใช่ไหมคะ”
ผู้จัดการห้องจัดเลี้ยงพยักหน้า
เขาเป็คนที่หลิงจื้อเฉิงเชิญมาด้วยเงินเดือนที่สูง เพราะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ และทำงานในโรงแรมขนาดใหญ่มาหลายปี เชี่ยวชาญการตกแต่งห้องจัดเลี้ยงที่สวยงามตามแบบฉบับของตนเอง ภาพการออกแบบโรงแรมหลิงกวงได้รับการตรวจสอบจากศาสตราจารย์ภาควิชาสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยชิงฮวา ซึ่งมีความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ก่อนหน้านี้ที่ถูกอู๋อู๋เหวี่ยงใส่ เขาอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถปฏิเสธ ทว่าการที่ซูอินบอกเช่นนี้ทำให้เขาพอใจมาก
แม่สาวน้อยคนนี้ตาถึงจริงๆ
เมื่อมีความสุข ผู้จัดการห้องจัดเลี้ยงก็มีกำลังใจทำงานมากขึ้น “การตกแต่งเรียบง่าย การจัดเตรียมของก็ไม่ยุ่งยาก แค่สองวันเพียงพอแล้วครับ”
ประโยคนั้นทำให้อู๋อู๋รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า แต่ว่าตอนนี้มีใครสนใจล่ะ
“ถ้างั้นก็รบกวนด้วยนะคะ”
ซูอินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้ผู้จัดการห้องจัดเลี้ยง
ไม่ใช่แค่รสนิยมดี หน้าตาก็สวยด้วย ผู้จัดการห้องจัดเลี้ยงรู้สึกประทับใจซูอินมาก หลังจากที่คนเดินออกไปแล้ว ห้องจัดเลี้ยงก็เริ่มตกแต่งใหม่อีกครั้ง และเขาอดไม่ได้ที่จะใส่ใจมากขึ้นกว่าเดิม
สั่งการเรียบร้อยแล้วซูอินก็สบายใจ เดินออกมาจากโรงแรมหลิงกวงภายใต้สายตาของสองแม่ลูกตระกูลหลิง
เธอปฏิเสธที่จะให้หลิงจื้อเฉิงไปส่ง ก่อนเดินเลี้ยวไปยังห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ เมื่อเดินออกมาอีกครั้งก็มีโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นมา
เื่ที่จะซื้อหรือไม่ซื้อโทรศัพท์มือถือ อันที่จริงซูอินรู้สึกขัดแย้งในใจมาตลอด
เมื่อเคยใช้สมาร์ตโฟนหน้าจอใหญ่แบบสมัยก่อนที่สะดวกสบายในชาติก่อน ทำให้เธอไม่ค่อยถูกใจโทรศัพท์ปุ่มกดราคาแพงในตอนนี้ อันที่จริงเธอไม่ค่อยชอบรูปลักษณ์ของมัน แต่อีกไม่นานเธอต้องกลับไปอยู่บ้านนอก จำเป็ต้องมีช่องทางติดต่อ
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด เธอจึงปรับอารมณ์ ไม่ว่าผู้จัดงานจะเป็ใคร นี่เป็วันเกิดของเธอ ก็ต้องฉลองอย่างมีความสุข
คนที่ควรเชิญมาร่วมงานก็เชิญแล้ว
ซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ก็ทำให้สะดวกมากขึ้น
เมื่อจัดการเื่ซิมการ์ด ชาร์จแบตเตอรี่ และใส่เคสโทรศัพท์แล้ว พอเปิดเครื่องเธอโทรหาคนที่บ้านทันที ทว่าไม่เหมือนครั้งก่อน คนที่รับสายมีน้ำเสียงเ็า เมื่อรู้ว่าเธอเป็ใคร ปลายสายก็ยิ่งแสดงน้ำเสียงรังเกียจมากกว่าเดิม
ซูอินพูดไม่ออก พวกเขาไม่เคยเจอกันไม่ใช่หรือ
แต่ว่าซูอินไม่ใส่ใจกับคนที่แสดงท่าทีไม่ดีต่อเธอ ก่อนจะกดวางสาย เธอครุ่นคิดก่อนส่งข้อความถึงฉินหล่าง เขาคนนี้เป็คนดี อีกทั้งยังช่วยเหลือเธอหลายครั้ง เหมือนฝนที่โปรยปรายลงมาถูกเวลา
หลังจากส่งข้อความ เบอร์ที่สามที่เธอโทรหาคือหลินเฉวียน
เมื่อโทรติดแล้ว เธอจึงบอกว่าตนเองเป็ใคร อีกฝ่ายแจ้งข่าวดีให้เธอทราบ
“อินอิน รีบมาที่หมู่บ้านสาม ถนนฟาง ซุนลี่เหมยที่เธอ้าซื้อบ้านของเขายอมขายแล้วนะ”
