การปรากฏตัวของผู้พิทักษ์แห่งคุกอนธการทั้งสิบตน ทำให้ผู้คนมากมายแตกตื่นในทันที
พวกมันมีพลังใกล้เคียงกับผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับที่สิบในระดับผู้ฝึกตน
แน่นอนว่าการต่อสู้ในดินแดนแห่งนี้เป็เื่ของพลังวรยุทธ์ อาวุธ ประสบการณ์ สภาพแวดล้อม และพื้นที่ที่ทำการต่อสู้ ดังนั้นปัญหาในตอนนี้คือ พวกผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการนั้นเป็ฝ่ายที่ได้เปรียบมากเกินไป พวกมันมีกันสิบตน ในขณะที่พวกเขามีหลัวเลี่ยเพียงคนเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางที่จะเทียบได้เลย
ด้วยช่องว่างทางกำลังขนาดใหญ่นี้ ทำให้ทุกคนคิดว่าเื่นี้ช่างยากลำบากแล้ว
บางคนหวาดผวา บางคนหวาดกลัว บางคนเสียใจ และบางคนยังคงมีท่าทีที่สงบเยือกเย็น
“ทุกคนไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไปแล้ว” ซ่านเหวินห้าวพูดเสียงดัง “พวกเ้ามองลงไปที่เท้าของตัวเองสิ บัดนี้ไม่มีบันไดร้อยขั้นอีกแล้ว”
“ใช่แล้ว พวกมันเป็ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการแล้วอย่างไรเล่า พวกเรามีคนตั้งมากมาย ขอเพียงพวกเราร่วมมือกันเื่นี้ก็ไม่เป็ปัญหาแล้ว” ซูฟั่งจู๋หัวเราะ “ทุกท่าน อย่ายืนนิ่งเฉยอีกเลย มา พวกเรามาร่วมมือกันสังหารผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบตนนั้น และทำลายบุปผางามอาบพิษให้สิ้นซาก เพื่อหยุดยั้งการกำเนิดของขุนพลเทพอสูร”
คำพูดของทั้งสองคนนี้ทำให้ทุกคนมีกำลังใจขึ้นมาในทันที
ใช่ ตอนนี้ไม่มีบันไดหนึ่งร้อยขั้นอีกแล้ว
บันไดหนึ่งร้อยขั้นนับว่าเป็ฝันร้ายของคนรุ่นหลังนับไม่ถ้วน ในอดีตไม่มีใครสามารถก้าวข้ามไปได้ แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่บนแท่นบูชาราบเรียบโดยไม่มีขั้นบันไดอีกแล้ว
ผู้คนมากมายส่งเสียงร้องอย่างดุเดือด และออกตัวพุ่งไปข้างหน้าเพื่อกำจัดบุปผางามอาบพิษทั้งสามดอก นอกจากนี้ยังมีสมบัติวิเศษอื่นๆ อยู่ตรงกลางแท่นบูชาอีกด้วย เช่น กระดูกอสูรั หินปราบั ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็สมบัติวิเศษที่จะทำให้ศิษย์ทั้งหลายของบรรพชนในกองกำลังที่ทรงอำนาจอิจฉาริษยา
ซึ่งแม้แต่ผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลงก็ถูกดึงดูดโดยไม่มีข้อยกเว้น
พวกนางยังคงยืนอยู่ในบริเวณใกล้กับจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา
จากนั้นก็มีเพียงเสียงปลุกใจ ตามมาด้วยเสียงร้องที่ดังสนั่นและเสียงกรีดร้องด้วยความเ็ป ผู้คนส่วนใหญ่ที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาคุกเข่าลง แม้แต่ผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลงก็ไม่มีข้อยกเว้น หญิงสาวทั้งสองต่างก็คร่ำครวญด้วยความเ็ปเช่นเดียวกัน ทุกคนกำหน้าอกแน่น แสดงถึงความรู้สึกอึดอัดเป็อย่างมาก
สำหรับผู้คนมากมายที่อยู่นอกแท่นบูชา พวกเขาถูกพลังที่มองไม่เห็นควบคุมไว้ ทำให้ไม่สามารถก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชาได้ บางคนถึงขั้นถูกพลังที่มองไม่เห็นบังคับให้วิ่งขึ้นไปบนแท่นบูชา จากนั้นคนพวกนั้นก็ถูกแรงกดดันกดบังคับพลังภายในจนมีเืออกตามทวารทั้งเจ็ด และสุดท้ายดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รอดชีวิต
“ให้ตายเถอะ พวกเราขยับตัวไม่ได้แล้ว”
“แท่นบูชานี้มีพลังพิเศษในการกักขังพวกเรา”
“พลังนี้แข็งแกร่งเกินไป พวกเราไม่สามารถทะลวงออกไปได้เลย”
พวกอัจฉริยะหวาดกลัวอีกครั้ง
จากตอนแรกที่พวกเขาโอ้อวดว่าพวกเขามีวิธีที่จะช่วยชีวิตตัวเองได้ หรืออย่างมากที่สุดผู้คนมากมายที่พวกเขาดูถูกก็แค่ตายไป แต่พวกเขาจะสามารถหลบหนีได้ไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะมาตายที่นี่ และตอนนี้
การที่ไม่สามารถขยับตัวได้ก็หมายความว่า หากผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการมาฆ่าพวกเขา พวกเขาจะต้องตายโดยที่ไม่มีทางได้ตอบโต้อย่างแน่นอน
เมื่อเทียบระยะทางกับผู้คนมากมายที่อยู่นอกแท่นบูชา พวกเขาย่อมต้องเป็ด่านแรกที่ถูกสังหารก่อน นอกจากนี้พวกเขายังมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าคนมากมายพวกนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะมองจากมุมใด เป้าหมายของผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบนั้นย่อมเป็พวกเขาก่อนอย่างแน่นอน
ในที่สุดเงาแห่งความตายก็คืบคลานเข้ามาในหัวใจของพวกเขา
ความกลัวกำลังแพร่กระจายเข้ามาในความคิด
ทันใดนั้นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยยืนอยู่บนบันไดขันที่แปดสิบหกก็แสดงความหวาดกลัวออกมา โดยะโใส่หลัวเลี่ยอย่างบ้าคลั่งว่า “ให้ตายเถอะ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ เ้าจะเป็วีรบุรุษได้อย่างไร ตอนนี้พวกเราทุกคนกำลังจะตาย และถ้าไม่ใช่เพราะเ้า พวกเราก็คงไม่มีใครต้องตาย”
หลังจากจบประโยคนั้น เหล่าอัจฉริยะจากกองกำลังที่ทรงพลังทั้งหลายก็พากันด่าทอหลัวเลี่ยราวกับไฟลามทุ่ง
“ไอ้สารเลว ข้าไม่สนหรอกว่าเ้าจะเป็ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ หรือเป็ใคร แต่หากข้าต้องมาตายเพราะเ้า บรรพชนกวงเฉิงจื่อต้องมาจัดการเ้าแน่”
“ใช่แล้ว ถ้าข้าต้องมาตายเพราะเ้า เ้าจงจำไว้ว่าบรรพชนจู้หลิวซุนจะต้องมาจัดการเ้าแน่”
“ส่วนข้า บรรพชนผู่เซียน!”
“ข้า บรรพชนจินหลิง!”
“ข้า บรรพชนจ้าวกง!”
เพียงพริบตา กลุ่มคนที่กำลังจะตายพวกนั้นต่างก็ทยอยเปิดเผยตัวตนของตัวเองทีละคน พวกเขาต่างเป็อัจฉริยะในสำนักที่ถูกก่อตั้งโดยบรรพชนที่มีชื่อเสียง และพวกเขาก็กำลังกล่าวว่าจะให้หลัวเลี่ยชดใช้ด้วยชีวิต
หลัวเลี่ยหันกลับมา และพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ช่างเป็กลุ่มคนที่เห็นแก่ตัวและไร้ความสามารถจริงๆ”
“เ้าว่าอย่างไรนะ!” อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดโกรธจัด
อัจฉริยะคนอื่นๆ ก็โกรธเช่นกัน
หลัวเลี่ยพูดอย่างราบเรียบ “ข้าบอกว่า พวกเ้าเป็คนเห็นแก่ตัวและไร้ความสามารถ!”
“เ้ากล้าดูถูกข้าเช่นนี้หรือ ข้าจะฆ่าเ้า!” อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดคำรามออกมาด้วยความโกรธ
“อย่างเ้าน่ะหรือ?” หลัวเลี่ยพูดอย่างเหยียดหยาม “คนที่ไม่แม้แต่จะก้าวขึ้นบันไดมาถึงขั้นที่เก้าสิบเช่นเ้า จะมาฆ่าข้าหรือ ข้าคิดว่าเ้าไม่เพียงเห็นแก่ตัวเท่านั้น แต่ยังไร้ความสามารถและโง่เขลาอีกด้วย”
หนึ่งประโยคนี้ของหลัวเลี่ยทำให้อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองจนตาย
ในเวลานี้เหล่าอัจฉริยะที่กำลังขบกรามอยู่ก็ได้รู้แจ้งแล้วว่า คนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นทรงพลังและร้ายกาจเพียงใด
“เ้าก็ต้องตายเช่นกัน” สุดท้ายอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดก็สงบลง และพูดขึ้นอย่างเ็า “แม้เ้าจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่เ้าก็ไม่สามารถพาหญิงสาวทั้งสองคนของเ้าออกไปได้ ดังนั้นเ้าก็มีแต่ต้องเผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบตนนั้น”
“ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบตนแล้วอย่างไร พวกมันแข็งแกร่งมากหรือ” หลัวเลี่ยพูดอย่างใจเย็น
น้ำเสียงและท่าทางเช่นนี้ของหลัวเลี่ยทำให้เหล่าอัจฉริยะหลายคนแทบคลั่ง
หากเป็พวกเขาคงไม่มีใครสามารถเอาชนะผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการได้ แต่ตอนนี้หลัวเลี่ยกลับเผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ทั้งสิบนั้นด้วยตัวเอง และยังทำท่าทางที่เหมือนเื่นี้ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไรอีก พวกเขาคิดว่าหลัวเลี่ยช่างเป็คนที่อวดดีเสียจริง!
อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดเย้ยหยัน และพูดว่า “ข้ายอมรับว่าเ้าสามารถก้าวขึ้นไปบนจุดสูงสุดได้อย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าพลังของเ้านั้นย่อมไม่มีใครเทียบได้ และหมายความว่าผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการหนึ่งหรือสองตนอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้า แต่ตอนนี้พวกมันมีจำนวนถึงสิบตน และยังเป็ถึงผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการที่มีหน้าที่ปกป้องการกำเนิดของขุนพลเทพอสูร แน่นอนว่าพวกมันมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ฝึกฝนเคล็ดฝึกตนทั้งสิบเสียอีก เช่นนี้เ้าจะต่อสู้กับพวกมันทั้งสิบตนด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร”
อัจฉริยะที่ถูกตรึงกายไว้บนแท่นบูชาค่อยๆ ส่งเสียงอย่างเห็นด้วยออกมาทีละคน
แม้แต่ซ่านเหวินห้าว ซูฟั่งจู๋ และเติ้งจื่อเฉิน ที่โชคดีพอที่จะไม่ได้ยืนอยู่บนแท่นบูชาั้แ่แรกก็แสดงความขมขื่นออกมา
“หลัวเลี่ย สิ่งที่พวกเขาพูดออกมาล้วนถูกต้องแล้ว ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการนั้นแข็งแกร่งเกินไป เ้าเพียงคนเดียวย่อมไม่อาจต่อสู้ได้แน่ พวกเราถอยก่อนที่ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการจะเข้าโจมตีดีหรือไม่ พวกเราถอยไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยคิดหาทางกันอีกที” ซ่านเหวินห้าวกล่าว
“ใช่ พวกเราต้องคิดให้รอบคอบก่อนเริ่มโจมตีพวกมัน มิฉะนั้นทุกคนอาจตายได้” ซูฟั่งจู๋กล่าว
จากนั้นผู้คนมากมายที่อยู่นอกแท่นบูชาก็ค่อยๆ พูด เพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมหลัวเลี่ยให้เห็นความสำคัญกับความปลอดภัยเป็อันดับแรก
หลัวเลี่ยไพล่มือไว้ข้างหลัง จังหวะการหายใจของเขามั่นคงขึ้น เพราะระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ความเหนื่อยล้าของเขาจากการก้าวขึ้นไปบนขั้นที่หนึ่งร้อยก่อนหน้านี้ก็ได้ฟื้นคืนสู่ระดับปกติแล้ว เขามองย้อนกลับไปที่กลุ่มคน จากนั้นก็ส่ายหัวและถอนหายใจ “หากกลัวที่จะต่อสู้ ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกหรือ”
เดิมทีหลัวเลี่ยคิดว่าเมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมาคงจะทำให้คนพวกนั้นคิดได้บ้าง แต่เื่กลับไม่เป็เช่นนั้น เพราะหลังจากที่เขาพูดจบประโยค คนมากมายเ่าั้กลับกรีดร้องออกมา
“เ้า เ้าคิดจะทำอะไร”
“เ้าคงไม่ได้คิดที่จะฆ่าผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบตนนั้นใช่หรือไม่”
“หากเ้าจะยั่วโมโหผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบตนนั้นจนตัวเองถูกฆ่าตาย ข้าก็ไม่ว่า แต่อย่าเอาพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”
“ข้าขอเตือนเ้าในฐานะศิษย์ของสำนักหร่านเติง หากเ้ากล้าทำเช่นนั้น ต่อให้เ้าตายไปแล้ว ข้าก็จะไปตามหาตัวตนของเ้า และจัดการกับตระกูลของเ้าแน่!”
พวกเขาต่างพากันะโขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เพื่อสร้างโอกาสในการหลบหนีให้ตัวเอง
เมื่อได้เผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบ เหล่าอัจฉริยะที่ประกาศตัวว่าเป็อัจฉริยะและหยิ่งยโสเหล่านี้ กลับไม่มีแม้แต่ความตั้งใจที่จะต่อสู้
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากแค่ไหน ก็ไม่อาจทะลวงพลังที่ตรึงพวกเขาเอาไว้บนแท่นบูชานี้ได้
และสิ่งที่ทำให้เหล่าอัจฉริยะพวกนั้นกลัวยิ่งกว่าความตายก็คือ การกระทำของวีรบุรุษที่มีนามว่า ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’
เพราะในตอนนี้หลัวเลี่ยได้หยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุณของเขา แล้วนั่งลง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าอยากลงมือแล้ว แต่พวกเ้ากลับไม่ให้ข้าทำ ตัวข้าจริงๆ แล้วก็เชื่อฟัง และให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่นด้วย ดังนั้นในเมื่อพวกเราต่างก็มีความคิดเป็ของตัวเอง ทำไมเราไม่เป่ายิ้งฉุบเพื่อหาจุดยุติล่ะ กติกาก็ง่ายมาก หากผู้ใดชนะก็ให้ทำตามคนผู้นั้น”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้