เวลามู่หรงอวี้ออกไปไหนมาไหนมักไม่พาบ่าวรับใช้มาด้วย มีแค่องค์รักษ์เงาที่ติดตามมาอย่างลับๆ
หากไม่ใช่อันตรายกะทันหันที่ไม่อาจคาดเดาได้ องค์รักษ์เงาก็จะไม่มีทางปรากฏออกมา นี่เป็คำสั่งของเขา
มู่หรงฉือเองก็เช่นกัน เช้าวันนี้ออกจากวังมาก็ไม่ได้พาฉินรั่วออกมาด้วย วันนี้นางออกมาเพียงลำพัง
ดังนั้น ตอนนี้คนที่จะแสดงฐานะของพวกเขาจึงไม่มีสักคนเดียว
มู่หรงอวี้ล้วงตราแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แสดงให้เ้าหน้าที่คนนั้นดู “ถอยไป!”
ป้ายสีทองสว่างวาบขึ้นมา เ้าหน้าที่คนนั้นถูกแสงวาบใส่ เห็นตัวหนังสือสีทองบนแผ่นป้ายนั้นแวบๆ เขียนตัวอักษรตัวใหญ่ว่า อวี้
คนของจวนอวี้หวาง!
ครั้นมองไปยังบุรุษร่างสูงที่สวมชุดสีดำปักดิ้นทอง บนศีรษะสวมกวานหยก รวมถึงรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง ก็มั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา เขาใจนขาทั้งสองข้างอ่อน ใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก
องครักษ์ธรรมดาของจวนอวี้หวางเขายังไม่สามารถมีเื่ด้วยได้เลย
มู่หรงฉือตบบ่าของเขา “ทำได้ดีมาก!”
เ้าหน้าที่ผู้นั้นชะงักไป ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี มีเื่กับคนของจวนอวี้หวางนี่เรียกว่าดีมากหรือ?
เ้าหน้าที่อีกสองคนกำลังตรวจสอบศพที่นอนอยู่บนพื้น มู่หรงอวี้เองก็คุกเข่าลง มู่หรงฉือเดินไปอีกด้านแล้วกวาดตาตรวจสอบอย่าละเอียด
ผู้ตายเป็สตรีอายุประมาณสามสิบปี ดูจากเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวแล้ว น่าจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ทว่า เสื้อผ้าที่เปียกชื้นของนางมีรอยขาดหลายรู ทิ้งคราบเืเอาไว้ ดวงหน้าสะสวยมีคราบเืสดๆ อยู่ มีาแชัดเจนหลายจุด
สภาพการตายเช่นนี้ทำเอาคนที่อยู่โดยรอบใถอยไปหลายก้าว
เ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังสอบถามคนถ่อเรือวัยกลางคนผู้หนึ่ง คนถ่อเรือคนนั้นเห็นคนลอยอยู่บนผิวน้ำไม่ไกลจากริมแม่น้ำนัก จึงดึงนางขึ้นมา
ในตอนนี้ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของผู้คนก็ดังมาเข้าหูของมู่หรงฉือ
“ใบหน้าของแม่นางคนนี้เหมือนจะถูกอะไรกัด าแมากมายอะไรขนาดนี้ น่ากลัวนัก”
“จะเป็ปลากินคนหรือไม่? หลายวันมานี้มีเพลงที่ร้องกันอยู่ไม่ใช่หรือ? ในเนื้อร้องมีปลากินคนด้วย”
“ข้าคิดว่าแปดส่วนน่าจะเป็จริงแล้วล่ะ เ้าดูมือขวาของนางสิ ถูกกัดไปส่วนหนึ่ง”
“บนโลกใบนี้มีเื่น่ากลัวอย่างปลากินคนด้วยหรือ! ไม่รู้ว่าเป็ปลาแบบไหนถึงสามารถกินคนได้”
“จะต้องเป็ปีศาจแน่ ภูตพรายในแม่น้ำลั่ว!”
“น่ากลัวมาก!”
มู่หรงอวี้มองไปที่ศพนั้น ก่อนจะยืนขึ้นแล้วมองไปทางมู่หรงฉือ
นางยืนอยู่ใต้ต้นหลิว มองไปยังแม่น้ำลั่วเหอที่ไหลไปทางตะวันออก น้ำในแม่น้ำใสแจ๋วสะท้อนแสงจากท้องฟ้าประหนึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกใบนี้ แต่กลับถูกย้อมไปด้วยคดีคาวเื
ลมพัดพาความเย็นมา กิ่งหลิวพลิ้วไหวไปมารอบตัวนาง ชุดสีขาวหิมะบนร่างของนางถูกใบหลิวสีเขียวสะกิดเบาๆ
เขาเดินไปยืนอยู่ข้างกายนาง เห็นแสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดผ่านเป็แสงเล็กๆ ส่องประกายระยิบระยับบนใบหน้าเล็กของนาง วาดผ่านขนตาเรียวยาวไป
“ดูผ่านๆ แล้ว ก็เหมือนจะเป็ปลากินคน” เขาพูดเสียงต่ำพร่า
“ยังต้องรอชันสูตรศพแล้วจึงจะสามารถยืนยันสาเหตุการตายได้” หัวใจของมู่หรงฉือบีบแน่น ไอความเย็นแผ่ขยายจากใต้ฝ่าเท้าขึ้นมาก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งร่างกาย
หากคนตายถูกปลาฆ่าตายจริงๆ เช่นนั้นต่อไปก็จะเป็แย่งชิงแคว้นใช่หรือไม่?
เช่นนั้นก็คงเป็ภัยต่อการล่มสลายของแคว้น จนไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้
คิดถึงตรงนี้ ขาทั้งสองข้างของนางก็อ่อนจนยืนแทบไม่อยู่ น่าปวดหัวนัก
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพาอู่จั่วซึ่งมีตำแหน่งเป็คนชันสูตรศพมาถึง อู่จั่วรีบดำเนินการตรวจสอบศพขั้นต้น
ลมพัดพาความหนาวเย็นมา มู่หรงฉือรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก ก่อนที่เบื้องหน้าจะดำมืดลง...
มู่หรงอวี้เดิมแค่มาดูอู่จั่วชันสูตรศพ พลันรู้สึกว่าร่างขององค์รัชทายาทข้างกายล้มพับลงไปจึงรีบรั้งตัวนางเอาไว้ทันที
เหตุใดตัวถึงได้ร้อนขนาดนี้?
เขาลูบหน้าผากของนาง ก่อนจะรีบช้อนตัวนางขึ้นมาแล้วเดินเบียดคนมุ่งหน้าไปยังรถม้าทันที
ตัวร้อนขนาดนี้ เตี้ยนเซี่ยกลับไม่รู้ตัวสักนิด
บนรถม้า เขาวางนางลง นางค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เห็นเขาอยู่ในระยะใกล้แค่คืบ ใบหน้าหล่อเหลาขยายใหญ่อยู่ตรงหน้า นางจึงรีบลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรนทันที หัวใจเต้นตึกตัก
เมื่อครู่เหมือนนางจะเป็ลมไป?
“เตี้ยนเซี่ยมีไข้ ตัวร้อนมาก ไม่รู้ตัวเลยหรือ?”
มู่หรงอวี้รินน้ำชาร้อนมาหนึ่งถ้วย ยื่นส่งไปยังริมฝีปากของนางหวังจะให้นางดื่ม น้ำเสียงเจือความตำหนิเล็กน้อย
มู่หรงฉือรับถ้วยชามาเงียบๆ ก่อนจะดื่มทีเดียวจนหมด “เมื่อเช้าอาจจะโดนฝนแล้วยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดถึงได้ป่วย”
นางปวดหัวเหลือเกิน แขนขาปวดเมื่อยไม่มีแรง ความรู้สึกคลื่นไส้ถาโถมมาเป็พักๆ ช่างทรมานเสียจริง
รถม้าเดินทางด้วยความรวดเร็ว
ครั้นเห็นนางกอดแขนทั้งสองข้างของตน ดวงหน้าขาวซีด เขาจึงถอดเสื้อนอกออกก่อนจะคลุมลงไปบนตัวนางอย่างใส่ใจ ทั้งยังช่วยกระชับเสื้อคลุมให้ดี
ถึงแม้จะรู้สึกไม่เป็ตัวของตนเองมากเท่าไรนักแต่มู่หรงฉือก็ยอมรับความหวังดีของเขา
เสื้อคลุมสีดำปักด้ายทองเต็มไปด้วยกลิ่นอายของมู่หรงอวี้ เป็กลิ่นหอมของไม้กฤษณากับกลิ่นอายของบุรุษเต็มวัยชวนให้หลงไหล นางคิดถึงคืนที่ทั้งสองสนิทสนมกัน ความเจ็บที่เหมือนปอดจะฉีก การเคลื่อนไหวราวมีดอันแหลมคม ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยเรี่ยวแรง ท่าทางที่น่าอายพวกนั้น...ราวกับฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนพัวพันจนนางไม่เป็สุข
นางเกือบจะสะกดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้วโยนเสื้อคลุมทิ้งไป
ทว่า สุดท้ายก็อดทนเอาไว้ได้
มู่หรงอวี้ดึงเสื้อคลุมให้อย่างอ่อนโยน “ยังหนาวอยู่หรือไม่?”
“ดีขึ้นหน่อยแล้ว” นางปวดศีรษะจนตาลอย คำพูดและการกระทำของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนราวกับสายน้ำ
“เ้านอนพักไปก่อน ถึงแล้วเปิ่นหวางจะเรียก”
“อืม”
นางไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเพียงสูดดมกลิ่นหอมจากตัวเขาก่อนที่จะปิดตาลง ราวกับว่านางเหนื่อยล้ามามากแล้ว
เขามองนางเงียบๆ ใบหน้านิ่งสงบของนางขาวซีด ขนตาเรียวยาวปิดบังั์ตาดำไว้ บางครั้งก็จะมีแสงที่เล็ดลอดเข้ามาส่องลงบนใบหน้าของนางก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป
รถม้าเขย่าน้อยๆ บางครั้งนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับพยายามอดทนกับความเ็ปเหลือคณาเอาไว้
มู่หรงอวี้ยกมือขึ้นไปหมายจะนวดคิ้วที่ขมวดของนางให้คลายออกอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับชะงักแข็งค้างกลางอากาศ
ทันใดนั้น รถม้าก็สั่นะเือย่างรุนแรง ก่อนจะหยุดลง
มู่หรงฉือลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง ในขณะเดียวกันร่างกายก็พุ่งไปด้านหน้า โชคดีที่มู่หรงอวี้มือไวตาไวดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะนั่งลงไปยังตำแหน่งเดิมที่นางเคยนั่ง
นางหอบหายใจแรงด้วยความใ ตัวพาดอยู่ในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าขาวซีดเผยสีชมพูดอกท้อ ทั้งงดงามอ่อนนุ่ม ทำเอาใจคนสั่น
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่หรงอวี้ถามอย่างไม่พอใจ
“เมื่อครู่มีหลุมเล็กๆ อยู่ เล็กมากจนมองไม่เห็น ต่อมาก็มีเด็กพุ่งออกมาจากข้างถนน ข้าน้อยจึงทำได้แค่หยุดรถม้าขอรับ” สารถีตอบ
“ระวังหน่อย” มู่หรงอวี้สั่งด้วยใบหน้าเ็า
“เปิ่นกงไม่เป็ไร”
มู่หรงฉือที่ถูกกอดเอาไว้ เืลมทั่วร่างกายไหลเวียนอย่างรวดเร็ว หัวใจสั่นคลอนจนแทบจะกระดอนออกมา
มู่หรงอวี้รู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่อยู่ในอ้อมกอดตัวร้อนขึ้นกว่าเดิม ราวกับเป็ลูกไฟกองหนึ่งถึงได้ปล่อยนางออก แต่ยังคงนั่งอยู่ข้างกายนาง
เขาสังเกตเห็นพวงแก้มทั้งสองข้างของนางขึ้นสีชมพูเรื่อ ในชั่ววินาทีนั้นเขาราวกับตกอยู่ในภวังค์
นางรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงสายหนึ่ง หัวใจพลันยิ่งเต้นแรงขึ้น ทั้งรู้สึกประหม่า จิตใจไม่สงบ หัวก็ยิ่งปวดกว่าเดิม
หรือเขาจะมองออกว่านางคือสตรีที่แต่งเป็บุรุษ? จะพบหรือไม่ว่าสตรีที่อยู่กับเขาในคืนนั้นก็คือนาง?
“ใกล้ถึงประตูวังหรือยัง?” นางเอ่ยปากถาม เบนความสนใจของเขา
“ยังไม่ถึง”
“เช่นนั้นเปิ่นกงจะนอนพักอีกหน่อย” มู่หรงฉือหลับตาลง สะกดความคิดอันแสนว้าวุ่นลง
ถึงเขาจะสงสัยแล้วอย่างไรเล่า? หน้าตาไม่เหมือนกันเสียหน่อย นางไม่ยอมรับเสียก็สิ้นเื่
ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง มู่หรงอวี้พยุงนางลง นางเห็นบนคานเขียนตัวหนังสือสีทองเด่นชัดว่า “จวนอวี้หวาง” ก็ฉุนขาดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ไม่ใช่บอกว่าจะไปส่งนางกลับตำหนักบูรพาหรือ?
“เปิ่นกงจะกลับตำหนักบูรพา”
นางหน้าตึงหมุนตัวไป เขาบังคับดึงนางลงจากรถม้า ต่อมาก็ช้อนตัวอุ้มนางขึ้น
มู่หรงฉือโกรธจนตัวสั่นไปหมด พูดด้วยโทสะ “ปล่อยเปิ่นกงลง!”
“คนมากมายมองอยู่ เตี้ยนเซี่ยเงียบเอาไว้จะดีกว่า หรือว่าเตี้ยนเซี่ยไม่อยากรู้เื่ของคดีในวันนี้แล้ว?”
มู่หรงอวี้สาวเท้าเดินเข้าไปในจวน
นางกัดริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรออกมาอีก
เขาพูดถูก จากจวนอวี้หวางไปที่จวนจิ่งจ้าวนั้นค่อนข้างใกล้กว่า
ตลอดทางจากประตูจวนไปจนถึงห้องพัก ความรู้สึกที่เขาได้รับเหมือนเช่นเดิม องค์รัชทายาทที่อยู่ในอ้อมกอดยิ่งเหมือนกับสตรีอายุสิบแปดปี นุ่มนิ่มราวกับสายน้ำ
เหมือนกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่มาอยู่ในอ้อมกอดของเขาในคืนอันลึกลับ
มู่หรงฉือโกรธจนแทบกระอักเื หลายครั้งที่พยายามดิ้นรนแต่กลับไร้ผล
อวี้หวางสมควรตาย เผด็จการเกินไปแล้ว
ตลอดทางบ่าวรับใช้ในจวนอวี้หวางหากไม่ตาค้างพูดไม่ออก ก็อ้าปากค้างจนกรามแทบจะตกลงมา
ใช่สิ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนอุ้มองค์รัชทายาทมาตลอดทาง ภาพอันแปลกประหลาดนี้เป็เื่ที่จะทนเก็บอาการได้หรือ?
แต่ว่า ดูจากการลงมืออย่างว่องไวเฉียบขาดของเขาแล้ว บ่าวรับใช้ของจวนอ๋องอย่างมากสุดก็แค่เคี้ยวลิ้นตัวเอง ไม่กล้าพูดออกไป
จนกระทั่งล้มตัวนอนบนเตียง หัวใจของมู่หรงฉือถึงได้กลับมาอยู่ที่เดิม ถอนหายใจออกมา
ครั้นได้นางกำนัลสองคนเข้ามาดูแล มู่หรงอวี้ถึงได้ออกไป
จวนอวี้หวางมีหมอประจำตัว เพียงเวลาไม่นานหมอก็มาตรวจชีพจร จ่ายยาแล้วจากไป
หลังจากทานยาเข้าไปเทียบหนึ่งนางจึงหลับไปครู่หนึ่ง นางกำนัลยกโจ๊กเข้ามาให้ มู่หรงฉือทานหมดไปหนึ่งถ้วย เหงื่อก็ออกเต็มตัว แต่ก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
“ท่านอ๋องอยู่ที่จวนหรือไม่?” นางถามนางกำนัล
“หลังจากท่านอ๋องกลับมาแล้วก็อยู่ในห้องตำราตลอดเพคะ” นางกำนัลตอบ
“เปิ่นกงจะไปที่ห้องตำรา”
“องค์รัชทายาท ท่านอ๋องสั่งเอาไว้ให้ท่านพักผ่อนเยอะๆ เพคะ”
มู่หรงฉือไม่สนใจคำทักท้วงของนางกำนัล แล้วสวมเสื้อคลุมเดินออกไปด้านนอก
นางกำนัลรีบตามไป พร้อมเรียก “เตี้ยนเซี่ย...เตี้ยนเซี่ย...”
มู่หรงฉือสาวเท้าเดินไวๆ หลังออกจากเรือนนั้นมาก็เดินตรงไปยังประตูจวน ทันใดนั้นพลันคิดเื่หนึ่งขึ้นมาได้ นางชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อไปด้านหน้า
ด้านหน้าไม่ไกลนัก มู่หรงอวี้กำลังเดินมา
ลม่ปลายวสันต์ให้ความรู้สึกเย็นสบาย ดอกไม้นานาพันธุ์ผลิบาน
รอบด้านคือใบไม้งอกงามเต็มไปทั่ว ดอกไม้ผลิบานงดงามจนไม่อาจหยิบยกอะไรมาเปรียบเทียบ เป็ภาพที่สดใสพราวพร่าง
ท่ามกลางมวลบุปผาผลิบานสดชื่น ดวงหน้าหล่อเหลาราวกับน้ำแข็งแกะสลัก ร่างนั้นราวกับหยดน้ำ ทำให้คนไม่อาจละสายตาไปทางอื่น
ทั้งสองคนมาเจอกันบนทางแคบ
“เตี้ยนเซี่ยไม่พักผ่อนให้ดีๆ จะไปที่ใดหรือ?” มู่หรงอวี้ถามเสียงทุ้ม
“เปิ่นกงดีขึ้นมากแล้ว ควรจะกลับไปที่ตำหนักบูรพาแล้ว” มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น “ขอบคุณท่านอ๋องที่ดูแล”
“เตี้ยนเซี่ยไม่อยากรู้เื่ภายในของคดีแม่น้ำลั่วหรือ?”
“ท่านอ๋องรู้?”
“ไปเถิด” เขาหมุนตัวแล้วก้าวเดินออกไปอย่างมั่นคง
นางรีบตามไป “ท่านจะไปที่ใด?”
เขาไม่ตอบ เพียงเดินไปถึงหน้าประตูจวน รถม้ารออยู่ที่หน้าประตูจวนแล้ว
ความจริงแล้ว ที่มู่หรงฉือรีบร้อนออกจากจวนอวี้หวางก็เป็เพราะว่าจะไปหาเสิ่นจือเหยียน จากนั้นก็จะไปตรวจสอบศพของสตรีที่ตายไปแล้วคนนั้นที่จวนจิ่งจ้าว ในเมื่อมู่หรงอวี้จะพานางไป นางย่อมไม่มีทางปฏิเสธ
ไม่นานก็ถึงศาลต้าหลี่
นางถามด้วยความแปลกใจ “มาที่ศาลต้าหลี่ทำไมหรือ?”
มู่หรงอวี้ยังคงไม่ตอบ เขาลงจากรถม้าแล้วเข้าไปด้านใน
นางรีบตามไป ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้ หรือว่าเขาให้ศาลต้าหลี่รับคดีแม่น้ำลั่วไปดูแล?
เ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่เห็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนกับองค์รัชทายาทมาถึงก็รีบเข้ามาต้อนรับ ก่อนจะพาพวกเขาเข้าไปด้านใน
กู้ฮวายกับเสิ่นจือเหยียนกำลังอยู่ในห้องเก็บศพ ครั้นได้ยินคนมารายงานก็รีบออกมาต้อนรับ “ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
เสิ่นจือเหยียนครุ่นคิดเงียบๆ ทำไมเตี้ยนเซี่ยถึงมากับอวี้หวางได้?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้