หลิวเต้าเซียงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็ครั้งแรกที่นางรู้เื่นี้ เช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็คำสั่งเสียของปู่ทวด ก่อนจะแยกครอบครัวบ้านหลังนี้ก็ควรเป็ของเขาอยู่แล้ว
หลิวต้าฟู่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย ผ่านไปชั่วครู่จึงเหลือบมองหลิวฉีซื่อแล้วถอนหายใจอย่างระอา เขาเดินไปสำรวจมองหลิวซานกุ้ยที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจังแล้วตบบ่า “พ่อเองก็มีความลำบาก เ้าอย่าได้โทษพ่อเลย เ้าสอบผ่านถงเซิง พ่อปลาบปลื้มจากใจจริงๆ ชีวิตของเ้าดีแล้ว พ่อเองก็ดีใจ ส่วนเื่เงินยามแก่เฒ่า ก็ทำตามที่เ้าบอก ส่วนเื่เสื้อผ้า ข้ากับแม่เ้าก็แก่เฒ่าแล้ว ไม่ถือสาเื่เ่าั้ ขอเพียงไม่พังไม่เสีย สะอาดสะอ้านก็เพียงพอ”
สิ้นเสียงของหลิวต้าฟู่ ใบหน้าของหลิวฉีซื่อก็น่าเกลียดยิ่งนัก ขณะนั้นหลิวเต้าเซียงสังเกตเห็นว่าท่าทีของหลิวเหรินกุ้ยดูแปลกประหลาดไปชั่วขณะ แม้ว่าต่อมาเขาจะทำทีเห็นด้วยและเริ่มปลอบมารดา
นี่คือการแสดง เขาเพียงแค่้าเชื่อมสัมพันธ์กับจางอวี้เต๋อ
แต่การกลับมาของจางอวี้เต๋อนั้น ก็ยังไม่มีกำหนด!
หลังจากเหตุการณ์นี้ ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง นอกจาหลิวฉีซื่อจะส่งชุ่ยหลิวมาเป็ครั้งคราว หากไม่ขอไข่ไก่ก็จะจับแม่ไก่กลับไปบำรุงร่างกาย ไม่รู้ว่านางตั้งใจเกาะติดสถานการณ์ของครอบครัวนี้หรือไม่ ทุกครั้งที่หลิวซานกุ้ยไปจับปลากับคนอื่น หลิวฉีซื่อก็มักจะปรากฏตัวพร้อมกับชุ่ยหลิวเป็คนแรกเสมอ นางเองก็ไม่พูดมาก เพียงแต่เอามือเข้าไปในข้องที่อยู่บนบก แล้วเลือกปลาตัวที่ใหญ่ที่สุดกลับไปเสมอ
หลิวเต้าเซียงโกรธมากเมื่อรู้เื่นี้ หลิวชิวเซียงจึงปลอบโยนนาง “น้องรองอย่าโกรธไปเลย อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ หรือว่า เราไม่ต้องให้ท่านพ่อไปจับปลาแล้ว ั้แ่เดือนแปดเป็ต้นไป ไก่บ้านเราก็เริ่มวางไข่แล้ว ตอนนี้วันหนึ่งก็ได้หลายพันตัว เ้าบอกไม่ใช่หรือว่า หนึ่งเดือนเรามีเงินเข้าบัญชีมากกว่าหนึ่งร้อยตำลึง แม้ว่าจะยังไม่ได้คิดเื่ต้นทุนค่าไก่กับอาหารไก่ แต่ข้าคิดว่าหักลบแล้วก็น่าจะเหลือ”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและตอบ “ต้องเหลืออยู่แล้ว เพราะว่าข้าทำงานระยะยาวกับผู้รับซื้อ อีกทั้งเราผลิตปริมาณเยอะ พวกเขาเองก็หมดห่วงไปหลายเื่ ส่วนราคาก็ถูกกว่าข้างนอกไม่น้อย ปีนี้ครอบครัวเราคงได้ผ่านเทศกาลปีใหม่อย่างดีเลยล่ะ”
“หิมะในปีนี้ตกหนักขึ้นทุกวัน ใช่สิ คราวที่แล้วข้าได้ยินเพื่อนในหมู่บ้านบอกว่า มีคนเห็นลุงรองกับชุ่ยหลิวไปตำบลข้างๆ” หลิวชิวเซียงนึกถึงเื่นี้ขึ้นมากะทันหัน
รอยยิ้มของหลิวเต้าเซียงนิ่งไป สุดท้ายก็เอ่ย “ไม่เกี่ยวกับครอบครัวเรา เพราะครอบครัวเราแยกออกมาอยู่แล้ว ทางนั้นจะทะเลาะกันอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับบ้านเรา”
หลิวชิวเซียงกังวลมากขึ้น “แต่พ่อของเราเป็ถงเซิงแล้ว ชิวเหวยปีหน้าก็จะลงสอบแล้วด้วย”
“ท่านพี่บอกเองว่า นั่นคือเื่การสอบปีหน้า” หากเกิดข่าวลืออะไรขึ้นจริง ก็คงพูดแค่เื่ชู้สาว คงไม่ได้กระทบอะไรมากนัก
ในสมัยโบราณผู้คนมักมีความโอบอ้อมต่อผู้ชายมากกว่า ส่วนผู้หญิงนั้นถือเื่ชื่อเสียงมาก
“เต้าเซียง ชิวเซียง รีบมาเร็ว ปีนี้เราต้องเตรียมของขวัญปีใหม่ให้อาจารย์กัว” จางกุ้ยฮัวส่งเสียงดังมาจากในเรือนหลัก
หลิวชิวเซียงเปิดหน้าต่างแล้วเอนตัวออกไป “ท่านแม่ รู้แล้ว เราจะไปเดี๋ยวนี้”
ั้แ่กัวซิวฝานไปสอบชิวเหวยครั้งนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งกลับมาที่ตำบล มีทั้งเื่ที่เหนือความคาดหมายและตามคาดหมาย กัวซิวฝานสอบติดจวี่เหริน เพียงแต่ลำดับไม่ได้ดีตามที่คาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงปฏิเสธคนมากมายที่เชิญไปทำงาน และเลือกกลับมาที่ตำบลเหลียนซานเพียงลำพัง
หลิวชิวเซียงปิดหน้าต่างและยิ้ม “อาจารย์กัวเป็คนแปลกๆ ข้าได้ยินมาว่าการเล่าเรียนที่ตัวเขตสามารถคบหาสหายได้มากมาย แต่เขารั้นจะกลับมาตำบล”
“ในตัวเขตก็มีข้อดีของมัน แต่ในตำบลก็มีเช่นกัน ในตัวเขตจะสามารถมีเครือข่ายคนรู้จักมากมาย แต่ก็ต้องทำความคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ให้ดี ส่วนในตำบลมีทั้งคนรู้จักเยอะและสงบ ไม่มีคนมารบกวน เขาจะได้มีสมาธิในการเรียน ยิ่งไปกว่านั้น จวี่เหรินยังได้รับการยกเว้นภาษีหนึ่งร้อยไร่ หากเป็ในตัวเขตเกรงว่าคงมีจวี่เหรินมากมาย สู้กลับมาในตำบล เช่นนี้สถานะทางบ้านของอาจารย์กัวก็คงดีขึ้นไม่น้อย”
ภาษีในปีนี้เพิ่มขึ้นอีก จวี่เหรินแบบอาจารย์กัวที่ไม่ได้มีพันธะอะไรก็ยิ่งสบาย
กลัวเพียงแต่่ก่อน ที่กั้นประตูบ้านของเขาคงถูกคนเหยียบจนพังแล้ว ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไร้าไปลงทะเบียนที่นาในชื่อของเขา
“หลายปีก่อนอาจารย์กัว หากไม่ใช่เพราะมีท่านแม่เป็ภาระ ก็คงไม่ได้ลำบากเพียงนั้น”
ั้แ่หลิวซานกุ้ยสอบผ่านถงเซิง ความสนใจของหลิวเต้าเซียงก็ไม่ใช่เื่ที่นาในหมู่บ้านสามสิบลี้อีกต่อไป หลิวชิวเซียงเองก็รู้ดี
กฎหมายของราชวงศ์โจวกำหนดว่าเพื่อให้บัณฑิตสามารถเรียนได้อย่างสบายใจและไม่ต้องกังวล ทุกคนจึงสามารถยกเว้นภาษีที่นาได้สามสิบไร่ ส่วนจวี่เหรินนั้นยกเว้นภาษีที่นาหนึ่งร้อยไร่ หากว่าได้เข้าเป็บัณฑิตในสำนักศึกษา ก็จะได้รับยกเว้นภาษีสองร้อยไร่ หากเมื่อเป็ขุนนางในราชสำนัก หนึ่งร้อยไร่จนถึงหนึ่งพันไร่สามารถยกเว้นภาษีได้ ในนี้จะแบ่งออกเป็คนที่จบออกมาจากสำนักศึกษา ขั้นต้นคือยกเว้นภาษีที่นาสามร้อยไร่ ส่วนคนที่อาศัยเส้นสายหรือทางอื่น ข้าราชการขั้นแปดถึงเก้าผินไม่มีการยกเว้น ส่วนเจ็ดผินก็นับลงไปเรื่อยๆ ยกเว้นภาษีหนึ่งร้อยไร่ ตำแหน่งขุนนางยิ่งสูง ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีมากขึ้น ถึงกระทั่งได้รับพระกรุณาจากฝ่าา สามารถยกเว้นภาษีได้หนึ่งพันไร่
หลังจากภรรยาของกัวซิวฝานนั้นเสียชีวิตด้วยอาการป่วย ตอนนั้นสมบัติและที่นาของเขาล้วนใช้ไปกับภรรยา ต่อมาเมื่อมารดาแก่ตัวลง บุตรชายก็โตขึ้น ค่าใช้จ่ายในบ้านก็มีมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงขัดสนมาโดยตลอด
คราวนี้จางกุ้ยฮัวเรียกบุตรสาวทั้งสองมาช่วยดูของขวัญปีใหม่ให้กัวซิวฝาน เพราะว่าหลิวซานกุ้ยกำชับไว้ ตอนนี้อาจารย์ของเขาเป็จวี่เหริน ของขวัญไม่อาจนับตามเดิมได้ อีกทั้งปีนี้บ้านเขามีรายได้เข้ามา ของขวัญจึงต้องมีคุณค่ามากขึ้น
เมื่อหลิวเต้าเซียงเข้าไปในห้อง ก็เห็นมารดากำลังล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมพร้อมด้วยครรภ์ที่โตอย่างประหลาด บนโต๊ะมีสิ่งของวางอยู่มากมาย ทำเอานางใเหงื่อซึม รีบเข้าไปพยุงนางไว้ “ท่านแม่ ท่านรีบพักเถิด หมอบอกว่าท่านกำลังจะคลอดแล้ว ห้ามเหนื่อยเกินไป”
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงลงมือทำเองอีกแล้ว คุยกันไว้ว่าหากมีเื่อะไรก็ให้เรียกพวกข้าสองพี่น้องช่วย” หลิวชิวเซียงเองก็ตามเข้ามาแล้วพยุงนางอีกข้าง
จางกุ้ยฮัวมีความสุขกับความกตัญญูกตเวทีของบุตรสาวทั้งสอง จึงยิ้มแล้วเอ่ย “วันๆ เอาแต่นอน รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ข้ารู้สึกว่ากระดูกจะขึ้นสนิมแล้ว”
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองสิ่งต่างๆ บนโต๊ะ ปลารมควันสองตัวใหญ่ เนื้อหมูเค็มรมควันสองท่อนใหญ่ เป็ดรมควันสองตัว แล้วก็ไข่อีกหนึ่งตะกร้า จึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ นี่คือของขวัญที่เตรียมให้อาจารย์กัวปีนี้หรือ?”
“ใช่แล้ว พ่อเ้าบอกว่าของขวัญต้องดีกว่าปีที่แล้วหนึ่งเท่าตัว คนรุ่นเราในตำบลเหลียนซานถือเื่เหล่านี้ ของเหล่านี้ท่านยายเ้าเป็คนเตรียมเอง ข้าอยากถามพวกเ้าว่า ควรเตรียมของมากเท่าไรจึงจะดี”
นับั้แ่จางกุ้ยฮัวตั้งครรภ์ก็วางมือ ถึงอย่างไรบุตรสาวคนรองก็เก่งกาจ เงินและบัญชีในบ้านก็มีนางช่วยดูแล ส่วนเื่ค่าใช้จ่ายก็ปล่อยให้พวกนางสองพี่น้องดูแลจัดการ
ประเด็นสำคัญคือหลิวชิวเซียงจะแต่งงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จางกุ้ยฮัวจึงตั้งใจให้นางเรียนรู้เื่การเป็คนดูแลจัดการครอบครัว
แน่นอนว่าเื่นี้เป็ความคิดของเฉินซื่อที่จะช่วยนาง ไม่เช่นนั้นนางจะเข้าใจเื่นี้เองได้อย่างไร?
“ไม่อย่างนั้น เรามาถามท่านยายดีกว่า ตอนนั้นท่านตาเองก็เป็อาจารย์ที่สถาบันเอกชนไม่ใช่หรือ?” หลิวเต้าเซียงเองก็ไม่รู้ว่าควรให้เท่าไร
“นอกจากนี้ ยังมีนายท่านจิ่วกับพ่อครัวจางก็เตรียมพร้อมกันดีกว่า ถึงเวลาจะได้นำไปให้ทีเดียว”
จางกุ้ยฮัวหยอกล้อว่าตนเองตั้งครรภ์จนสมองไม่ทำงานแล้ว จึงสั่งให้หลิวชิวเซียงไปเชิญท่านยายมา
เฉินซื่อกําลังยุ่งอยู่กับการตุ๋นแกงไก่ในห้องครัว เมื่อเห็นจางกุ้ยฮัวกังวลไปเรื่อย จึงเริ่มบ่น
หลิวเต้าเซียงหน่ายใจ จึงเร่ง “ท่านยาย ท่านรีบบอกพวกข้าเร็ว ของขวัญของจวี่เหรินควรเตรียมของที่จำเป็อะไรบ้าง?”
เฉินซื่อไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งและกล่าวว่า “ข้าจำได้อย่างคลุมเครือว่าตาของเ้าบอกว่า จวี่เหรินไม่เหมือนซิ่วไฉ หากว่าทั้งเขตชิงโจวมีซิ่วไฉหลายร้อยคน เช่นนั้นหนึ่งเขตก็คงมีจวี่เหรินมากสุดไม่เกินสามสิบคน แม้ว่าซิ่วไฉจะได้รับการยกเว้นภาษีที่นาสามสิบไร่ แต่เงินเ่าั้ไม่เพียงพอ ถึงอย่างไรก็มีซิ่วไฉที่ยากจนอยู่ดี แต่จวี่เหรินนั้น นอกจากเื่ที่เจอเ้าคณะอำเภอแล้วไม่ต้องคำนับแล้ว ยังยกเว้นภาษีที่ดินได้มากขึ้น หากว่ายกเว้นภาษีได้มากเท่าไร จวี่เหรินเหล่านี้ก็จะยิ่งมั่งคั่ง แม้ว่าซื้อที่ดินไม่ได้ แต่ก็จะมีคนมาเสนอตัวมากมาย และขอลงทะเบียนในชื่อของเขา จากนั้นก็แบ่งผลผลิตให้เขาส่วนหนึ่ง”
“จากที่กล่าวมา ดูเหมือนว่าของขวัญที่จะให้อาจารย์กัวคงน้อยเกินไปไม่ได้” จางกุ้ยฮัวขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าของบ้านตนเองนั้นมากพอหรือยัง
ขณะที่ยังคิดไม่ตกก็หันไปมองบุตรสาวคนรอง เงินอยู่ในมือของนาง ส่วนตนเองรับผิดชอบแค่กินกับนอน
หลิวเต้าเซียงถามอีกครั้ง “ท่านยาย หลังจากอาจารย์กัวกลับมา ได้จัดงานเลี้ยงฉลองหรือยัง ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่าเคยถามเขา แต่อาจารย์กัวไม่ยอม คงเพราะเพิ่งสอบผ่านจวี่เหริน แต่ทรัพย์สินในบ้านยังมีไม่มากพอ อีกอย่างคนรอบข้างไม่มอบของขวัญ แต่บ้านเราจะไม่มอบก็ไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นของขวัญปีนี้ต้องดีกว่าปีที่แล้วสามเท่าจึงจะดี เราให้เงินไม่ได้ ความหมายของข้าคือ เราให้ไก่เป็ๆ ที่วางไข่ได้สิบคู่เท่านั้น ท่านแม่ของอาจารย์กัวจะได้มีหนทางทำรายได้”
ไก่สิบคู่คือแม่ไก่ยี่สิบตัว ไม่ว่าจะขายเป็เงินหรือเก็บไว้เอาไข่ไปแลกเงินก็ทำได้
“ครอบครัวของเราเลี้ยงหมูไม่น้อย หรือไม่ก็ยกหมูให้อีกครึ่งซีก!” คนที่พูดคือหลิวชิวเซียง
เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว วิสัยทัศน์ของนางเปิดกว้างกว่าเดิมไม่น้อย ท่าทีขี้ขลาดนั้นไม่มีอีกต่อไป นางกลายเป็คนที่เปล่งประกายเจิดจรัส
“ในเมื่อเป็จวี่เหริน ให้ครึ่งซีกคงไม่ดี ให้หนึ่งตัวจะดีกว่า”
จางกุ้ยฮัวเป็คนพูดขึ้น นางคิดว่าที่บ้านเลี้ยงหมูไว้ร้อยกว่าตัว รออีกสิบวันก็จะขายไปสองร้อยตัว ยังเหลือยี่สิบสี่ตัว หลังจากหักต้นทุนของปีหน้าแล้ว ครอบครัวของนางยังตั้งใจจะเหลือไว้อีกสี่ตัว
หลิวเต้าเซียงเข้าใจความหมายของมารดาที่ไม่้าเสียผลประโยชน์ให้คนที่บ้านเดิมมากนัก
“แม่ไก่ยี่สิบตัว หมูหนึ่งตัว ครอบครัวอาจารย์กัวมีกันสามคน ตัดผ้าไหมหูโจวให้คนละสองผืน และที่ตัดกระดาษสองชุด แล้วก็หมึกชั้นดีสองแผ่น เทศกาลไหว้พระจันทร์หนที่แล้วคุณชายซูก็ให้คนนำมาให้ไม่ใช่หรือ ข้าจำได้ว่าพ่อเ้าบอกว่ากระดาษเ่าั้ไม่ค่อยได้ใช้ เขาตั้งใจเก็บไว้ให้คนอื่น ตอนนี้มอบให้อาจารย์กัวนับว่าเหมาะสมยิ่งนัก”
หลังจากที่หลิวเต้าเซียงพูดจบก็มองไปทางเฉินซื่อ นางไม่รู้ว่าเท่านี้จะเหมาะสมหรือไม่
เฉินซื่อตอบว่า “พอประมาณแล้วล่ะ เพียงแต่ของตากแห้งน้อยเกินไปหน่อย เพิ่มอีกอย่างละหนึ่งชุดดีกว่า เอาแบบนี้ ปลาเค็มกับเป็ดเค็มอย่างละสองชุด หมูเค็มสี่ท่อน นอกจากนี้ก็มอบแป้งขาวชั้นดีในอำเภออีกหนึ่งถุง ถึงตอนนั้นก็ชั่งแป้งขาวยี่สิบชั่ง รวมกับที่หลานสาวบอกมาก็พอสมควรแล้ว พวกเรามีใจอยากสนับสนุน แต่ก็ห้ามโบราณเกินไป ไก่กับหมูเป็ๆ สามารถเปลี่ยนเป็เงินได้ แล้วยังมีของตากแห้งทั้งหลาย จะได้ให้ครอบครัวเขาเก็บไว้ต้อนรับแเื่”
-----
