ในตอนนี้เอง ในที่สุดเฉี่ยวอวี้ก็นำหมอประจำจวนมาถึงอย่างเชื่องช้า
ระหว่างทางที่มา เฉี่ยวอวี้ได้แจ้งให้ท่านหมอทราบแล้วว่านายหญิงของนางไม่ทันระวังเผลอกลืนกระดูกไก่เข้าไปจนติดคอ
ยามที่หมอประจำจวนมาถึงก็เห็นว่าฉินหว่านสามารถนำกระดูกไก่ออกมาได้แล้ว เขาจึงเพียงช่วยตรวจดูผลข้างเคียงอื่นให้ฉินหว่าน ก่อนจะได้พบว่าลำคอของนางบวมแดง
เมื่อหมอก้มศีรษะลงมองกระดูกไก่ชิ้นนั้น ในดวงตาพลันปรากฏแววเยาะหยัน
กระดูกไก่ชิ้นใหญ่เพียงนี้ นางก็ยังกลืนลงคอไปได้ นี่นางไม่ได้กินไก่มาแปดร้อยปีแล้วหรืออย่างไร?
หลังจากหมอประจำจวนตรวจฉินหว่านเสร็จ ก็จ่ายยาช่วยบรรเทาอาการบวมของลำคอให้ ถึงได้เดินถือกล่องยาจากไป
ขณะนั้นสาวใช้ผู้หวังดีทั้งสองยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เยว่เฟิงเกอจึงหันไปกล่าวกับพวกนางว่า “พวกเ้าออกไปเถอะ”
“เพคะ” สองสาวใช้รีบยืนขึ้นแล้วล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหนีเอาชีวิตรอดก็ไม่ปาน
เยว่เฟิงเกอหันมากล่าวกับฉินหว่านต่อ “เื่ในวันนี้ เป็เพียงการสั่งสอนเ้าเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากเปิ่นกงยังได้ยินปากเ้าพ่นคำเยาะหยันใส่เปิ่นกงอีก เปิ่นกงจะไม่ปล่อยเ้าไปง่ายๆ เช่นนี้อีกแน่”
เยว่เฟิงเกอกล่าวจบ ก็ไม่ให้โอกาสฉินหว่านได้เอ่ยวาจาอีก นางก้าวเท้ายาวๆ เดินไปจากห้องอาหารทันที
ชิงจื่อเองก็รีบตามติดเื้ัเยว่เฟิงเกอไม่ห่าง
“พระชายา เมื่อครู่ทรงร้ายกาจมากเลยเพคะ กระดูกไก่ชิ้นใหญ่เพียงนั้นบินเข้าไปในลำคอของชายารองได้ง่ายๆ เลย ท่าทางที่ชายารองต้องพยายามหายใจเข้าอย่างหนักนั้น แค่ได้ยืนมองเฉยๆ หัวใจของบ่าวยังเต้นระส่ำว้าวุ่นเลยเพคะ” จนถึงตอนนี้ชิงจื่อก็ยังกลัวไม่หาย
เหตุใดพระชายาของนางถึงได้เปลี่ยนไปร้ายกาจถึงเพียงนี้ พระชายาผู้นี้ไม่คล้ายพระชายาคนที่นางเคยรู้จักแม้แต่น้อย
เยว่เฟิงเกอหัวเราะเบาๆ “นี่คือบทลงโทษเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้ามอบให้ฉินหว่าน วิธีที่ร้ายกาจกว่านี้ ข้ายังไม่ได้นำออกมาใช้เลย”
ชิงจื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เปล่งประกายน้อยๆ “พระชายา ยังทรงมีวิธีการร้ายกาจใดอยู่อีกหรือเพคะ? ”
เยว่เฟิงเกอหยิกแก้มของชิงจื่อเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ถึงตอนนั้น เ้าก็จะรู้เอง”
หากว่าฉินหว่านไม่กลัวตาย กล้ามาหาเื่นางอีก นางก็ไม่รังเกียจที่จะเล่นกับฉินหว่านอีกสักหน่อย
ทางด้านฉินหว่าน รอจนเยว่เฟิงเกอจากไปแล้ว นางถึงได้กลับไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยสภาพอิดโรย
สำหรับความรู้สึกที่เหมือนจะขาดอากาศหายใจตายนี้ นางไม่อยากลิ้มลองอีกเป็ครั้งที่สอง
เมื่อลมหายใจกลับมาเป็ปกติแล้ว ฉินหว่านถึงได้สาดสายตาไปยังร่างของเฉี่ยวอวี้
“เ้าเป็อะไรของเ้า แค่ไปพาหมอมา เหตุใดถึงได้ชักช้าเพียงนี้ อยากเห็นข้าตายหรือไร? ” ฉินหว่านเริ่มระบายความโกรธทั้งหมดที่มีในใจใส่เฉี่ยวอวี้
เฉี่ยวอวี้เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล่าววาจาแม้ประโยคเดียว
“ข้าพูดกับเ้าอยู่นะ เ้าหูหนวกแล้วหรือ? ” ฉินหว่านพูดพลางใช้มือตบโต๊ะโดยแรง
เฉี่ยวอวี้เห็นเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงตรงหน้าฉินหว่าน
“บ่าวไม่ได้อยากเห็นนายหญิงตายเ้าค่ะ เพียงแต่ยามนี้บ่าวมีดวงตาเพียงข้างเดียวในการนำทาง ดังนั้น ยามเดินเหินจึงไม่คล่องแคล่วดังเช่นแต่ก่อน” น้ำเสียงของเฉี่ยวอวี้แฝงไว้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
หากไม่ใช่เพราะนายหญิงของนางไม่ยอมให้หมอมาตรวจรักษาดวงตาให้นาง นางจะต้องใช้ผ้าปิดตาไว้เช่นนี้หรือ
ฉินหว่านคิดไม่ถึงว่าเฉี่ยวอวี้จะยังกล้าแสดงท่าทีน้อยอกน้อยใจต่อหน้านาง นางยิ้มเ็ามองสาวใช้ข้างกายตน “แหม นี่เ้ากำลังโทษข้าอยู่กระมัง? เ้าเป็แค่สาวใช้คนหนึ่ง ต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครมาเก็บศพให้เ้า แล้วจะนับประสาอะไรกับอีแค่ตาข้างหนึ่งที่เพียงาเ็เฉยๆ หรือว่าตัวเ้าจะสูงส่งถึงขั้นต้องให้หมอประจำจวนมารักษา? ”
“บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้นเ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้วเ้าค่ะ” เฉี่ยวอวี้โขกศีรษะสำนึกผิด แต่สายตาของนางกลับปรากฏแววเกลียดชัง
ทั้งที่เป็สาวใช้เหมือนกันแท้ๆ แต่เหตุใดสาวใช้ของเยว่เฟิงเกอถึงได้สุขสบายเช่นเดียวกับผู้เป็นาย ขณะที่นางต้องมาทนทุกข์อยู่เช่นนี้
กินแต่ของไม่ดีก็ช่างเถอะ แม้แต่ที่พักก็ยังซอมซ่อมาก
ส่วนชายารองฉินผู้นี้ วันวันรู้จักแต่จิกหัวใช้นาง เอาแต่รังเกียจและบ่นว่าว่านางไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้
ั้แ่รับใช้อีกฝ่ายมา นางไม่เคยเห็นคนแย้มยิ้มให้เลยสักครั้ง
เฉี่ยวอวี้ในยามนี้เริ่มรู้สึกอิจฉาชิงจื่อขึ้นมาบ้างแล้ว
หากนางสามารถไปอยู่ข้างกายเยว่เฟิงเกอได้ ได้กลายเป็สาวใช้ประจำตัวอีกฝ่ายได้ ก็คงจะดี
ฉินหว่านโบกมือ กล่าวด้วยความรำคาญใจ “ไสหัวไป ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ”
เฉี่ยวอวี้ได้รับคำสั่ง ก็ลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะไปจากห้องอาหาร
……...........................................................................................
ระหว่างทางเดินกลับเรือนเยว่เหยา เยว่เฟิงเกอพูดคุยสนุกสนานหัวร่อต่อกระซิกกับสาวใช้ตน โดยไม่แม้แต่จะเก็บเอาเื่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้ามาใส่ใจ
ทว่า ยามที่คนทั้งสองเดินไปได้ครึ่งทาง ก็เห็นองครักษ์คนหนึ่งเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
ถานอี้เดินตรงมาหาเยว่เฟิงเกอด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงหน้านางพร้อมกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “พระชายา ท่านอ๋องทรงเรียกหาท่านพ่ะย่ะค่ะ”
“ม่อหลิงหาน้าพบข้า? มีเื่ใด? ” เยว่เฟิงเกอมององครักษ์ถานอี้ด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
“เื่นี้กระหม่อมเองก็ไม่ทราบ ขอพระชายาเชิญตามกระหม่อมมาทางนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ” ถานอี้กล่าวจบก็หมุนกายจากไป
เยว่เฟิงเกอยักไหล่แล้วเดินตามหลังถานอี้ไป
ขณะนั้นชิงจื่อที่กำลังจะออกติดตามไปด้วย ก็ได้ยินถานอี้ที่เดินอยู่ข้างหน้ากล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องเชิญพระชายาผู้เดียว”
ความหมายนี้ชัดเจนยิ่งแล้ว คนไม่อนุญาตให้สาวใช้ของเยว่เฟิงเกอติดตามไปด้วย
“พระชายา...” ชิงจื่อจับชายเสื้อของเยว่เฟิงเกอไว้ นางมองนายตนด้วยสีหน้าเป็ห่วงกังวล
เยว่เฟิงเกอส่งยิ้มให้ชิงจื่อ ตบหลังมืออีกฝ่ายเบาๆ “วางใจเถอะ ท่านอ๋องไม่ทำอันใดข้าหรอก”
เยว่เฟิงเกอพูดจบก็จากไปพร้อมถานอี้
ถานอี้เดินนำเยว่เฟิงเกอไปยังศาลาพักร้อนหลังหนึ่ง เมื่อไปถึง เขาก็จากไปทันที ทิ้งให้เยว่เฟิงเกอยืนอยู่เพียงลำพัง
ขณะนั้นเยว่เฟิงเกอเห็นม่อหลิงหานยืนหันหลังเอามือไพล่หลังอยู่กลางศาลา
“ท่านอ๋องเรียกหาข้ามีเื่ใดหรือ? ” เยว่เฟิงเกอมองม่อหลิงหานด้วยสีหน้าระแวดระวัง ไม่รู้ว่าหนนี้เขาจะมีแผนการอะไร
ม่อหลิงหานไม่ได้หันหน้ากลับมา และยังคงยืนเอามือไพล่หลังอยู่เช่นเดิม
“นี่ เ้าให้ข้ามาพบที่นี่ มีธุระอันใดกันแน่? หากไม่มีเื่ใด ข้าจะไปแล้ว” เยว่เฟิงเกอเริ่มรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว
คนคนนี้ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เรียกนางมา แต่กลับหันหลังให้ ทั้งยังไม่กล่าววาจาใดออกมาแม้ประโยคเดียว
ตอนนี้เอง ในที่สุดม่อหลิงหานก็หมุนตัวกลับมา สายตาที่มองเยว่เฟิงเกอมีแววสำรวจตรวจสอบ
“เ้าเป็ใครกันแน่? ” ม่อหลิงหานยังคงถามประโยคนี้เช่นเคย
เยว่เฟิงเกอกลอกตา นางกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ข้าว่านะท่านอ๋อง คำถามนี้ของท่าน ท่านถามข้ามาแล้วสองสามรอบ พวกเราลองเปลี่ยนมาพูดคุยกันด้วยคำถามอื่นบ้างจะดีหรือไม่? ”
ม่อหลิงหานไม่สนใจเยว่เฟิงเกอที่กำลังกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย เขาขมวดคิ้วแน่น ใช้สายตาสำรวจตรวจสอบมองเยว่เฟิงเกอ
“ตอบคำถามของเปิ่นหวางมาตรงๆ ” ในน้ำเสียงของม่อหลิงหานมีความไม่พอใจแฝงอยู่ “เ้าไม่ใช่องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ เ้าเป็ใครกันแน่? ”
เยว่เฟิงเกอคิดไม่ถึงว่าม่อหลิงหานจะรู้เร็วถึงเพียงนี้ว่านางไม่ใช่เ้าของร่างเดิม กระนั้นนางก็ไม่มีทางโง่บอกอีกฝ่ายว่าตนมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มาเกิดใหม่ ณ ที่แห่งนี้
สำหรับคนโบราณ หากนางพูดเื่เหล่านี้ออกไป เห็นทีจะมองเพียงว่าเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ เยว่เฟิงเกอถึงได้สร้างคำโกหกขึ้นมา “แน่นอนว่าตัวข้านี้ย่อมต้องเป็องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ เมื่อวาน ท่านก็เห็นปานบนร่างกายข้าแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากจะมีก็มีได้”
เมื่อถูกเยว่เฟิงเกอกล่าววาจาเช่นนี้ใส่ ม่อหลิงหานยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้