“ดีขึ้นมาก” เขาพยักหน้าเบา ๆ เตรียมหันไปเก็บของเพื่อเดินทางกลับ ผมหันมองไปยังแม่บ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“เดือน”
“คะคุณคีย์”
“ดูแลคุณปู่หน่อย ผมมีเื่อยากคุยกับคุณหมอตามลำพัง” ดูเหมือนคำพูดของผม ทำให้คุณหมอนาวินชะงักนิ่งครู่หนึ่ง
หลังจากเดือนพาคุณปู่ธลากรเข้าบ้านไป คราวนี้เหลือแค่ผมกับเขา.... พร้อมสายลมพัดโชยปะทะกายวูบหนึ่ง บรรยากาศคล้ายกับตอนที่ มยุราและภูมิพลเคยนั่งเจรจากันถึงเื่งานแต่งที่จะเกิดขึ้นในอดีต
ผมที่อยู่ในชุดนักศึกษาและเขาที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว เราสองคนได้เกิดใหม่และอยู่ในบริบทแตกต่างจากชาติที่แล้ว ผมเป็ชายและเขาเป็ชาย ซึ่งไม่มีอะไรเหมือนเดิม...
หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ์ดลใจให้ผมจำทุกอย่างได้ และนั่นก็เหมือนการอนุญาตให้ผมแก้แค้นได้ โดยไม่ต้องรู้สึกผิด!
“คุณอาคิราห์ มีอะไรจะคุยกับผมงั้นเหรอ” เขาถามอย่างตั้งใจ
“ไม่รู้ว่าหมอจำเื่ที่เราเคยคุยกันไว้ได้ไหม เื่ที่ผมบอกว่าอยากรู้จักคุณหมอมากกว่านี้” ผมไม่เสียเวลาอ้อมค้อม แต่แทนที่เขาจะลังเล กลับตอบรับผมในทันทีไม่มีหลบสายตา
“มีแค่วันนี้ ที่ผมว่าง” เป็ผมเองที่ชะงักในคำตอบ เขายิ้มหันไปหยิบกระเป๋าแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“แต่ผมว่าคุณควรกลับไปเรียนจะดีกว่า”
“เื่นั้นผมเป็คนตัดสินใจเอง ว่าจะอยู่กับคุณ หรือจะกลับไปเรียน” มือวางกระเป๋าลง แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาที่มองมายังเป็สายตาอบอุ่นเหมือนเคย
“ถ้างั้น หากคุณวิภาวีต่อว่าผม คุณก็ต้องรับผิดชอบ” ผมยักไหล่ ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเื่นั้นอยู่แล้ว
“งั้น ผมจะเลี้ยงอาหารคุณหมอ ถือเป็การขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้” เขาไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ทว่าหันไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินนำผมไปยังรถคันหรูของเขา ผมมองรถคันนั้นก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“เอารถผมไปดีกว่า” ผมเบี่ยงมายังรถของตัวเองเป็เชิงบังคับ และเขาไม่ได้ปฏิเสธ
นาทีที่เขาก้าวขึ้นรถ ผมสาบานกับตัวเอง ว่าชีวิตเขาจากนี้จะไม่มีอะไรเหมือนเดิม ผมได้แต่ยิ้มมุมปากแล้วหมุนพวงมาลัยออกจากบ้านไป
ระหว่างทางไปร้านอาหาร บรรยากาศภายในรถค่อนข้างเงียบ หากแต่เขาเอื้อมไปเปิดเพลง โดยไม่ขออนุญาตผม เป็เพลงเก่าเย็น ๆ เหมือนที่คุณภูมิพลเคยเปิดบ่อย ๆ ผมเผลอเหยียบเบรกแล้วรีบปิดเพลงนั้นทันที ก่อนจะได้สติกลับมา จึงนึกแก้ตัวแล้วหันมองหน้าเขา
“ขอโทษ ผมแค่ใทำนองเย็น ๆ รู้สึกไม่คุ้น” พูดจบผมก็เอื้อมไปกดเปิดเพลงต่อ เพื่อให้ทุกอย่างปกติมากที่สุด หากแต่เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“เป็เพลงสมัยเก่า ชื่อเพลงว่า ‘รักกันหนอ’ ความหมายดีนะ แต่เด็กสมัยนี้คงไม่รู้จัก” ผมเผลอตอบกลับอย่างอัตโนมัติ
“คุณหมออย่าลืม ว่าคุณแก่กว่าผมแค่ 13 ปี เราก็สมัยเดียวกันรึเปล่า? แค่ฟังทำนองก็รู้ว่าคุณหมอเองก็เกิดไม่ทันเหมือนกัน” แทนที่เขาจะโกรธกลับยิ้มแล้วตอบ
“เป็เพลงสมัยปี 2514 แต่ผมว่าอายุของเพลง ไม่น่าสนใจเท่ากับคุณรู้อายุผมได้ยังไง?” คำถามของเขาทำให้ผมชะงัก ประวัติทั้งหมดของเขาที่ธันน์หามา ทำให้ผมเผลอมีพิรุธ มือที่กำพวงมาลัย เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
“ก็แค่เดาน่ะ ผมเป็พวกเดาเก่ง” ระหว่างนั้นบทสนทนาของเราสองคนก็จบลง เหลือแค่เพลงเย็น ๆ คอยกล่อมไปตลอดทาง ผมฟังเนื้อเพลงที่รู้ว่าในอดีตนั้น ภูมิพลไม่ได้หมายถึงมยุรา แต่หมายถึงพรรณีหญิงคนรัก... ก็ยิ่งอยากเอื้อมไปปิดเพลงให้มันรู้แล้วรู้รอด
อยู่ ๆ คำถามก็ผุดขึ้น ว่าทำไม์ไม่ให้ผมลืมเื่ราวทุกอย่าง ให้ผมกลับไปจำความเ็ปพวกนั้นอีกทำไม เคยคิดว่าชาติที่แล้วต้องทำความดีไว้มาก ชาตินี้ถึงได้เกิดในครอบครัวสมบูรณ์พร้อม แต่ความจริงไม่ใช่...ชาติก่อนผมก็แค่คนที่เคยเผชิญหน้ากับความทุกข์ และชาตินี้ผมก็หนีไม่พ้นอยู่ดี...
“คิดอะไรอยู่เหรอ?” คำถามของคุณหมอ ทลายความคิดทั้งหมดของผมลง
“กำลังคิดว่าจะพาคุณหมอ ไปทานอาหารร้านไหนดี”
“หากคุณคิดไม่ออก ไปร้านประจำของผมก็ได้นะ?” เมื่อเห็นว่าข้อเสนอของเขาดูน่าสนใจดี ก่อนจะเผลอมองไปยังกระจก พบว่าตัวเองอยู่ในสีหน้าเคร่งเครียดเกินไป จึงพยายามผ่อนคลายใบหน้าลง แล้วอยากเป็ฝ่ายควบคุมเกมทั้งหมด
“เอาสิ” ผมไม่ตอบเปล่า แต่หันไปส่งยิ้มให้เขา เท่าที่ดูจากประวัติ คุณหมอนาวินเป็เด็กที่ครอบครัวตั้งความหวังไว้มาก เขาไม่มีเพื่อน และไม่เคยมีแฟน มุ่งมั่นเดินตรงในเส้นทางของตัวเองดังนั้นยิ่งไม่เคยได้รับความรัก ความห่วงใยจากใครง่าย ๆ
และเราทุกคนล้วน้าความรัก ยิ่งตอนนี้เขาทะเลาะกับพ่อ นั่นก็เหมือนว่าเขากำลังอยู่ตัวคนเดียวบนโลก และนี่ก็คงเป็ปมหนึ่งของเขา ที่ผมจะแทรกเข้าไปได้ไม่ยากนัก ระหว่างนั้นรถแล่นไปตามถนนอย่างต่อเนื่อง ผ่านสะพานและแยกไฟแดง พร้อมแสงแดดเริ่มอ่อนลง บรรยากาศด้านนอกเหมือนพลุกพล่าน แตกต่างจากผมกับคุณหมอ ที่ต่างฝ่ายต่างเงียบ ผมจึงเอ่ยขึ้น
“อีกไกลไหม?” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง
“ประมาณ 45 นาที คุณว่าไกลไหม?” ผมส่ายศีรษะแล้วปั้นหน้ายิ้มเหมือนเคย
“ตอบแทนที่คุณหมอช่วยชีวิตผม เท่านี้สบาย” ผมยักไหล่เบา ๆ และก็เห็นรอยยิ้มของเขาตอบกลับมา เป็รอยยิ้มอบอุ่นเหมือนอย่างเคย
ระหว่างที่ผมขับรถอยู่นั้น ภาพในภวังค์ก็ผุดขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง โดยไม่ทันตั้งตัว
ผมในชุดนักศึกษา ยืนมองมยุรา ที่กำลังเอายามาทาเท้าของตัวเอง ที่ระบมจากการเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน หญิงสาวในชุดสีขาวค่อย ๆ บรรจงทายาเบา ๆ ก่อนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกจุดสำคัญ
‘มีใครบ้าเหมือนคุณบ้าง ก็มีแต่คุณเท่านั้นแหละที่ให้อภัยเขาจนเคยตัว’ ผมยืนต่อว่าเธอ ก่อนเสียงรถยนต์จะแล่นเข้ามาจอด ไม่นานนักร่างของคุณภูมิพลก็เดินเข้ามา มยุรารีบวางยาในมือลงแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมส่งยิ้มให้เขา ทว่าเขาแค่มองผ่าน แล้วหันตัวเดินขึ้นชั้นบนไปโดยไม่เอ่ยทักทายสักคำ
ผมหันมองไปยังเธอ ที่แสดงสีหน้าผิดหวัง ก่อนเธอทิ้งตัวลงนั่งแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าเข้าไปหา เสียงฝีเท้าของคุณภูมิพลก็เดินลงบันไดมา
“คุณไปบอกพ่อกับแม่ผมใช่ไหม ว่าผมไม่เอาข้าวฝีมือคุณไปกินที่ทำงาน?”
‘ห๊ะ’ ผมที่ยืนฟังอยู่ถึงกับอุทานออกมา พร้อมค่อย ๆ หันหน้ามายังภูมิพล มยุราลุกขึ้นยืนแล้วเสียหลักเล็กน้อย เพราะเท้าที่กำลังระบมอยู่