ซูจิ้งโหยวถูกนางจงใจทำทีห่างเหินจนอึดอัด ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เ้าเด็กคนนี้ ั้แ่เด็กก็รู้หนังสือดีกว่าพี่น้อง เ้าเกรงใจข้าเช่นนี้ อาจถูกผู้คนกล่าวว่าพี่น้องไม่ปรองดองกันเอาได้ ภายหน้าอย่าเรียกพระสนมอีก จงเรียกว่าพี่ใหญ่เหมือนเซียงเอ๋อร์ด้วยเถิด”
“เ้าค่ะ พี่ใหญ่” ซูเฟยซื่อพยักหน้าโอนอ่อนผ่อนตาม
ท่าทางเช่นนี้เกือบทำให้ซูจิ้งโหยวคิดว่าหญิงสาวผู้ปราบพยศม้าเมื่อครู่เป็ภาพลวงตา
เพราะซูเฟยซื่อเป็แบบนี้ ทำให้นางจับต้นชนปลายไม่ถูก ยิ่งคิดก็ยิ่งมิอาจเก็บนางไว้ ต่อให้ซูเฟยซื่อไม่เป็อันตรายต่อนาง แต่ในอนาคตต้องเป็อุปสรรคต่อซูจิ้งเถียนแน่นอน
“ฝ่าา หม่อมฉันไม่ได้เจอครอบครัวมานานแล้ว ตอนนี้น้องสามได้รับความตื่นตระหนกด้วย หม่อมฉันคิดเชิญพวกนางให้พักอยู่พระตำหนักคืนหนึ่ง ไม่ทราบว่าฝ่าาทรงอนุญาตหรือไม่เพคะ?”กล่าวจบ ซูจิ้งโหยวก็มองซ่งหลิงซิวอย่างน่าสงสาร
เดิมทีก็เป็เื่เล็กน้อย ประกอบกับสายตาของซูจิ้งโหยว ซ่งหลิงซิวก็รีบตกลง
ซูเฟยซื่ออดหัวเราะเ็าไม่ได้ คิดว่าซ่งหลิงชิวก็อยากให้ผลลัพธ์ออกมาเป็แบบนี้
ปีนั้นขณะที่กู้ชิงยังไม่สิ้นชีพ แม้ซ่งหลิงซิวมีฐานะเป็ถึงฮ่องเต้ แต่กลับไม่สมความปรารถนา
ในท้องพระโรงต้องเกรงกลัวอวี้เสวียนจี อิทธิพลอำนาจในวังหลังยังเทียบไม่ได้กับฮองเฮากู้ แต่เมื่อมีผู้หญิงตัวเล็กๆ น่าสงสารอย่างซูจิ้งโหยวมาเติมเต็มจิตใจของเขาพอดี ทั้งยังสามารถดึงจวนอัครมหาเสนาบดีมาเป็พรรคพวกตามสถานการณ์ ไยมิใช่มีความสุขสันต์เล่า
ฮึ่ม... เกิดใหม่ชาติหนึ่ง เกรงว่าหากจะจับตามองซ่งหลิงซิวก็ได้เพียงเท่านี้
วันนี้นางได้ออกหน้าออกตาเป็จุดเด่นเพียงพอแล้ว ระหว่างที่พิธีชุมนุมการแข่งม้ายังไม่เสร็จสิ้น ซูเฟยซื่อก็ใช้ข้ออ้างว่าได้รับความตื่นตระหนกลุกออกจากที่นั่งไป ให้นางกำนัลพาไปยังสถานที่ที่ซูจิ้งโหยวจัดไว้
เดินตามเส้นทางซึ่งเคยผ่านเมื่อชีวิตชาติที่แล้ว ดูทัศนียภาพที่เคยเห็น
ภาพวาดที่คุ้นเคยเ่าั้หลั่งไหลสู่ห้วงสมองของซูเฟยซื่อ ราวกับมีมือคู่หนึ่งที่มองไม่เห็น ฉีกกระชากาแที่เพิ่งหายสนิท เืสดหยดติ๋ง
แต่คำพูดของอวี้เสวียนจียังก้องอยู่ในหู นางจะไม่สูญเสียการควบคุมอีกแล้ว
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะกลับสู่พระตำหนักอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ที่ยิ่งคิดไม่ถึงคือ ทั้งหมดนี้ยังต้องพึ่งวาสนาจากซูจิ้งโหยวด้วย
จู่ๆ นางก็แปลกใจเล็กน้อย ชีวิตชาติที่แล้วซูจิ้งโหยวพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้นางไปจากพระตำหนัก ทว่าตอนนี้กลับเชิญนางกลับมา ถ้าซูจิ้งโหยวรู้ทุกอย่างนี้จะรู้สึกอย่างไร
ซูเฟยซื่อถามนางกำนัล ถึงทราบว่าซูจิ้งโหยวจัดพวกนางไว้ที่พระตำหนักเสียนโหยวที่ตนเองเคยอาศัยอยู่
สิ่งที่แปลกคือนางให้นางแซ่หลี่กับซูจิ้งเถียนพักที่ห้องโถงด้านข้างทิศบูรพา แต่ให้นางกับซูจิ้งเซียงพักในห้องโถงข้างทิศประจิม
กล่าวตามหลักการ ห้องโถงแต่ละแห่งต่างจัดให้พักสองคนไม่ผิด แต่เป็ไปไม่ได้ว่าซูจิ้งโหยวจะไม่รู้ว่านางไม่ถูกกับซูจิ้งเซียง ถึงกับจงใจจัดแบบนี้ หมายความว่าจุดประสงค์ที่ซูจิ้งโหยวเชิญพวกนางพักค้างแรมคงไม่ได้ง่ายแบบนั้น
ซูเฟยซื่อไม่ได้กลับไปที่ห้องของนางโดยตรง ทว่ากลับลอบเข้าไปในห้องโถงด้านตะวันออกเพื่อดูว่านางแซ่หลี่และพวกนางคิดเล่นลูกไม้อะไร
ถ้าพวกนางแซ่หลี่คิดจะลงมือต่อนางคืนนี้จริงๆ หลังจากที่นางกลับมาก็ต้องฉวยโอกาสที่พิธีชุมนุมการแข่งม้ายังไม่จบตามกลับมาด้วยแน่ๆ
ความสนใจของทุกคนมุ่งเน้นอยู่ที่นั่นจึงเป็่เวลาลงมือที่เหมาะสม
อย่างที่นางคิด ผ่านไปไม่นานประตูด้านห้องโถงตะวันออกก็เปิดออก นางแซ่หลี่นำซูจิ้งเซียงเดินเข้ามา
ซูจิ้งเซียงเบ้ปากเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจนัก “ทำไมพี่ใหญ่ต้องจัดให้ข้าอยู่กับซูเฟยซื่อด้วย ข้าไม่้า ข้าไม่อยากได้”
นางแซ่หลี่ถอนหายใจแล้ว “เ้าคิดว่าพี่ใหญ่ของเ้าคิดจัดแบบนี้หรือ เพียงแต่วันนี้ซูเฟยซื่อได้ออกหน้าในพิธีชุมนุมการแข่งม้าแล้ว ดวงตาทุกคนล้วนจับจ้องไปที่นาง ถ้าจัดให้นางอยู่คนเดียว เกรงว่าคนอื่นๆ จะติฉินว่าจวนอัครมหาเสนาบดีเรารังเกียจกีดกันนางได้ อายุของเถียนเอ๋อร์ยังน้อยด้วย”
“หากรังเกียจก็เพียงกีดกันออกไป เป็พระสนมแท้ๆ หากจะรังเกียจบุตรอนุคนหนึ่งยังต้องอธิบายกับผู้คนอีกหรือ?”
ได้ยินวาจานี้ของซูจิ้งเซียง ซูเฟยซื่อก็อดหัวเราะเ็าในใจไม่ได้ ช่างเป็ศีรษะคนสมองหมูจริงๆ ไม่สงสัยเลยว่าตายอย่างไรก็ยังไม่รู้
ในดวงตานางแซ่หลี่มีแววเอือมระอากระแสหนึ่งแวบผ่านไป มือยังคงลูบศีรษะของซูจิ้งเซียงอย่างรักใคร่เมตตา
“ตอนนี้พี่ใหญ่กำลังอยู่ใน่หัวเลี้ยวหัวต่อ เพื่อตำแหน่งฮองเฮาแล้ว เราต้องระวังทุกฝีก้าว มิฉะนั้นหากคนอื่นชิงตำแหน่งนี้ไป เกรงว่าชีวิตในวันข้างหน้าของเราคงมิอาจผ่านไปได้ด้วยดี”
นางแซ่หลี่กล่าววาจาด้วยท่าทีจริงจัง ซูจิ้งเซียงอึ้งงัน ในที่สุดก็เริ่มเข้าใจเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น... คืนนี้ข้าจะอยู่กับซูเฟยซื่อเป็การชั่วคราว”
“โธ่ ทำให้เ้าคับข้องใจแล้วจริงๆ เดิมวันนี้ข้ากับพี่ใหญ่เ้าต่างจัดเตรียมไว้ดีแล้ว คิดอยากให้เ้ากับเถียนเอ๋อร์ได้แสดงความโดดเด่นมีสง่าราศีในพิธีชุมนุมการแข่งม้า แม้จะไม่ได้เข้าพระราชวัง แต่ก็นับว่ายังสามารถแสวงหาอ๋องหรือคุณชายที่ถือว่ามีคุณสมบัติคู่ควรกัน ชีวิต่หลังในภาคหน้าอาจได้เสพลาภยศมั่งคั่งมิต้องกังวลโศกเศร้า ไม่คิดว่าจะถูกเฟยซื่อชิงจังหวะนี้ไปเสียก่อน...” นางแซ่หลี่ทำทีมองซูจิ้งเซียงคราหนึ่งอย่างเสียดายแล้วกล่าวต่อ “ความจริงข้าปฏิบัติต่อพวกเ้าล้วนทัดเทียมกัน เพียงแต่คิดถึงวันข้างหน้าเ้ากับเถียนเอ๋อร์ก็ถูกซูเฟยซื่อเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าจนมิอาจพลิกฟื้นตัว ข้าก็แสนปวดใจ”
เดิมซูจิ้งเซียงก็ไม่พอใจในซูเฟยซื่อนานัปการ ตอนนี้ถูกแซ่หลี่ชี้นำแบบนี้ ความแค้นเคืองกระแสนั้นก็ยิ่งทะยานสูง
นางนึกถึงท่าทีสง่างามขณะที่ซูเฟยซื่อตีซูจิ้งเถียน นึกถึงวีรกรรมอันเจิดจรัสของซูเฟยซื่อขณะอยู่บนหลังม้า นึกถึงซูเฟยซื่อย่างก้าวเข้ามาในความชื่นชมสรรเสริญของทุกคนด้วยความสงบเฉยเมย
สิบนิ้วบีบแน่น ข้างหูยังไม่วายคิดถึงวาจาของนางแซ่หลี่เมื่อครู่
ในอนาคตก็จะถูกซูเฟยซื่อเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า ไม่สามารถพลิกฟื้นตัว
ไม่ได้ นางมิอาจทานทน ซูเฟยซื่อต้องหายไป นางไม่สามารถปล่อยให้ซูเฟยซื่อเหยียบนางไว้ใต้ฝ่าเท้าแน่
ดูความแค้นเคืองคุกรุ่นในสายตาของซูจิ้งเซียง จู่ๆ ซูเฟยซื่อก็เข้าใจเจตนารมณ์ที่ซูจิ้งโหยวจัดให้พวกนางอยู่ในห้องโถงเดียวกันแล้ว
เป็นางจะใช้สิ่งนี้เป็ชนวนจุดะเิ หลังจากนั้นนางแซ่หลี่จุดไฟ ให้ซูจิ้งโหยวใช้ะเิลูกนี้มาทำลายนาง
กลยุทธ์ที่ดี ตนเองล้วนไม่ต้องลงมือ ใช้คำพูดไม่กี่คำก็ทำให้คนที่น่ารังเกียจไปตาย ยังมีผีตายแทนที่เหมาะสมตนหนึ่ง
ไม่รู้จริงๆ ว่าควรชมซูจิ้งโหยวกับนางแซ่หลี่ว่าฉลาดเกินไป หรือต้องด่าว่าซูจิ้งเซียงโง่งมเกินไปแน่
เห็นความแค้นเคืองในดวงตาซูจิ้งเซียงที่บ่มหมักไว้ใกล้จะใช้ได้แล้ว นางแซ่หลี่เอ่ยปากในเวลาที่เหมาะสม “ใช่แล้ว ครั้งที่แล้วเฟยซื่อบอกกับข้าว่ามีหนูอยู่ในเรือนของนาง ให้ข้าเอายาเบื่อหนูให้นางสักหน่อย ข้าก็ลืมไปเสียสนิท วันนี้เมื่อนึกขึ้นได้ วานเ้าช่วยข้าเอาไปให้นางเถิด”
กล่าวพลาง นางแซ่หลี่หยิบห่อกระดาษจากแขนเสื้อส่งให้ซูจิ้งเซียง รับมาแล้วความอำมหิตในดวงตาพลันมลายหาย สุ่มกล่าวไปอีกสองประโยคก่อนจากไปอย่างรีบร้อน
ดูท่าที ซูจิ้งโหยวคิดอยากฆ่านางจนแทบไม่อาจรอได้แล้ว
ประกายแข็งกร้าววาบผ่านดวงตาของซูเฟยซื่อ ทราบดีว่าระหว่างนางกับนางแซ่หลี่ แล้วยังซูจิ้งโหยวจะเกิดสถานการณ์ไม่เ้าตายก็ข้ารอดไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่ไม่คิดว่าพวกนางสองคนจะโหดร้ายเช่นนี้
นางเพียงทำตัวโดดเด่นออกหน้าออกตาไปเพียงครั้งเดียว อีกฝ่ายก็คิดเอาชีวิตของนาง
ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็อย่าโทษว่านางไม่เกรงใจแล้ว
นางเหินร่างไปจากห้องโถงด้านตะวันออก รอจนขณะที่นางกลับมาถึงห้องโถงด้านตะวันตก ซูจิ้งเซียงก็นั่งรออยู่ที่นั่นเป็เวลานาน แต่ซางจื่อกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ศีรษะก้มต่ำ เห็นได้ชัดว่าถูกลงโทษ
“น้องสาม เ้าไปไหนเล่า ทำไมเพิ่งกลับมา?” ซูจิ้งเซียงเหลือบมองยาเบื่อหนูที่โต๊ะคราหนึ่ง เพื่อเชิญชวนหลอกล่อให้ซูเฟยซื่อกินลงไป นางได้แต่ฝืนแย้มยิ้มออกมา