แยกจากกันอย่างไม่พึงใจต่อกันเท่าใดนัก
ด้วยเพราะจ้งเยียนกล่าวขึ้นว่า “เป็อาจารย์หนึ่งวัน นับเป็บิดาตลอดชีวิต”
องค์หญิงจึงได้ปรามาสเด็กหนุ่มด้วยโทสะว่า “โง่งม”
เป็อีกคราที่พวกเขาทะเลาะกันเช่นนี้
เช่นนั้นองค์หญิงน้อยจึงได้จากไปด้วยโทสะที่สุมอยู่ในทรวง
ส่วนผู้ดูแลบัณฑิตเฉินในสำนักเชินยามนี้ก็สะบัดชายเสื้อจากไปด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นกัน
สี่รายชื่อที่มีสิทธิ์สอบเข้าสำนักที่เขา้าในตอนแรกก็เพราะเขารู้สึกผิดบาปต่อเด็กๆ ทั้งยังเสียดายความสามารถของพวกเขา เขาจึงอยากมอบโอกาสให้เด็กๆ ผู้มากความสามารถเหล่านี้
ทว่าเหล่าใต้เท้าคนอื่นๆ ในสำนักเชินที่อยู่ตรงหน้านี้กลับเอาแต่จะล้วงความลับเื่ฮูหยินหลัวจากเขาให้ได้ ทั้งยังบอกว่าเขาช่างรู้จักฉวยโอกาสเพราะรู้เื่ฮูหยินหลัวอยู่แล้ว จึงได้เร่งประจบนางไว้ล่วงหน้า โดยขอรายชื่อทั้งสี่ให้เด็กๆ ที่นางเลี้ยงดู ยิ่งกว่านั้นการกระทำของเขาช่างเป็การนำชะตาของแคว้นมาหาผลประโยชน์ส่วนตัว
ใต้เท้าเฉินไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไร เขาคาดไม่ถึงเลยว่าวาจาโสมมเช่นนี้จะออกมาจากปากของเหล่าใต้เท้าในสำนักเชินได้
นี่คือมุมมองของคนในสำนักเชินอย่างนั้นหรือ
หากความคิดของอาจารย์ในสำนักยังเป็เช่นนี้ แล้วศิษย์ที่สอนสั่งจะเป็เช่นไร
เขาพลันรู้สึกหดหู่ใจนัก
บัดนี้เขาไร้ภรรยาไร้บุตร เพราะใช้ชีวิตเพียงลำพังยามทำอะไรจึงล้วนแต่ทำด้วยความซื่อตรง
ทว่าในความเป็จริง คนเหล่านี้กลับเอาแต่โจมตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ใต้เท้าเฉินไม่อาจระงับโทสะกับเื่นี้ได้ คนเหล่านี้ต่อหน้าก็ทำเป็ประจบเอาใจ แต่กลับวางแผนยกูเาข้างสำนักให้ฮูหยินหลัว
ูเาลูกนั้นทั้งใหญ่ทั้งสูง
ูเาหินเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ บนยอดเขามีพื้นที่ราบขนาดใหญ่ ทั้งยังมีเรือนที่สามารถเข้าอยู่ได้เลยอีกหลังหนึ่ง
หากมองลงมาจากบนูเาก็จะเห็นสำนักเชินได้พอดี
ทว่าูเาลูกนี้ยังมีชื่อที่คนสำนักเชินลอบตั้งกันอย่างลับๆ ว่าูเาหลงยวน
ความหมายของชื่อหลงยวนไม่ได้หมายถึงสถานที่อันดีงามจนมีัมาอาศัยอยู่เช่นที่คนอื่นคาดกัน แต่เป็เพราะความแปลกของูเาลูกนี้ที่มีงูเหลือมมากมาย
ชาวแคว้นเชินเชื่อว่างูเหล่านี้ต่อไปจะกลายเป็ั เหล่างูใหญ่พวกนี้หากบนศีรษะมีหงอนงอกขึ้นมาเมื่อใด ก็ย่อมหมายความว่าพวกมันได้กลายเป็ัแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดจะฆ่างูเหล่านี้
กระนั้นพวกงูบนูเาหลงยวนลูกนี้ก็ประหลาดนัก พวกมันจะอยู่แค่บนูเาลูกนี้ น้อยครั้งที่จะออกมาเพ่นพ่านด้านนอกราวกับว่าบนูเาลูกนี้มีบางอย่างที่ดึงดูดพวกมันเอาไว้
ดังนั้นคนในสำนักเชินจึงไม่ได้ไปจัดการเื่นี้
ทำแค่ปิดตายูเาลูกนี้ไป
ยามนี้ฝ่าาได้แต่งตั้งฮูหยินหลัวขึ้นมา ทั้งยังประสงค์จะสร้างจวนให้นางสักหลัง
สำนักเชินจึงตัดสินใจถวายูเาลูกนี้ให้ฮ่องเต้ทันที
ฮ่องเต้เมื่อทราบเช่นนั้นก็พอใจ
คนในสำนักเชินก็พอใจเช่นกัน เื่นี้นับว่าจัดการได้ยอดเยี่ยม แม้จะเป็การเอาใจฝ่าา แต่หากกล่าวไปแล้วสำนักเชินก็ไม่ได้ประจบประแจงจนเกินไป แม้จะดูเหมือนว่ากำลังประจบประแจงฮูหยินนางหนึ่งอยู่ ทว่าูเาลูกนี้ก็มีเื่แปลกๆ ที่เหล่าบัณฑิตพอจะทราบมาบ้าง
แน่นอนว่าเื่เหล่านี้ย่อมรู้กันเพียงในหมู่พวกเขา ไม่มีทางจะรายงานต่อฝ่าา
เื่นี้ก็ต้องดูที่ฮูหยินหลัวแล้ว ว่านางจะอยู่ได้หรือไม่
เื่นี้ทำให้ใต้เท้าเฉินมีโทสะนัก ผู้คนเคร่งครัดมากกับหลักการพวกนี้ ภายนอกก็ทำเป็เคร่งขรึม ทว่ากลับใช้วิธีการเช่นนี้มารังแกสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังไม่รู้ว่าใครกันที่เป็คนออกความคิดเื่นี้ กระนั้นคนเคร่งครัดเ่าั้ต่อให้อยากจะรังแกนางก็แล้วไปเถิด นี่ยังจะมีหน้ามาล้วงความลับจากเขาอีก
ในใจผู้ดูแลบัณฑิตเฉินก็ไม่ได้ใส่ใจอันใดกับตำแหน่งฮูหยิน ในความทรงจำของเขามีเพียงภาพยามที่กองทัพจิงบุกประชิด มีเพียงสตรีนางนี้ที่ยังคงอยู่เป็แนวหน้า
สตรีที่ทั้งผ่าเผยและเที่ยงตรงเช่นนี้
ยิ่งกว่านั้นยามอยู่บนเขา เขายังพบว่าผู้ใหญ่บ้านหวังมีใจลึกซึ้งให้แก่นาง ทั้งยังไม่ใช่เพียงแค่ความชอบพอ แต่ยังแฝงไปด้วยความเคารพ
เมื่อเขารู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังคิดว่าพวกเขาป่านนี้คงจะได้กลายเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าเื่ราวจะลงเอยเช่นนี้
แต่หากอยากจะโทษใคร ก็คงต้องโทษโชคชะตาของพวกเขา
หากว่าเขาไม่มอบสิทธิ์ทั้งสี่รายชื่อนี้ให้พวกเขา แม่นางหลัวก็คงไม่พาเฉินโย่วจากพื้นที่ห่างไกลมา นางคงไม่มีทางได้กลายมาเป็ฮูหยินเช่นนี้
ใต้เท้าเฉินพลันรู้สึกไม่สงบขึ้นมา
เมื่อเขากลับไปถึงเรือนของตนก็เห็นว่าหน้าเรือนมีคนยืนอยู่ เพียงมองท่าทางก็รู้ว่าคงยืนรอมานานแล้ว
เรือนผมไม่เพียงแต่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำค้างจากหมอก กระทั่งเสื้อผ้าบนร่างก็ยังเปียกชื้น
ทว่าร่างกายกลับยังดูองอาจดุจเดิม
เรือนผมแม้จะเปียกชื้น แต่ก็ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย
ชายคนนั้นเมื่อเห็นเขาก็ดูดีใจขึ้นมา
“ใต้เท้าเฉิน ท่านยังจำข้าได้หรือไม่”
ผู้ดูแลบัณฑิตเฉินตื่นใอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาลืมชายตรงหน้าไปแล้ว แต่เพราะเขาจำได้เป็อย่างดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าชายตรงหน้ามาหาเขาด้วยเหตุใด
“ผู้ใหญ่บ้านหวัง มาเร็วๆ รีบเข้าเรือนเถิด คราวหน้าหากมาแล้วก็เข้าเรือนได้เลย เรือนข้าสามัญนัก ไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมสักเท่าใดจึงไม่ได้มีของรับรองมากมาย เอ้อ บนูเานี้ทั้งชื้นทั้งหนาว ยืนด้านนอกนานเข้าจะป่วยเอาได้”
“เพิ่งจะมาเยือนครั้งแรก หากเข้าเรือนเลยคงไม่ดีเท่าไรนัก ทว่าในเมื่อใต้เท้าเฉินกล่าวเช่นนี้ ครั้งหน้าข้าจะเข้าเรือนเลยแล้วกัน” นายท่านสามกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ใต้เท้าเฉินคิดว่าเขากำลังเห็นชายจนตรอกคนหนึ่ง แต่บุรุษตรงหน้าท่าทีจนตรอกก็ยังพอมีอยู่ ทว่าแววตากลับไม่ได้ดูจนตรอกแม้แต่น้อย กลับดูสง่าผ่าเผยเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องเรียกข้าว่าใต้เท้าแล้ว เรียกข้าว่าจื๋อชูก็แล้วกัน แม้ข้าจะอายุมากกว่าเ้าอยู่เสียหน่อย หรือเ้าเรียกว่าท่านพี่ก็ได้เช่นกัน” เฉินเจี๋ยอวี๋เดินนำชายหนุ่มเข้ามาในเรือน เดินไปจุดไฟอุ่นน้ำบนเตาให้ร้อน แล้วจึงเทให้ชายหนุ่มถ้วยหนึ่ง
ไอน้ำจางๆ ลอยขึ้นจากแก้ว น้ำยังร้อนนัก
นายท่านสามเมื่อรับมาแล้วก็ยกขึ้นดื่มด้วยท่าทีซาบซึ้งทันที
ใต้เท้าเฉินมีนามเต็มว่าเฉินเจี๋ยอวี๋ สมญานามคือจื๋อชู บุรุษตรงหน้าอนุญาตให้เขาเรียกว่าจื๋อชูเช่นนี้ ย่อมหมายความว่ารู้สึกสนิทสนมกับเขามาก
“ท่านพี่จื๋อชู ข้ามีนามว่าหรูอี้ ทว่าชีวิตกลับไม่สมหวังดั่งนาม ไม่ทราบว่าท่านพี่สามารถตั้งสมญานามให้ข้าได้หรือไม่” นายท่านสามกล่าวพร้อมทั้งยกมือคารวะ
ใต้เท้าเฉินเคยตั้งสมญานามให้คนมาก่อน เพียงแต่ยังไม่เคยพบใครที่อายุมากถึงเพียงนี้แล้วยังไม่มีสมญานาม ทั้งยังไม่เคยตั้งเองเช่นกัน
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของชายหนุ่ม ใต้เท้าเฉินก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ท่านมีนามว่าหวังหรูอี้ เช่นนั้นสมญานามก็เป็อี้ผิงก็แล้วกัน ชีวิตคนเราผิดหวังเก้าถึงแปดส่วนในสิบส่วนก็นับว่าปกติ ทว่าความสุขสงบมียากที่สุด เช่นนั้นข้าหวังว่าท่านจะได้มีความสุขสมเช่นสมญานามนี้”
นายท่านสามเมื่อได้ยินผู้ดูแลบัณฑิตเฉินกล่าวเช่นนั้นก็เข้าใจ จึงรีบคารวะทันที
นายท่านสามมาถึงที่นี่ไม่เพียงเพื่อสมญานามเท่านั้น แต่การขอให้ใต้เท้าเฉินมอบสมญานามให้เป็การแจ้งเจตจำนง
ในหมู่ขุนนางส่วนใหญ่ สมญานามมักจะให้ท่านอาจารย์ของตนเป็คนตั้ง
เขาให้ใต้เท้าเฉินช่วยตั้งสมญานามเช่นนี้ ย่อมแสดงออกชัดเจนว่า้าจะรับใช้ใต้เท้าเฉิน
เมื่อได้รับสมญานามแล้ว
นายท่านสามก็ไม่ได้เร่งร้อนจากไป ทว่ากลับรั้งอยู่ที่เรือนของใต้เท้าเฉินเพื่อสนทนากันต่อถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน
ทั้งสองคนสนทนากันอยู่ตลอดคืน
เทียนก็ดับแล้วดับอีกไปถึงสี่เล่ม
เตียงซอมซ่อหนึ่งหลัง และเก้านี้ซอมซ่ออีกตัววางคู่กัน
แม้เทียนจะหมดไปแล้วถึงสี่เล่ม
ดวงจันทร์ดวงโตยังคงส่องแสงลงมา
เฉินเจี๋ยอวี๋เล่าเื่เกี่ยวกับขุนนางในราชสำนักที่รู้มาทั้งหมดให้นายท่านสามฟัง
วันต่อมา
ฟ้าเริ่มจะสาง
ใต้เท้าเฉินที่สนทนามาทั้งคืนยังคงหลับอยู่ ทั้งยังกรนออกมาเบาๆ
นายท่านสามค่อยๆ ลุกขึ้น ช่วยอีกฝ่ายคลุมผ้าห่มแล้วจึงเดินออกไปด้านนอก
เขาเองแม้จะเป็ปัญญาชนเช่นกัน ทว่ายามอยู่บนูเา เขากลับให้ความสำคัญกับการออกกำลังนัก เช่นนั้นแม้จะอดนอนเพื่อสนทนาสัพเพเหระทั้งคืน เขาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะขอบตาดำหรืออ่อนล้า ยิ่งกว่านั้นกลับดูกระฉับกระเฉงยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มยืนหลังตรงอยู่กลางเรือนของนายท่านเฉิน
เมื่อมองไปด้านหน้าก็เห็นเป็ทิวเขาทอดยาวติดต่อกันท่ามกลางหมอกหนา
เขาพลันะโขึ้นเสียงดัง “อ้า…อ้า…อ้า…”
ทิวเขาก็พลันตอบกลับทันใด “อ้า…อ้า…อ้า…”
ใต้เท้าเฉินที่ยังอยู่ในเรือนเพียงแค่พลิกกายแล้วหลับต่อ
นายท่านสามเก็บกวาดของอีกเล็กน้อย แล้วจึงลงจากเขาไป
ชายหนุ่มเดินลงจากเขาไปเพียงลำพังด้วยท่าทีผ่าเผย
ไม่นานนักร่างสูงใหญ่ก็ลับหายไปในม่านหมอก
ปีนี้คือปีที่สองร้อยแปดสิบหกของแคว้นเชิน ปีที่หวังหรูอี้ได้สมญานามว่าอี้ผิง
ปีนี้ในประวัติศาสตร์ยังเรียกว่าปีหรูอี้
……
