“โอ ทางนี้คือแม่นางหลิน ได้รับการศึกษาจากปรมาจารย์ชื่อดังท่านหนึ่ง เชี่ยวชาญด้านร่างกายสตรี ข้าจึงเชิญมาเป็พิเศษเผื่อสามารถช่วยเหลือเ้าได้” หลี่ฮูหยินกล่าว
เมื่อคุณหนูเล็กแห่งสกุลหลี่ได้ยินหลี่ฮูหยินกล่าวก็ไม่สงสัยอะไรแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังยิ้มอย่างพออกพอใจ “ขอบคุณพี่สะใภ้เ้าค่ะ ครอบครัวนี้ดูแลข้าดียิ่งนัก อาหารการกินล้วนแต่ดีที่สุด กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านเดิมยังไม่ดีเท่าเลยนะเ้าคะ ท่านไม่ต้องเป็ห่วงข้าเลย” ชะงักไปเล็กน้อยก็ยิ้มแล้วถาม “ท่านกับพี่ชายเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ? แล้วลูกชายลูกสาวของท่านล่ะเ้าคะ?”
หลินฟู่อินเห็นหลี่เจียโหรวมองพี่สะใภ้ด้วยสายตาใสซื่อบริสุทธิ์ก็รู้สึกอึ้งไป แค่เห็นคนผู้นี้ เห็นสายตาท่าทางก็ทราบแล้วว่าที่จริงนางเฉลียวฉลาด ทว่ากลับไร้การป้องกันต่อจิตใจมนุษย์
หลินฟู่อินแอบทอดถอนใจ เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลี่ฮูหยินถึงได้กล่าวว่านางเป็ดังอัญมณีในอุ้งมือของนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่
แต่การเลี้ยงดูสตรีผู้หนึ่งให้กลายเป็คนเรียบง่ายเช่นนี้ ผลเป็อย่างไรก็เห็นแล้ว
หลี่ฮูหยินรู้ว่าน้องสามีเป็อย่างไรจึงข่มกลั้นความรู้สึกเปรี้ยวในอก เดินเข้าไปข้างเตียงแล้วยิ้ม นั่งลงบนขอบเตียง แตะท้องใหญ่เบาๆ “พวกเราสบายดี เ้าไม่ต้องเป็ห่วงไปหรอก กังวลเกินไปแล้ว!” จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น “บ่าวรับใช้ในห้องเ้าหายไปไหนหมดแล้ว”
หลี่ซื่อยิ้มดีอกดีใจ กล่าวด้วยท่าทีเขินอาย “สามีเห็นว่าข้ารักความสงบ จึงได้ให้เหลียนเอ๋อร์ไปที่วัดเหลียนฮวาช่วยสวดมนตร์ภาวนาแทนข้าเ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้หลี่ฮูหยินก็นิ่วหน้า
หลินฟู่อินพูดไม่ออกอยู่บ้าง คำโกหกโง่ๆ เช่นนี้หลี่ซื่อก็ยังเชื่อได้อีก?
“เหตุใดจึงไม่เห็นมู่หลิงเล่า?” หลี่ฮูหยินถามอีกครั้ง รู้สึกไร้หนทางยิ่งนัก
หลี่ซื่อได้ยินพี่สะใภ้พูดถึงสามี ใบหน้าก็ยิ่งอ่อนหวาน “ลืมแล้วหรือเ้าคะ? ปีนี้มู่หลิงต้องไปสอบเ้าค่ะ! จึงได้เดินทางไปยังเมืองหลวงั้แ่เมื่อสิบวันก่อนแล้ว”
สอบ? หลินฟู่อินแค่นหัวเราะในใจ ออกจากบ้านไปเมื่อสิบวันก่อนก็แค่หาทางเอาตัวรอดเท่านั้นเอง หากหลี่ซื่อเป็อะไรไป หรือนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่มาก่อปัญหาที่นี่คนก็ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
อยากกระทืบคนสกุลโจวคนอื่นที่อยู่ในบ้านแทนหรือ?
ไม่สมเหตุสมผลเลย
ตอนนี้นางเชื่อแล้วว่าสกุลโจวตั้งใจวางแผนการเหล่านี้เพื่อสังหารหลี่ซื่อกับเด็กในท้อง เกรงว่าั้แ่ตอนที่โจวมู่หลิงเริ่มคบหากับอนุภรรยา บุตรขุนนางขั้นสองอะไรนั่น ทางสกุลโจวก็เริ่มวางแผนแล้ว
หลี่ฮูหยินมองหลินฟู่อิน ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ หลินฟู่อินโบกมือให้นาง เป็สัญญาณว่าอย่ารบกวนอีกฝ่าย
ตอนนี้คนท้องโตแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นอาจทำให้เป็อันตรายได้
หลี่ฮูหยินกดข่มความโกรธเอาไว้ในใจ คุยกับน้องสามีต่ออีกหลายคำก่อนจะเกริ่นไปเื่หลินฟู่อิน แล้วค่อยๆ เล่าให้หลี่ซื่อฟังว่าหลินฟู่อินเป็คนทำคลอดให้นายหญิงวังของสกุลวัง
หลี่ซื่อใจนยกมือปิดปาก พอได้ยินว่าแม่ลูกปลอดภัยก็มองหลินฟู่อิน “เป็เพราะแม่นางหลินจริงๆ หาไม่ข้าคงนึกเื่ราวต่อไปไม่ออกเลย”
แต่คนกลับไม่รู้ตัวว่าพี่สะใภ้ขอให้หลินฟู่อินมาตรวจตัวเอง
หลี่ฮูหยินอดวิตกไม่ได้
เป็ตอนนี้เองที่หลินฟู่อินเดินมาข้างกายหลี่ซื่อ สีหน้าเป็ธรรมชาติ ยื่นมือออกไปจับแขนข้างที่กำลังลูบท้องอยู่จนอีกฝ่ายใ
ระหว่างที่จับชีพจร หลินฟู่อินก็ยิ้มถาม “นายหญิงน้อยชอบใช้มือจับท้องหรือเ้าคะ?”
หลี่ซื่อถูกเบนความสนใจ นางยิ้มเขินอาย “ใช่ ฮูหยินผู้เฒ่าเคยบอกว่านางสนิทสนมกับบุตรสาวคนโตมากเพราะตอนอยู่ในท้องมารดาโดนลูบบ่อยๆ แต่ตอนท้องบุตรชายกลับวุ่นวายไม่หยุดจนไม่มีเวลาลูบท้องเช่นนี้ บุตรชายคนโตจึงไม่สนิทสนมทั้งไม่ค่อยเชื่อฟัง ข้าเห็นเช่นนั้นก็เลย…”
ก็คือกลัวว่าเด็กในครรภ์จะไม่สนิทสนมกับนาง?
หลินฟู่อินหัวเราะในใจ
บุตรสาวในตระกูลส่วนใหญ่มักต้องระมัดระวังตัว แต่บุตรชายคนโตกลับตรงกันข้าม คนทั้งมีพี่สาว ทั้งถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็ซื่อจื่อ [1] ย่อมต้องใช้เวลากับบิดามารดาน้อยลงเพื่อออกไปเห็นโลกภายนอกมากขึ้น ดังนั้นจะไม่ค่อยฟังมารดาก็ไม่แปลก
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับบอกให้หลี่ซื่อแตะท้องบ่อยๆ ั้แ่ท้องอ่อนๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการพลิกตัวของเด็กในครรภ์
ชีพจรหลี่ซื่อไม่มีปัญหา หลินฟู่อินยิ้มเอ่ยแสดงความยินดี จากนั้นลองแตะท้องน้อยนางอีกสองสามครั้งโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต
เด็กในท้องอยู่ในท่าไหล่จริงๆ!
ประกายเย็นะเืทอวาบในดวงตา หลินฟู่อินหันไปมองหลี่ฮูหยินก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่าย
หลี่ฮูหยินหน้าซีดหลุบตาลง
หลี่ซื่อเห็นหลินฟู่อินแตะหน้าท้องของตนก็เกร็งตัวขึ้น พอนึกได้ว่าพี่สาวแนะนำว่าเด็กคนนี้เป็ผู้ทำคลอดให้สะใภ้สกุลวังก็รีบถามทันที “แม่นางหลิน ลูกข้าเป็อย่างไรบ้าง?”
ถึงแม้หมอตำแยที่เชิญมาหลายรายจะบอกว่าสบายดี แต่ในฐานะคนเป็แม่ เมื่อมีหลินฟู่อินที่รู้เื่การคลอดเด็กถือโอกาสมาััหน้าท้องตนเช่นนี้ก็อดถามออกมามิได้
หลินฟู่อินไม่ต้องคิด ยิ้มตอบทันที “นายหญิงน้อยไม่ต้องกังวลไป เด็กสบายดีเ้าค่ะ”
พัฒนาการดีมาก บางทีอาจเพราะหลี่ซื่อกินข้าวน้อยอยู่แล้ว เด็กในท้องจึงตัวไม่ใหญ่มาก แม้จะอยู่ในท่าติดไหล่ แต่นางยังอาจใช้วิธีการกลับตัวเด็กแล้วผ่านพ้นเื่นี้ไปได้
ถึงแม้ในยุคปัจจุบันหากทารกอายุครรภ์ครบสามสิบแปดสัปดาห์แล้วจะแทบจัดท่าใหม่ไม่ได้ แต่น้ำคร่ำของหลี่ซื่อมีมากเพียงพอ ครึ่งเดือนนี้อะไรก็เป็ไปได้ทั้งนั้น
หลินฟู่อินไม่ทิ้งความหวัง
“นายหญิงน้อยเ้าคะ อีกครึ่งเดือนก็จะคลอดแล้ว เพื่อสุขภาพของเด็กในท้องอย่างไรก็ไม่ควรเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ควรออกไปเดินเล่นในสวนบ้างเป็ระยะ” ร่างกายของหลี่ซื่อที่จริงค่อนข้างแข็งแรงทีเดียว การออกไปเดินเล่นไม่เป็ปัญหาสักนิด
หลี่ซื่อเขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำแนะนำขอหลินฟู่อิน
เพราะนางเคยแท้งมาแล้วสองครั้ง กับลูกคนนี้จึงได้ระมัดระวังยิ่งนัก อีกทั้งไม่ว่าจะหมอชื่อดังจากชิงเหลียนที่สกุลโจวหรือบิดามารดานางพามาก็ล้วนแต่บอกให้นางนอนพักบนเตียงมากๆ ทั้งนั้น…
เห็นท่าทีเขินอายของอีกฝ่าย หลินฟู่อินก็เกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม “ที่จริงตอนนี้ร่างกายนายหญิงน้อยดีมากเ้าค่ะ ขอเพียงตอนออกไปเดินเล่นระมัดระวังให้ดี ท้องไม่ชนอะไรย่อมไม่มีปัญหา”
หลี่ซื่อยังคงลังเล
เจิ้งหมัวมัวอีกด้านหนึ่งก็ช่วยเกลี้ยกล่อมด้วย “นายหญิงน้อยเ้าคะ ครั้งสุดท้ายที่ท่านหมอมาตรวจท่านก็สามวันมาแล้ว อย่างแรกคือบางทีอาจคิดว่าเด็กในท้องปลอดภัยไม่จำเป็ต้องมาตรวจซ้ำ อย่างที่สอง อย่างไรท่านก็ต้องเป็ห่วงร่างกายตัวเองด้วยนะเ้าคะ แม่นางหลินเป็หมอ ฟังหมอนับเป็เื่ที่ถูกต้องแล้วเ้าค่ะ”
หลี่ซื่อคิดๆ ดูแล้วก็เห็นด้วย
เพียงแต่ไม่รู้เหตุใดทางจวนจึงไม่เชิญหมอมาตรวจนางสามวันแล้ว? พวกหมอตำแยเองก็ไม่อยู่เช่นกัน?
แต่นางเป็คนไม่คิดอะไรซับซ้อน รู้สึกว่าทางจวนคงมีเหตุผล จึงปล่อยเื่นี้ไปไม่คิดต่อ
แต่คนยังพยักหน้า “ข้าเองก็คิดว่าร่างกายข้าปกติดี นอนทุกวันเสียจนกระดูกแทบเปื่อยแล้ว วันนี้ลงไปััดินเสียหน่อยแล้วกัน”
ที่จริงนางเชื่อหลินฟูอินที่บอกว่าทำเช่นนี้ดีต่อเด็กในท้อง ทั้งยังทำให้คลอดง่ายขึ้น บ้านนางเป็ตระกูลหมอ ถึงตัวนางไม่ใช่หมอก็ยังรู้ว่าหลินฟู่อินพูดถูกแล้ว
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดถึงเพราะโดนคนสกุลโจวห้ามเอาไว้
พูดคุยกันอีกหลายคำ หลี่ซื่อก็มองเจิ้งหมัวมัวด้วยความประหลาดใจ “ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เหตุใดนายหญิงใหญ่จึงยังไม่ส่งคนมาเชิญเสี่ยวจิ้วไท่ไท่กินข้าวอีก?”
เจิ้งหมัวมัวไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
หลี่ฮูหยินััท้องน้องสามีเบาๆ ยิ้มกล่าว “ดูแลตัวเองกับหลานให้ดีๆ เื่อื่นเ้าไม่ต้องห่วงหรอก”
หลี่ซื่อหัวเราะ จากนั้นจึงบอกเจิ้งหมัวมัว “เ้าไม่ต้องดูแลข้าที่นี่แล้ว นำทางเสี่ยวจิ้วไท่ไท่กับแม่นางหลินไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเถอะ”
เจิ้งหมัวมัวรีบร้อนรับคำ ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก
หลี่ฮูหยินให้เจียงหมัวมัวอยู่ข้างกายหลี่ซื่อ ส่วนตัวนางกับหลินฟู่อินเดินตามเจิ้งหมัวมัวออกจากห้องใน
“เสี่ยวจิ้วไท่ไท่ แม่นางหลิน ข้าขออภัยจริงๆ เ้าค่ะ เกรงว่าพวกสกุลโจวคงไม่คิดรับรองเสี่ยวจิ้วไท่ไท่…” เจิ้งหมัวมัวกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
หลินฟู่อินนิ่วหน้าน้อยๆ สกุลโจวช่างกล้านัก คิดว่าอีกหน่อยมีต้นไม้ใหญ่ให้พักพิงแล้วจะทำอย่างไรกับผู้อื่นก็ได้หรือ?
เฮอะ! เดี๋ยวก็รู้…
“ฮึ ต้อนรับไม่ต้อนรับอะไร ดูแล้วสองอาทิตย์นี้สกุลโจวคงไม่คิดให้เรากินข้าว คิดให้เราหิวตายกระมัง!” หลี่ฮูหยินถ่มน้ำลาย “ไอ้พวกบัดซบ!”
“ฮูหยินอย่าโกรธเลยเ้าค่ะ หาทางช่วยเหลือตัวพวกเราเองก่อนดีกว่า” น้ำเสียงของหลินฟู่อินสงบยิ่งนัก ดวงตากลมโตใสกระจ่าง “สกุลโจวกล้าทำเช่นนี้กับพวกเรา หนึ่งย่อมต้องเป็เพราะฮูหยินไม่อาจส่งสารให้บ้านเดิมสกุลหลี่ทราบข่าวได้ สองคือมั่นใจว่าพวกเราเป็เพียงสตรีโง่งมคนหนึ่งกับเด็กคนหนึ่ง”
หลี่ฮูหยินพยักหน้าเห็นด้วย ยามนี้รู้สึกขยะแขยงสกุลโจวเต็มอก “เกรงว่าเห็นข้ามิใช่คนมากแผนการ ส่วนตระกูลโจวก็คดไปคดมายิ่งนัก”
“ฮูหยิน ครั้งสุดท้ายที่มาสกุลโจวแห่งนี้สถานการณ์เป็อย่างไรเ้าคะ?” หลินฟู่อินถาม
หลี่ฮูหยินนิ่วหน้าคิดครู่หนึ่งก่อนตอบน้ำเสียงเสียดสี “โจวฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยออกหน้ามาทักทาย แต่นายหญิงใหญ่เป็คนมาต้อนรับที่ซุ้มดอกไม้ในสวนด้านหลัง ทุกครั้งที่มาล้วนแต่ยกอาหารอร่อยเครื่องดื่มชั้นดีขึ้นโต๊ะ”
ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินก็พยักหน้า ดวงตาทอประกายน้อยๆ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ตอนนี้ฮูหยินก็ให้เจิ้งหมัวมัวนำท่านไปคารวะโจวฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นก็ตำหนิเื่นี้ ไม่ต้องอ่อนโยนเกินไป ไม่ต้องรุนแรงเกินไปนะเ้าคะ”
หลี่ฮูหยินอยากทำเช่นนี้มานานแล้ว ได้ยินความคิดหลินฟู่อินก็หัวเราะทันที “ข้าก็คิดเช่นนี้ ต่อให้รู้ว่าสกุลโจวมีแผนชั่วก็จะแสร้งทำเป็ไม่รู้ไปก่อน มาดูกันว่าสองอาทิตย์นี้พวกสกุลโจวจะหลอกข้าอย่างไรบ้าง!”
ได้ยินคำของอีกฝ่าย หลินฟู่อินก็โล่งใจ ในเมื่อหลี่ฮูหยินออกปากแล้วแสดงว่าคนมีเหตุให้ต้องอดกลั้นโทสะเพื่อตบตาสกุลโจว
“เช่นนั้นข้าจะไม่ไปกับฮูหยินนะเ้าคะ เราจะแยกกัน” หลินฟู่อินพูด
“ได้ แล้วแต่ฟู่อินเลย เ้าคิดหาวิธีได้เลย” สีหน้าของหลี่ฮูหยินยังคงมืดครึ้ม
หลินฟู่อินพยักหน้า “ไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ ข้าจะออกไปหาทางเดี๋ยวนี้” จากนั้นจึงถาม “มาจวนสกุลโจวครั้งนี้ฮูหยินเตรียมเงินตำลึงกับเงินอีแปะไว้เท่าไรเ้าคะ?”
ทันทีที่หลินฟู่อินถามออกมา หลี่ฮูหยินก็เข้าใจทันที “มีมากทีเดียว เ้าไปเอาจากเจียงหมัวมัวก็พอ”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับก่อนเตือนอีกครั้ง “ไม่ว่าสกุลโจวจะพูดอย่างไร ฮูหยินจำไว้นะเ้าคะ แกล้งทำเป็คนโง่ไม่รู้เื่รู้ราวเอาไว้”
“เื่นี้ข้าเก่งนักละ สกุลโจวรู้ว่าข้ามีพื้นเพเป็เพียงชาวบ้านชั้นล่าง ข้าทำอะไรสกุลโจวล้วนแต่ไม่สงสัยทั้งนั้น” หลี่ฮูหยินหัวเราะเย้ยหยัน
เมื่อเจรจากันเสร็จ หลินฟู่อินก็เดินกลับไปยังเรือนในของหลี่ซื่อเพื่อรับเงินจากเจียงหมัวมัว
นางเตรียมเงินมาด้วยแต่ไม่มากมายนัก ในเมื่อเป็เื่ของสกุลหลี่ ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องใช้เงินตัวเอง
เมื่อเจียงหมัวมัวถูกหลินฟู่อินเรียกออกไปแล้วรู้ว่าคนมาเพื่อเอาเงิน นางก็รีบหยิบถุงใส่เงินออกมาส่งให้หลินฟู่อินทันที กล่าวเสียงหนักแน่น “หากไม่พอ แม่นางกลับมาหาข้าได้เลยนะเ้าคะ”
หลินฟู่อินลองประมาณน้ำหนักดู ถุงใส่เงินหนักมากทีเดียว ในนี้คงมีเงินไม่น้อย
“ข้าจะออกไปเดินเล่น เจียงหมัวมัวดูแลนายหญิงน้อยให้ดีนะเ้าคะ”
พอเดินมาถึงสวน นางก็หันมองซ้ายขวา
สาวใช้รุ่นเล็กที่เคยอยู่ข้างกายเจียงหมัวมัวกำลังเดินกลับมา
หลินฟู่อินยิ้มกริ่มทันทีที่เห็น ยิ้มกล่าว “น้องสาวสองคนมาพอดีเลย อาหารเย็นพร้อมหรือยังเ้าคะ?”
สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากัน ในจวนตอนนี้ยกสำรับกันไปแล้ว พวกนางสองคนที่ได้รับเงินคนละหนึ่งตำลึงแล้ววิ่งออกไป ไม่ใช่เพราะจะไปกินข้าวเย็นกันหรอกหรือ
“แม่นางมีปัญหาอะไรหรือเ้าคะ?” สาวใช้ตัวเล็กหน้ากลมกลอกตาถาม
หลินฟู่อินลูบท้องตัวเอง “ข้าเป็สาวใช้ของสกุลหลี่เ้าค่ะ รับใช้ฮูหยินของพวกเรา ฮูหยินข้าตอนนี้ไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่า ให้ข้าคอยอยู่รับใช้นายหญิงน้อยสี่ แต่ข้าหิวแล้ว ไม่ทราบว่าน้องสาวทั้งสองจะช่วยแอบออกไปซื้ออาหารให้ข้าได้หรือไม่?”
คิดๆ ดูสักหน่อยก็พูดต่อ “หรือพาข้าออกไปซื้อก็ได้เช่นกันเ้าค่ะ”
สาวใช้ทั้งสองเป็คนของสกุลโจว พอได้ยินหลินฟู่อินกล่าวว่าตัวเองเป็สาวใช้ของสกุลหลี่ก็ไม่ใครเชื่อนัก ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเลย
แต่คิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่มีใครบอกว่านางไม่ใช่สาวใช้นี่นา?
คิดไปคิดมาก็เชื่อแล้ว
สาวใช้หน้ากลมเห็นอกเห็นใจ อย่างไรสาวใช้ก็เป็มนุษย์ต้องมีหิวกันได้ หลี่ฮูหยินผู้นั้นไม่ใช่คนดี ตัวเองไปหาฮูหยินผู้เฒ่าแบบนั้นไม่มีทางหิวแน่
ทิ้งสาวใช้ที่อายุมากกว่าพวกนางไม่กี่ปีให้หิ้วท้องเช่นนี้ทำเกินไปแล้ว
“พี่สาว น้องสาวไม่นึกว่าที่จริงท่านก็เป็สาวใช้เหมือนกัน” สาวใช้หน้ากลมถอนหายใจมองหลินฟู่อินด้วยความสงสาร “พวกน้องสองคนคงหาของกินมาให้พี่สาวไม่ได้ พี่สาวออกไปข้างนอกทางประตูเล็กแล้วซื้ออะไรกินเองเป็อย่างไรเ้าคะ?”
สาวใช้หน้าเหลี่ยมตัวน้อยอีกคนพูด “แต่ท่านต้องรีบๆ กลับมานะ หากฮูหยินของท่านกลับมาไม่เจอท่าน พวกเราไม่พูดอะไรแทนนะเ้าคะ”
หลินฟู่อินไม่ได้ขอ นางคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่สองคนนี้ยังอายุไม่มากจึงหลอกล่อได้ง่าย
“ได้ๆ ข้าซื้อกับกินขนมสักหน่อยก็จะกลับมาเลย ไม่ชักช้าแน่นอน” หลินฟู่อินยิ้มยินดี หยิบเศษเงินอีแปะหลายเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้สาวใช้หน้ากลม “น้องสาวอย่ารังเกียจไป อันนี้ให้พวกเ้าเอาไปซื้อของสวยๆ งามๆ อย่าบอกฮูหยินข้ากับนายหญิงน้อยสี่ของพวกน้องสาวเล่าว่าข้าออกไปข้างนอก!”
สาวใช้ทั้งสองไม่นึกว่าหลินฟู่อินจะให้เงินพวกนาง แม้เป็เงินไม่มากแต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบ ทั้งคู่พากันหัวเราะคิกคัก
คราวแรกยังไม่คิดจะบอกอะไรหลินฟู่อินมาก แต่เมื่อได้รับเงินมาแล้ว สาวใช้หน้ากลมก็ตั้งใจบอกนางเอาไว้ “พี่สาว เดินอ้อมสวนด้านหลังไปทางซ้าย ใช้ทางนั้นไปประตูเล็กจะได้ไม่เจอผู้อื่นเ้าค่ะ”
น่าสนใจจริงๆ ถ้าออกไปตามทางนี้แล้วจะไม่เจอพวกคนสกุลโจว?
หลินฟู่อินคิดกับตัวเอง หากเป็เช่นนี้ก็แปลว่าตระกูลนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร รู้สึกว่ากระทั่งบ่าวไพร่เองก็ยังใช้การไม่ค่อยได้
เด็กหญิงหน้าเหลี่ยมอีกคนเกรงว่าจะรั้งท้าย จึงได้เอาอกเอาใจหลินฟู่อินที่นางเห็นว่าใจกว้าง “พี่สาวเ้าคะ ตอนไปถึงประตูเล็ก มอบเงินให้แม่เฒ่าที่เฝ้าประตูสักหน่อย ให้นางเปิดประตูทิ้งไว้ให้ท่านได้เ้าค่ะ”
หลินฟู่อินยิ้มขอบคุณทั้งสองคน ก่อนจะเดินไปตามทางที่สาวใช้ทั้งสองแนะนำ
ในห้องโถงเสี่ยวฮวาภายในเรือนของฮููหยินใหญ่โจว คนเพิ่งรับสำรับอาหารกลางวันเสร็จไป ่นี้นางยุ่งวุ่นวายยิ่งนักเพราะต้องดูแลเื่ในบ้าน ยุ่งเสียจนได้กินข้าวช้ากว่าสาวใช้รุ่นเล็กในบ้านด้วยซ้ำ
พอเห็นนางวางตะเกียบลง แม่เฒ่าไป๋เหลียนที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้างก็บิดผ้าเช็ดมือชุบน้ำอุ่นมาเช็ดมือให้แล้วพูด “นายหญิงใหญ่เ้าคะ พี่สะใภ้ของนายหญิงน้อยสี่จากเมืองชิงหยาง ตอนนี้อยู่ที่เรือนนายหญิงน้อยสี่แล้วเ้าค่ะ บ่าวได้ยินจากรายงานว่านางไปวุ่นวายกับฮูหยินผู้เฒ่า พูดว่าสกุลโจวกระทั่งทำอาหารให้ญาติกินก็ยังทำไม่ได้”
นายหญิงใหญ่โจวหรี่ตา แค่นเสียงดังฮึ “ปล่อยนางไป นางเป็คนใจร้อน เกิดมาเป็ชาวบ้านชั้นต่ำ ไร้ยางอายเป็ที่สุด โชคดียิ่งนักที่คนไม่วิ่งมาหาข้า”
แม่เฒ่าไป๋เหลียนพยักหน้า มองฮูหยินใหญ่ด้วยสายตากังวล “นายหญิงใหญ่เ้าคะ คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนี้จะเป็อะไรหรือไม่? แม้นายท่านหลี่ที่เมืองชิงหยางจะเหินห่างจากนายท่านผู้เฒ่าหลี่มาหลายปีทำให้ไม่มีอะไรน่ากลัว ทว่าสกุลหลี่ที่บ้านบรรพบุรุษนั่นหาใช่พวกที่เราจะเข้าไปยุ่งด้วยได้!”
“เื่นี้เ้าไม่เข้าใจ” นายหญิงใหญ่ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน มองอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะ “กลับกันเถอะ ข้ายังต้องยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย”
แม่เฒ่าไป๋เหลียนสั่งสาวใช้รุ่นเล็กที่รออยู่ด้านข้าง ก่อนจะช่วยประคองนายหญิงใหญ่ไปนอนที่ห้องอุ่นติดโถงเสี่ยวฮวา จากนั้นจึงถาม “นายหญิง บ่าวไม่เข้าใจเ้าค่ะ นายท่านผู้เฒ่าหลี่แอบสนับสนุนคุณชายสี่มาตลอดหลายปี เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงทำเช่นนี้ต่อนายหญิงน้อยสี่ล่ะเ้าคะ? ทั้งนายท่านผู้เฒ่าของเราก็หาได้ใส่ใจไม่…”
------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ซื่อจื่อ หมายถึง คำเรียกลูกชายที่มีสิทธิ์สืบทอดบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งต่อจากพ่อ ส่วนใหญ่มักเป็ลูกชายคนโตที่ได้รับสิทธิ์นี้ แต่ก็สามารถเป็ลูกชายคนรองหรือลูกชายคนอื่นๆ ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้