เ่ิูฝึกเทพเ้าไร้ขีดสุดอย่างยากลำบาก
เขาอ่านคัมภีร์สิบหน้านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ความเข้าใจที่มีต่อเคล็ดลับกำลังภายในอันลึกซึ้งนั้นเริ่มลึกขึ้นทุกทีๆ
เขาพบความรู้สึกบางอย่างทีละน้อยๆ
จะเวลาใดๆ ก็ตาม เพ่งประสาทเข้าเป็จุดรวมเดียวกัน สู่สภาวะประหลาดที่ลืมเลือนแม้ตัวเอง เ่ิูรู้สึกถึงร่างกายซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงน่าพิศวงเกิดขึ้นไวดั่งหินก่อเป็ไฟ
ความรู้สึกนี้ราวกับลำแสง ผ่านมาแล้วก็หายไปในพริบตา
ทว่าพอหลายๆ ครั้งเข้า เ่ิูก็จับความรู้สึกริ้วๆ นั้นได้ในที่สุด
“สิบขีดจำกัด ตามทฤษฎีแล้วยากจะเข้าถึงยิ่งนัก ก่อนอื่นต้องเริ่มที่หนึ่งขีดจำกัดก่อน เพิ่มพลังหนึ่งเท่าตัว...”
...
...
สามวันต่อมา
ฝ่ายพลาธิการ ตำหนักศิลา
ตำหนักศิลาปิดตาย แม่ทัพนายกองเจ็ดแปดนายนั่งเงียบเชียบอยู่ด้านใน
จ้าวหรูอวิ๋นเปลี่ยนอาภรณ์เป็เกราะหนังเทาเที่ยแกร่งสีดำ ความหล่อเหลางามสง่าอาบเอิบทั่วกาย เขาเล่าเื่ราวทั้งหมดที่รู้ให้ทุกคนฟังรอบหนึ่ง แล้วเสริมอีกว่า “หลายวันมานี้เ่ิูแทบจะไม่ออกจากบ้านเลย ทำสงวนท่าที ไม่รู้ว่าซ่อนลูกไม้อะไรไว้อีกหรือไม่ ที่ข้าเชิญทุกท่ามาก็เพื่อปรึกษาหารือว่าควรทำเช่นไรกับคนๆ นี้”
“ฮ่าๆ ก็แค่สร้างภาพลักษณ์ไปอย่างนั้นแหละน่า ข้าเคยบอกเ้าแล้ว ว่าเด็กนี่มันก็แค่หลอกข่มขู่พวกเราเท่านั้นเอง” เสียงหัวเราะแว่วมา คนที่เอ่ยคือแม่ทัพรบกองโจรหลินหลางผู้เคยชนกับเ่ิูมาแล้ว
นอกจากหลินหลางและจ้าวหรูอวิ๋นแล้ว ในตำหนักศิลาก็ยังมีอีกสามสี่คน อายุอานามไม่ห่างกัน ต่างคนต่างก็ยังหนุ่มทั้งนั้น และยังสวมเกราะใหม่หมดจด เทียบกันกับตำแหน่งในกองทัพ พวกเขาล้วนคือคนหนุ่มที่กำเนิดจากชนชั้นสูง
จ้าวหรูอวิ๋นฟังแล้วก็มมีสีหน้าเบาใจ เขาว่า “พี่หลินบอกมาก็มีเหตุผล บอกตามจริง คืนนั้นข้าใจริงๆ เพราะตำแหน่งนายทัพทูตถือดาบตรวจการณ์นี้พิเศษเป็อย่างมาก ไม่ระวังไม่ได้ ดังนั้นจึงเชิญทุกท่านมาหารือแผนการ แต่ดูเหมือนข้าจะพาพวกท่านมาดูเื่ตลกเสียแล้ว”
พวกเขาหัวเราะ
บนโต๊ะนั้นเองมีชายหนุ่มอีกคนสวมชุดสีน้ำเงินยาว ผมดำขลับแ่า ผิวขาวสกาว มีกลิ่นอายหนังสือเข้มข้นจากกาย เขายิ้ม “โดยทั่วไปแล้ว คนที่เข้ารับตำแหน่งทูตถือดาบตรวจการณ์ได้นี่ มีที่มาไม่ธรรมดาทั้งนั้น พอรู้ข่าวจากพี่จ้าวมา ข้าก็ส่งคนไปใช้ช่องทางที่สำนักเ้าด่านสืบเื้ัเ่ิูแล้ว คงได้ข้อมูลเร็วๆ นี้นี่แหละ...”
พูดไม่ทันขาดคำ
ดั่งตอบรับคำขอของเขา เสียงกรีดร้องของอินทรีที่เริ่มชัดเจนยิ่งขึ้นดังออกมาจากด้านนอก
เมื่อเห็นท้องนภา หัวสีดำก้มมองลงเบื้องล่าง อินทรีั์ทมิฬตัวหนึ่ง อำนาจมั่นคงไม่ล้มครืน กายเนื้อมีแสงแห่งเทพ สองปีกกางออกยาวเกินสิบเมตร ยามอยู่ใต้แสงตะวันรอนดั่งโลหิตราวสายฟ้าสีดำแลบผ่าน ทะลุบรรยากาศชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างปลอดโปร่งไร้อุปสรรค พริบตาก็มาถึงบนอากาศนอกฝ่ายพลาธิการ
“เฮอะๆ ข้าน่าจะเห็นผลแล้วล่ะ”
ชายหนุ่มหนอนหนังสือยิ้มพลางกวักมือเล็กน้อย
อินทรีั์สีดำหดเล็กลงในพลันราวเส้นแสง ร่วงลงสู่ฝ่ามือเขา หดเหลือเป็หยกดำขนาดเหล็กกว่าฝ่ามือหนึ่งเสียอีก เส้นสายราบรื่น เป็หยกจำลองรูปแบบของอินทรีเกรียงไกร กลับยิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสาเสียอย่างนั้น
ชายทรงบัณฑิตมีลำแสงเอ่อล้นในฝ่ามือ อ่านข้อมูลที่ได้มาจากหยกจำลองอินทรีดำ
อินทรีดำนี้ก็เป็ผลิตผลอักขระหลอมทองใช้ส่งข่าวสารภายในรั้วด่านโยวเยี่ยน ทุกอันล้วนราคาแพงลิบลิ่ว สามารถส่งออกข่าวออกไปได้ในเวลาหนึ่งชั่วโมง เยี่ยมยุทธ์เป็ที่สุด ทั้งด่านโยวเยี่ยนมีแต่สำนักเ้าด่านเท่านั้นจึงจะมีไว้ใน
ชายหนุ่มดูมีการศึกษาเป็เสนาธิการเด็กที่สุดของสำนักเ้าด่าน นามว่าอีซานเช่อ
พวกเขาล้วนคือผู้ฉกาจในรุ่นอ่อนวัยกว่าของด่านโยวเยี่ยน พวกเขารวมตัวเป็กลุ่มๆ สมาชิกแต่ละคนต่างก็หยิ่งหาตัวจับยาก ชายมีการศึกษาเป็คนเดียวที่มีตำแหน่งข้องเกี่ยวกับสำนักเ้าด่านโดยตรง สถานะจึงสูงมาก
“เฮอะๆ พวกเรานี่ประเมินทูตถือดาบตรวจการณ์สูงไปจริงๆ เชียวนะ” อีซานเช่อเ้ากรรมหัวเราะเล็กน้อย เขาว่าต่อ “ตามข่าวที่ข้าหามาได้ เ่ิูคนนี้เป็แค่ปุถุชนสามัญเท่านั้น เป็ศิษย์ต๊อกต๋อยที่ยังเรียนไม่จบของสำนักกวางขาว ที่ได้ตำแหน่งมากคุณค่าอย่างทูตถือดาบตรวจการณ์นี้มาได้ก็เป็เพราะสืบทอดตราทองเหลืองวีรบุรุษมาจากพ่อเท่านั้นเอง โชคดีบรรลัยเลย...”
อีกสี่คนฟังแล้วก็ตะลึงกันบ้าง
“สุดท้ายก็แค่นี้ ฮ่าๆ หลอกซะข้านอนไม่หลับทั้งคืน” จ้าวหรูอวิ๋นยินคำแล้วทั้งอับอายทั้งเคืองแค้น เ้าคนไร้บทบาทนี้หลอกเขาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เรียกสหายมาแต่เช้าเท่ากับขี่ช้างจับตั๊กแตนชัดๆ น่าขำยิ่งนัก
“ไม่รู้ว่าพลังเท่าไร?” อีกคนหนึ่งอุปนิสัยรอบคอบ เขาจึงถามให้แน่ใจ
ชายมีการศึกษาหัวเราะเล็กน้อย ส่งหยกอินทรีดำแปรสภาพเป็แสงดำกลุ่มหนึ่งลับหายไปทางทิศสำนักเ้าด่าน “เ่ิู ศิษย์ปีสองของสำนักกวางขาว อายุสิบห้า ตามข่าวล่ามาเร็วของข้า น่าจะอยู่ระหว่างอาณาน้ำพุิญญาตาที่สามถึงสี่...”
“น้ำพุิญญาตาสาม?”
“ปีสอง?”
“เพิ่งสิบห้าเองหรือ?”
พวกเขาหัวเราะร่า
ในรอยยิ้มพวกนั้นมีความดูถูก
มีข่าวพวกนี้มาพวกเขาก็เบาใจ
หากก่อนหน้านี้พวกเขาจะมีเื่อะไรให้ทุกข์ใจแล้วล่ะก็ ตอนนี้เท่ากับไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว ใช่ ตำแหน่งทหารทูตถือดาบลาดตระเวนนั้นพิเศษนัก มีพลังและอิทธิพลน่าครั่นคร้าม ทว่าในโลกที่วรยุทธ์เป็ใหญ่ไปดี พลังวรยุทธ์กับอิทธิพลของชาติตระกูล อย่างไรก็เป็มาตรฐานความแกร่งที่สุดที่วัดความสามารถของคนอยู่ดี
และแน่นอนว่า ในสายตาของพวกเขา เ่ิูทูตถือดาบลาดตระเวนคนนั้นไม่มีมาตรฐานพวกนี้
“หอคอยอาชาขาวมันคือหอคอยมรณะนี่ ฮ่าๆ ดูท่าทูตถือดาบตรวจการณ์ต้องสาปจนตายคนที่ยี่สิบสองจะใกล้เริ่มแล้วกระมัง” หลินหลางปล่อยวางเต็มที่
เขาเสียดายสุดซึ้ง ตอนนั้นที่เขาอยู่ในสำนักเ้าด่าน ไม่ควรจะคิดพะวงให้มากเลย ถึงได้ทำการหัวหดเช่นนั้น หากรู้ว่าเ่ิูเบื้องลึกเื้ัเป็อย่างไรไว้ก่อนหน้า เขาจะทำความอัปยศให้เ่ิูอย่างเหี้ยมสักรอบสองรอบ เช่นนั้นตอนนี้ บางทีชื่อเสียงของเขาอาจแพร่สะพัดไปทั่วทั้งด่านโยวเยี่ยนแล้วก็เป็ได้
จ้าวหรูอวิ๋นหัวเราะเย็นติดๆ กัน
เขาวางแผนไว้ในใจแล้วว่าจะส่งคนไปจับทาสกระบี่อาชาขาวคนนั้นกลับมาให้จงได้
กลับกันเ่ิูก็ไม่มีปัญหา ทรมานทาสกระบี่มันให้ตายไปสักคนก็ไม่เห็นเป็ไร สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทวงหน้ากลับคืนมาให้ได้เท่านั้น หาไม่แล้วเื่ขี่ช้างจับตั๊กแตนของเขาต้องกลายเป็ขี้ปากชาวบ้านไปทั่วแน่ๆ
“พวกเรานี่ประสาทกันเกินไปเสียจริง ก่อนหน้านี้โดนเ้าเวินหว่านกร่างด้อยปัญญาอัดจนหน้าเละเป็ผุย ต่อจากนั้นก็ระวังตัวแจมาตลอด ไม่ลับเขี้ยวเล็บมานานเกินพอแล้ว ดันโดนคนอื่นดูเบาเอาเสียได้...” ชายหนุ่มเคราดำตาราวเสือดาวตบโต๊ะดังปัง เขาเอ่ยเสียงดัง “ข้าว่านี่แหละโอกาสดี พวกเราไปล่าไอ้เ่ิูมาแสดงพลังของพวกเราหน่อย ให้ทหารกลุ่มอื่นมันเห็นว่าพวกเรากลุ่มรุ่นน้อยชิงเฟิงชานแหยมไม่ได้!”
ด่านโยวเยี่ยนภายนอกดูสามัคคี ทว่าความจริงคือแบ่งฝักฝ่ายไม่รู้กี่พวก ส่วนมากแบ่งจากถิ่นกำเนิด แม้มิใช่การต่อสู้เอาเป็เอาตาย แต่การสู้เพื่อชิงศักดิ์ศรีและความรุ่งโรจน์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน
กลุ่มชิงเฟิงชานเป็กลุ่มมั่นคงกลุ่มหนึ่ง หลินหลาง จ้าวหรูอวิ๋นและอีซานเช่อเป็คนหนุ่มที่อยู่ในกลุ่มนี้
“เ้าพูดถูก”
“ใช่แล้ว ถ้าให้ข้าทนรอบนี้อีก หน้าพวกเราคงไม่เหลือจริงๆ แน่ว่ะ”
คนอื่นโห่ร้องขึ้นมา
แต่ก็มีคนลังเลขึ้นบ้าง “แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง ยังไงก็เป็ทหารด้วยกัน ต้องรักษาด่านเดียวกัน นับเป็เพื่อนทหารร่วมรบ เื่เบาเหมือนเมฆพวกนี้ต้องมีผิดพลาดกันบ้างน่า พวกเราหลีกเลี่ยงเื่นี้แล้วถอยกันคนละก้าวเถอะ...”
พูดไม่ทันขาดคำ
หลินหลางโกรธจัด เขาตบโต๊ะลุกขึ้นยืน
“เฮอะๆ สำหรับทหารเยี่ยงพวกเราแล้ว หน้าตาและอำนาจคือสิ่งสำคัญที่สุด เด็กน้อยพูดเื่ถูกผิด ทหารพูดเื่แกร่งกับปวกเปียก ถอยๆๆ ถอยไปไหนล่ะวะ? เผชิญหน้ากับกากเดนตัวกะจ้อย พวกเราถอยกันหมด ยังมีความกล้าเหลืออยู่ไหม? ไม่มีความกล้าแล้วจะไปชนะข้าศึกได้อย่างไร?”
จ้าวหรูอวิ๋นหัวเราะเย็นพลางสมทบ “ใช่ หลินหลางพูดถูก คราวนี้พวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง ให้พวกคนที่เห็นเราเป็ตัวตลกดูเป็ขวัญตา ให้พวกเด็กใหม่ไม่รู้ดินรู้ฟ้ารู้ว่าด่านโยวเยี่ยนนี่ใครคุม”
พริบตานั้นที่ทั้งห้องคึกคักราวกับนัดกันมา
เหล่านายกองล้วนเปี่ยมอารมณ์คุกรุ่น ในอกดั่งมีไฟกาลกำลังเผาผลาญ
ตอนนี้เองที่ประตูวังใหญ่มีเสียงแกร๊กพร้อมบานประตูที่โดนดันเข้ามา
เสียงกู่ร้องฮึกเหิมเงียบงันลงทันใด
“อะไร?” จ้าวหรูอวิ๋นมองปากประตู เขายืนขึ้นทันทีแล้วกระแอม “ทหารเข้าเวรอยู่ที่ไหน? ข้าไม่ได้บอกหรอกหรือว่าไม่มีคำสั่งข้า ใครก็ห้ามเข้ามาทั้งนั้น?”
แปะๆๆ!
เสียงปรบมือดังมาชัดแจ้ง
แจ่มชัดนักในห้องศิลาแห่งนี้
“พูดได้ดี พูดได้งดงามมาก พูดซะข้าตาสว่างโร่เลยล่ะ” เสียงนั้นดังมา แต่ไร้ซึ่งตัวตน
สิ่งแรกที่ตามมาคือทหารผู้ใบหน้าแดงเป็สาย บุกเข้ามาอย่างกะโผลกกะเผลก รีบร้อนจนเหงื่อไหลเต็มหน้า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรถึงดี
จากนั้น เปลวแสงอาทิตย์อัสดงสีแดง สาดเข้ามาทิ่มแทงตาจากนอกประตู
ร่างๆ หนึ่ง ปกคลุมใต้แสงแห่งดวงตะวัน เขาก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ ยืนอยู่หน้าประตู ยกมือขึ้นปรบอย่างเชื่องช้า
เหล่านายกองหรี่ตามองออกไป
ใครกัน?
“ดี พูดได้ดี พูดได้ดีมาก แค่ฟังข้าก็เืร้อนขึ้นแล้ว ฮ่าๆ ข้าชื่นชมเ้านัก”
ร่างในเงาแสงพูดด้วยจังหวะแปลกประหลาด
“ใต้เท้า พวกเรา...พวกเราห้ามไม่ได้ มัน...” ทหารนายหนึ่งรีบมาที่ข้างๆ จ้าวหรูอวิ๋น เขาว่าอย่างกระวนกระวาย “ทูตถือดาบตรวจการณ์ ใต้เท้าเ่ิูขอรับ”
เมื่อถ้อยคำนั้นเปิดเผย ทั้งห้องก็เงียบสงัด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้