“นึกไม่ถึงว่าเขาจะตกลง”
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างสังเวียนล้วนตกตะลึง เพราะคนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่ามู่เฟิงจะปฏิเสธคำท้าของอีกฝ่าย
ชายผู้เป็เ้ามือลอบยิ้มกับตัวเองในทันที จากนั้นเขาก็มองไปยังไป๋จื่อเยว่ก่อนจะกล่าววาจายั่วยุอีกฝ่ายว่า “เ้าหนู ครั้งนี้เ้าจะเดิมพันหมดหน้าตักเลยก็ได้นะ”
หลังจากเสียคะแนนให้กับไป๋จือเยว่ไปมากกว่าสามพันคะแนน คราวนี้เขาจะต้องได้รับมันกลับคืนมาทั้งหมดแน่
“เอาสิ วันนี้เสี่ยวเหยียจะทำให้เ้าต้องเสียคะแนนจนหมดตัวเลย”
ไป๋จื่อเยว่ตอกกลับอย่างเ็า ก่อนจะวางบัตรผลึกสีน้ำเงินทั้งสามใบลงบนโต๊ะพนัน
“มาๆ วางเดิมพัน วางเดิมพัน”
“คราวนี้ข้าจะพนันข้างมู่เฟิง ข้าคิดว่าเ้าหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา”
“ข้าพนันข้างโจวเทา เขาอยู่ในสำนักศึกษามานานกว่าหกปีแล้ว แม้เขาจะยังไม่ได้เป็ศิษย์สายใน แต่ทักษะพลังปราณของเขาก็นับว่าร้ายกาจไม่เบา”
เหล่าผู้ชมเริ่มวางเดิมพันอีกครั้ง
หลังจากที่ทุกคนวางเดิมพันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็หันไปมองทางชายสองคนบนสังเวียน
คนหนึ่งคือบัณฑิตที่เข้าศึกษาในสำนักศึกษามานานกว่าหกปี ส่วนอีกคนหนึ่งคือบัณฑิตหน้าใหม่ที่เพิ่งจะรับเข้ามาเมื่อวาน
“หากเ้ารีบยอมแพ้ในตอนนี้ เ้าจะไม่ต้องทรมานในภายหลัง"
โจวเทาจ้องมองมู่เฟิง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เื่นี้ศิษย์พี่ไม่จำเป็ต้องกังวล ท่านกังวลเถอะว่าจะสามารถมอบคะแนนจำนวนมากให้พวกเราได้หรือไม่”
มู่เฟิงตอบด้วยรอยยิ้มบาง
“จองหอง!”
ดวงตาของโจวเทาวาวโรจน์ขึ้นมาในทันที พลังปราณอันแข็งแกร่งของเขากำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง เพียงแค่เขาเริ่มเคลื่อนไหว ร่างกายของเขาก็พุ่งทะยานเข้าหามู่เฟิงด้วยความเร็วที่ทำให้ดวงตาสามารถมองเห็นเพียงเงามืดเท่านั้น ความเร็วนี้ส่งผลให้กลุ่มผู้ชมมองตามการเคลื่อนไหวของเขาไม่ทัน
ฝ่ามือของชายหนุ่มพุ่งเข้าหามู่เฟิงโดยตรง และสามารถมองเห็นได้เพียงฝ่ามือสีน้ำเงินที่ทะลุทะลวงเข้ามาราวกับคมดาบ ด้วยอานุภาพพลังของฝ่ามือนี้ ต่อให้เป็แท่นหินที่มีน้ำหนักมากกว่าพันจินก็สามารถถูกผ่าครึ่งได้อย่างง่ายดาย
มู่เฟิงบิดฝีเท้าเพื่อหลบหลีกอย่างว่องไว ในเสี้ยววินาทีนั้นที่ฝ่ามือดาบพุ่งทะยานเข้ามาเฉียดผ่านใบหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากที่มันพุ่งผ่านไปไกลราวเจ็ดถึงแปดเมตรแล้วพลังของมันก็พลันสลายหายไป และในชั่วพริบตาร่างของโจวเทาก็ขยับเข้ามาประชิดร่างของเด็กหนุ่มอย่างกะทันหัน ก่อนเขาจะปล่อยหมัดชกเข้าไปที่ทรวงอกของมู่เฟิงทันที
ขณะเดียวกันมู่เฟิงก็ปล่อยหมัดออกมาเช่นกัน พลังหมัดทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด และพลังปราณก็พลันะเิออกมาในทันที ส่งผลให้คนทั้งสองต้องถอยหลังกันไปคนละสองก้าว
โจวเทามองมู่เฟิงอย่างคาดไม่ถึง การะเิพลังของมู่เฟิงที่มีวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นแปดไม่ได้ด้อยไปกว่าวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าของเขาเลย
“เอาใหม่!”
โจวเทาแผดเสียงคำรามออกมาอย่างดุดัน ร่างของเขาพุ่งทะยานเข้าไปหามู่เฟิงรวดเร็วราวกับลูกธนูที่ถูกปล่อยจากคันศร คนทั้งสองต่างก็กระโจนร่างเข้าหากัน ทั้งพลังหมัดและพลังฝ่ามือพุ่งปะทะกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง
โจวเทาผู้นี้แข็งแกร่งเป็อย่างมาก เพียงแต่ทักษะพลังปราณและความสามารถด้านการต่อสู้ของเขายังเทียบมู่เฟิงไม่ได้ และแม้แต่ทักษะร่างกายของเขาก็อยู่เพียงระดับสัมฤทธิ์เท่านั้น ต่อให้มู่เฟิงจะไม่แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาก็ยังสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสี
ผู้ชมยิ่งพากันตกตะลึงในความแข็งแกร่งของมู่เฟิงมากขึ้น วรยุทธ์ของโจวเทานั้นสูงกว่าของมู่เฟิงหนึ่งขั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่สามารถจัดการกับมู่เฟิงได้ ทว่าตอนนี้ก็ยังเร็วไปที่จะตัดสินผลแพ้ชนะ เพราะโจวเทาเองก็ยังไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงของตัวเองออกมาเช่นกัน
ยามนี้สีหน้าของชายผู้เป็เ้ามือเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว เมื่อเขามองไปยังไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงก็พบว่าเด็กหนุ่มทั้งสองกำลังคุยอะไรกันบางอย่าง โดยที่ท่าทีของพวกเขายังคงดูผ่อนคลายและไม่ดูเป็กังวลเลยสักนิด
“แท้จริงแล้วพวกเขาสามคนมีที่มาอย่างไรกันแน่”
ชายหนุ่มนึกสงสัยขึ้นมา ขณะที่ภายในใจก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
“กรงเล็บแยกศิลา!”
หลังจากผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า โจวเทาก็แผดเสียงคำรามออกมาอย่างดุดัน พลังปราณภายในร่างกายของเขากำลังหลั่งไหลไปที่ฝ่ามืออย่างบ้าคลั่ง ฉับพลันนั้นมือทั้งสองข้างของเขาก็งอกกรงเล็บอันแหลมคมออกมา ก่อนจะตวัดไปทางมู่เฟิง พลังปราณของเขาได้ควบแน่นขึ้นเป็ออร่ากรงเล็บสีเหลืองและมุ่งโจมตีไปทางมู่เฟิง
กรงเล็บแยกศิลาเป็ทักษะพลังปราณธาตุดิน และเป็วิชาระดับธาตุทองขั้นสูง ซึ่งโจวเทาได้ฝึกฝนจนบรรลุระดับสมบูรณ์แล้ว
กรงเล็บพุ่งทะลวงฉีกผ่านอากาศ ดวงตาของมู่เฟิงทอประกายวาววับ พลังปราณเพลิงภายในร่างกายของเขาหลั่งไหลเข้าสู่หมัดเช่นกัน โดยพลังนี้ล้วนเป็พลังปราณที่ถูกส่งออกมาจากมวลคลื่นพลังจำนวนสามลูก ก่อนจะถูกเผาผลาญให้กลายเป็พลังปราณเพลิง
“ะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยา! ไฟกัลป์!”
มู่เฟิงเปล่งเสียงคำรามก่อนจะปล่อยหมัดที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงเข้มออกไป หมัดเปลวเพลิงพุ่งทะยานเข้าใส่กรงเล็บที่กำลังพุ่งเข้ามาในทันที
ปัง! ปัง! ปัง!
และผลลัพธ์ของมันก็คือเงาร่างของกรงเล็บสีเหลืองอันแหลมคมได้ถูกหมัดเปลวเพลิงทำลายจนย่อยยับ นอกจากนี้พลังอันร้อนระอุของมันยังส่งผลกระทบมาถึงฝ่ามือของโจวเทาโดยตรงอีกด้วย
ปัง...!
“อ๊าก…!”
โจวเทากรีดเสียงร้องออกมา แรงกระแทกทำให้กระดูกมือของเขาแตกหักในทันที ส่วนร่างของเขาก็กระเด็นไปไกลจนตกจากสังเวียนก่อนจะกระอักเืออกมา
เด็กหนุ่มผมขาวยืนประสานมือกำหมัดอยู่บนสังเวียน
เหล่าผู้ชมที่อยู่ด้านล่างต่างก็ตื่นตะลึงการเหตุการณ์เมื่อครู่จนไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออกมา พวกเขาจ้องมองมู่เฟิงราวกับได้เห็นสัตว์ประหลาด
“เป็ไปได้อย่างไร โจวเทาเป็ฝ่ายแพ้!”
ชายผู้เป็เ้ามือตกตะลึงกับผลลัพธ์นี้
เมื่อทุกคนได้สติก็บังเกิดเสียงฮือฮาของเหล่าผู้ชมดังเซ็งแซ่ขึ้นมาในทันที
“ให้ตายเถอะ ข้าอุตส่าห์วางเดิมพันฝั่งโจวเทาไปสามร้อยคะแนน...”
“ฮ่าๆ ได้กำไรแล้ว ข้าเดิมพันฝั่งบัณฑิตหน้าใหม่สองร้อยคะแนน”
กลุ่มฝูงชนมีทั้งคนที่ดีใจและเสียใจ ในขณะที่ไป๋จือเยว่เคาะโต๊ะพนันและกล่าวกับเ้ามือตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พี่ชาย มอบคะแนนมาให้ข้าได้แล้ว”
“เ้า…”
ชายผู้เป็เ้ามือใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ การเดิมพันครั้งนี้ทำให้เขาต้องเสียคะแนนให้กับไป๋จื่อเยว่ไปหลายพันคะแนน
“พี่เฟิง พอแล้ว!”
ไป๋จือเยว่โบกมือให้พี่เฟิงของเขา เมื่อเห็นดังนั้นมู่เฟิงจึงประสานหมัดและหันไปคำนับผู้ชมด้านล่างที่รายล้อมอยู่รอบสังเวียน ก่อนจะะโลงจากสังเวียน
“ฮ่าๆ พี่เฟิง นี่ของท่าน คราวนี้ได้คะแนนมาไม่น้อยเลย ของท่านได้รับไปสามพันคะแนน ส่วนของข้ากับเสี่ยวขวงได้รับมาคนละสองพันกว่าคะแนน”
ไป๋จื่อเยว่มอบบัตรผลึกคืนให้กับมู่เฟิง
เมื่อมู่เฟิงมองตัวเลขที่อยู่บนตัวบัตรก็พบว่าตอนนี้เขามีคะแนนรวมทั้งหมดสี่พันสองร้อยคะแนน เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มออกมาทันที
“มาครั้งนี้นับว่าไม่เสียเปล่า”
ไป๋จื่อเยว่หัวเราะร่า
“คิกๆ คะแนนพวกนี้ช่างได้มาง่ายนัก”
มู่ขวงก็กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน
เมื่อเ้ามือหนุ่มและกลุ่มผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินคำพูดเหล่านี้ของพวกเขาก็แทบจะกระอัก ได้มาง่ายอย่างนั้นหรือ?
โดยปกติแล้วการรับภารกิจหนึ่งครั้งจะได้รับคะแนนมากสุดเพียงหนึ่งพันคะแนนเท่านั้น แต่ครั้งนี้พวกเขาต้องมาเสียคะแนนจำนวนมากไปแค่เพราะไม่รู้จักความสามารถที่แท้จริงของมู่เฟิง เห็นทีการเดิมพันในครั้งต่อไปพวกเขาคงไม่สามารถทำคะแนนได้มากแล้ว
“คราวนี้ข้าก็สามารถคืนคะแนนให้กับว่านเอ๋อร์ได้แล้ว”
มู่เฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นคนทั้งสามก็เดินออกจากโรงพนันไปโดยมีสายตาริษยาของผู้คนโดยรอบจับจ้องตลอดทาง
“เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็ใครมาจากไหนกัน เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งนัก ดูเหมือนว่าบัณฑิตใหม่รุ่นนี้จะไม่ธรรมดาเลย”
กลุ่มคนที่มองตามหลังเด็กหนุ่มทั้งสามต่างก็กล่าวขึ้นด้วยความสงสัย
หลังจากเด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินออกมาจากโรงพนัน พวกเขาก็เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสำนักศึกษาเทียนอวิ่น
พื้นที่ภายในสำนักศึกษานั้นกว้างขวางมากจนสามารถกล่าวได้ว่าเป็เมืองเมืองหนึ่งเลยทีเดียว
นอกจากนี้ภายในสำนักศึกษายังมีสถานที่สำหรับการฟังการบรรยายเกี่ยวกับวิธีการฝึกฝนทักษะพลังปราณจากเหล่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ เพียงแต่ต้องใช้คะแนนเรียนในการแลกเปลี่ยน
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินทอดน่องอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกลับไปยังเรือนพักของตัวเอง แต่เมื่อพวกเขากลับมาถึงก็พบว่าเวลานี้มีศิษย์ตระกูลมู่หลายคนที่เข้าสำนักศึกษามาพร้อมพวกเขากำลังรอพวกเขาอยู่ที่เรือนพัก
“พี่เฟิง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว เกิดเื่ขึ้นแล้วขอรับ”
ศิษย์ตระกูลมู่จำนวนมากกว่าสิบคนวิ่งเข้ามาหาพวกเขา ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เมื่อสังเกตใบหน้าของพวกเขาก็พบว่าหลายคนมีรอยฟกช้ำบนใบหน้าและจมูกก็บวมช้ำ
มู่เฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะถามขึ้นทันทีว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อครู่พวกเราไปเข้าชั้นเรียนของบัณฑิตใหม่มาขอรับ มีบัณฑิตหน้าใหม่ผู้หนึ่งจากอาณาจักรเทียนเฟิงไม่พอใจมู่ฝานขอรับ เขาจึงเรียกสหายจากอาณาจักรเทียนเฟิงมารุมทุบตีมู่ฝานอย่างหนัก ตอนนี้มู่ฝานยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงอยู่เลยขอรับ”
ศิษย์คนหนึ่งของตระกูลมู่รีบกล่าวรายงาน ระหว่างอาณาจักรเทียนเฟิงและอาณาจักรหนานหลิงนั้นเป็ปรปักษ์ต่อกันมาอย่างยาวนาน บัณฑิตจากสองอาณาจักรมักจะปะทะกันบ่อยครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลมู่ยังเป็ตระกูลทหารขนาดใหญ่ของอาณาจักรหนานหลิง ดังนั้นกลุ่มคนจากอาณาจักรเทียนเฟิงจึงหมายหัวพวกเขาเป็พิเศษ
“มู่ฝานอยู่ที่ใด พาข้าไปดูอาการเขาหน่อย”
สีหน้าของมู่เฟิงมืดครึ้มลงทันที เขารีบเดินตามกลุ่มศิษย์ตระกูลมู่ไปยังเรือนพักของมู่ฝานอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของมู่ฝานที่กำลังนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียงนั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ นอกจากนี้บนร่างกายของเขายังมีรอยแผลเปื้อนเื
หลังจากมู่เฟิงตรวจสอบอาการาเ็ของมู่ฝาน หัวใจของเขาก็เกิดอาการบีบรัดจนรู้สึกเ็ป เวลานี้เพลิงโทสะกำลังแผดเผาอยู่ในใจของเขา
มู่ฝานกระดูกซี่โครงหักไปสามซี่ กระดูกแขนหักและยังได้รับาเ็ภายในอีกด้วย อาการาเ็เหล่านี้ กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนทั่วไปยังต้องนอนพักรักษาตัวไม่ต่ำกว่าสิบวันหรือครึ่งเดือน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้