หลังจากอวี้ฉู่จาวได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ฉงเต๋อให้เข้าเฝ้า เขาจึงรีบเข้าวังหลวง
เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิท แสงเทียนสว่างไสวไปทั่วพระราชวัง
เมื่ออวี้ฉู่จาวเดินมาถึงหน้าห้องศึกษาตำรา เขาพลันได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น
เขาจำไม่ได้ว่าชาติก่อนมีหญิงผู้นี้อยู่ด้วย จำได้ว่ามีเพียงฮ่องเต้กับฮองเฮาที่อยู่ปลอบใจเขา
อวี้ฉู่จาวยืนอยู่หน้าประตู รอขันทีเข้ามารายงาน
“กราบทูลฮ่องเต้ จ้านหวังเสร็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ฉงเต๋อดังออกมา ความสง่างามที่ยากจะบรรยาย อวี้ฉู่จาวยังคงจดจำได้
ชาติก่อนสำหรับอวี้ฉู่จาว ฮ่องเต้ช่างสง่างาม แม้ตราพยัคฆ์และเหล่าทหารในราชวงศ์อวี้จะอยู่ในมือเขา แต่ฮ่องเต้ฉงเต๋อก็ปฏิบัติต่อเขาเป็อย่างดี
ความรักของบิดากับบุตรชายยังมีอยู่ ไม่ว่าบิดาคนไหนเห็นบุตรของตนเองปฏิบัติตนดีเช่นนี้ คงไม่มีใครไม่รู้สึกไม่วางใจ
แต่สุดท้ายแล้ว
ในชาติก่อน ระหว่างที่เขาไปทำศึกกับซีเจียง ได้ส่งคนให้มาตรวจสอบเื่ราวในเมืองหลวง เพียงแต่เวลานั้น ภายในเมืองหลวงเข้มงวดมาก คนของเขากับคนที่จงรักภักดีถูกอวี้ฉู่ซวนจัดการหมด
ฉะนั้น เื่ที่ฮ่องเต้ฉงเต๋อส่งทหารไปสังหารเขา ทรงเป็คนรับสั่งจริงหรือไม่ หรือเื่ทั้งหมดโดนอวี้ฉู่ซวนปิดบัง เขาก็ไม่อาจแน่ใจ
มาคิดดูแล้ว ชาติก่อนเขาไม่เคยสนใจเื่เหล่านี้เลย สนใจแต่เพียงการรบ
อวี้ฉู่จาวพลันคิดว่า ตนอาจเป็แค่คนบ้าบิ่นอย่างที่ใครต่อใครพูดจริงกระมัง
“เชิญเสด็จ ท่านอ๋อง” ขันทีออกมาเชิญอวี้ฉู่จาวเข้าไป
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” อวี้ฉู่จาวเดินเข้ามากลางห้องพร้อมกล่าวเสียงดัง ก่อนจะคุกเข่าทั้งสองข้าง ก้มต่ำคำนับ
“จาวเอ๋อร์ ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้ฉงเต๋อกล่าว
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
ขณะที่อวี้ฉู่จาวยืนขึ้น เขาได้ยินเสียงร้องไห้ที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง
สายตาของฮ่องเต้ฉงเต๋อมีความจริงจังมากขึ้น ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ฮองเฮาซ่งพลันเอ่ยปาก
ฮองเฮามีน้ำเสียงและท่วงท่าสง่างาม นิสัยใจคอไม่ธรรมดา ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งมารดาของแผ่นดิน
“ฟูเหรินลิ่นหยวนโหว ท่านกำลังโศกเศร้าก็จริง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบเื่พระชายาของจ้านหวัง”
ตอนแรก อวี้ฉู่จาวคิดว่าหญิงที่กำลังร้องไห้ราวกับหัวใจได้แตกสลายไปแล้วผู้นั้นช่างคุ้นตา พอได้ยินถ้อยคำที่ฮองเฮาเตือนสตินาง ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า หญิงผู้นี้คือมารดาของพระชายาที่เพิ่งสิ้นไป ฟูเหรินลิ่นหยวนโหวนั่นเอง
ลิ่นหยวนโหวก้มลงปลอบใจฟูเหรินของตนที่ยังเศร้าโศก ดูก็รู้ว่าพวกเขากำลังเสียใจ
นั่นคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของทั้งคู่ เดิมทีตั้งใจหาสามีที่พึ่งพาได้ให้ แต่กลับได้รับพระราชโองการแต่งงานจากฮ่องเต้
ในวันนั้นตำแหน่งนี้ยังคงว่าง เทพเ้าแห่งาคือบุคคลที่มักยินยอมแต่โดยดี
ส่วนลิ่นหยวนโหวไม่ได้ยินยอมจะให้แต่งงานในตอนแรก แต่เมื่อมีพระราชโองการออกมาแล้ว พอบุตรสาวของตนได้ยินว่าอีกฝ่ายคือท่านอ๋องผู้นี้จึงเต็มใจ
ไม่คิดไม่ฝันว่าคืนแต่งงานบุตรสาวจะ…
หลังฮองเฮาเอ่ย ฟูเหรินลิ่นหยวนโหวยิ่งไม่เกรงใจ คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอความเป็ธรรม “ฮ่องเต้ ได้โปรดทรงตัดสินด้วยเพคะ ก่อนวันแต่งงานลูกหม่อมฉันยังดีอยู่เลย”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อหน้าดำคร่ำเครียด รับฟังคำพูดของฟูเหรินลิ่นหยวนโหว แต่ไม่รู้ว่าควรจัดการเช่นไร
“ใจเย็นๆ ก่อนเถิด” ลิ่นหยวนโหวรู้สึกว่าภรรยาของตนประพฤติไม่เหมาะสมจึงรีบเอ่ยห้าม
“จาวเอ๋อร์ เ้าว่าอย่างไร?”
อวี้ฉู่จาวได้ยินจึงโค้งคำนับเล็กน้อย “ลูกไม่รู้สาเหตุแน่ชัด เมื่อคืนลูกดื่มเหล้าจนเมามายแล้วถึงกลับตำหนัก ตื่นขึ้นมาตอนรุ่งสางก็พบว่าพระชายาสิ้นพระชนม์แล้ว” อวี้ฉู่จาวบอกความจริงทุกประการ
“รุ่งเช้า เ้าตื่นแล้วไปที่ใด?” ฮ่องเต้ฉงเต๋อให้คนออกตามหาเขาทั้งวัน
“ชานเมืองตะวันตก มีกิจการทหารสำคัญรอให้ลูกไปจัดการพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อพยักหน้า พระองค์เข้าใจบุตรชายของตนว่าในใจไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่ากิจการทหาร
“ทำการตรวจสอบแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ สาเหตุการตายคืออะไร” อวี้ฉู่จาวถาม
ฮ่องเต้ฉงเต๋อโบกมือ
หลี่ิลู่ ขันทีระดับสูงที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ก้าวออกมาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงโหยหวนในแบบของขันที “กราบทูลฝ่าา ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็โรคหัวใจพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ายังคงเฉยเมย
‘โรคหัวใจอีกแล้วหรือ’ ชายาคนแรกของเขาก็เป็โรคหัวใจ ตอนนี้ยังจะได้ยินประโยคนี้อีก
“ช่างน่าเสียดาย”
ทุกคนได้ยินชัดเจน
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ พวกเขารู้สึกว่าประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกมาราวกับกำลังประชดประชันอยู่
ฟูเหรินลิ่นหยวนโหวหยุดร้องไห้ทันที นางใไม่น้อย ผ้าไหมในมือถูกจับไว้แน่น ทั้งร่างพลันแข็งทื่อ
“จาวเอ๋อร์อย่าโทษตัวเองเลย เื่นี้เป็เื่ที่เกิดโดยไม่คาดคิด” ฮองเฮาปลอบโยนด้วยความรัก “เ้าเพิ่งจะอายุ 21 ปี เื่ชายาไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะช่วยเ้าดูเอง ข่าวลือด้านนอกไม่จำเป็ต้องใส่ใจ”
ที่แท้ ฮองเฮาทรงรู้ทุกเื่!
“อย่างนั้นคงต้องลำบากเสด็จแม่” อวี้ฉู่จาวยังคงมีท่าทีเ็า ซึ่งในชาติก่อนเขาก็เป็เช่นนี้
อวี้ฉู่จาวไม่เคยเอาเื่การแต่งงานมาใส่ใจ ในความคิดของเขา จะเป็ผู้หญิงคนไหนก็เหมือนกันหมด เพราะอย่างนั้น ต้องเป็ฮองเฮาที่คิดให้เขาแต่งงานกับหลินหร่านผู้ยากลำบากเป็แน่
ทว่าชาตินี้ คนที่อวี้ฉู่จาว้าคือหลินหร่าน ดังนั้น เขาจะยอมให้ฮองเฮาจัดการ
สุดท้าย ฮ่องเต้ฉงเต๋อจึงทรงมีพระบัญชา ให้นำพระชายาผู้ล่วงลับไปฝังไว้ที่สุสานของเชื้อพระวงศ์ สร้างความสบายใจและนับเป็เกียรติสำหรับจวนลิ่นหยวนโหว
ท้ายที่สุดจึงคลี่คลายปัญญาในตำหนักของเทพเ้าแห่งาเสร็จสิ้น
หลังจบเื่อวี้ฉู่จาวออกมาจากวังหลวง ถึงเวลาจะล่วงมาจนดึก แต่ยังดีที่ปัญหาถูกแก้ไขอย่างราบรื่น
อวี้ฉู่จาวถามกับขันทีที่เฝ้าอยู่หน้าห้องตำราก็ทราบความว่า สองสามีภรรยาลิ่นหยวนโหวรู้ว่าบุตรสาวเสียชีวิต พอไม่พบตัวท่านอ๋องจึงได้เข้ามาหาในวังหลวง
อวี้ฉู่จาวเดินไปตามถนนชิงฉือในพระราชวัง
ทันใดนั้น เขาหวนนึกถึง่เวลาก่อนตายของชาติก่อน เขาเดินผ่านถนนเส้นนี้โดยมีหลินหร่านอยู่ในอ้อมกอด
์คงสงสาร จึงให้โอกาสเขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง คนที่ผิดพลาดควรได้รับบทเรียน
ในตำรากล่าวไว้ว่า ‘ผู้ใดไม่รุกรานข้า ข้าจะไม่รุกรานผู้นั้น’
ชาติก่อนเขาใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยและตรงไหนตรงมาเกินไป ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่นแต่ก็มิได้ป้องกัน ถึงเวลาจึงได้ร่วงหล่นลงมาราวกับนก ผู้ที่ติดตามเขาล้วนแต่ถูกตัดหัวก็เพราะเขา
ฉะนั้นชาตินี้ เพื่อชายาตัวน้อยของเขา เพื่อเหล่าพี่น้องที่ร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ เขาจะต้องใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจมากขึ้น
“อ้าว นั่นจ้านหวังของพวกเราไม่ใช่หรือ?”
เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง ใบหน้าของอวี้ฉู่ซวนผุดขึ้นมาในหัวของอวี้ฉู่จาวทันที
แววตาของอวี้ฉู่จาวเปลี่ยนไปในเวลาอันสั้น
อวี้ฉู่ซวนยืนอยู่ด้านหลังเขา รอยยิ้มเยาะเย้ยประดับอยู่บนใบหน้า
อวี้ฉู่จาวหมุนตัวกลับมา เก็บความรู้สึกทั้งหมดและแสดงท่าทีปกติ
“เสด็จพี่” อวี้ฉู่จาวเรียกเช่นนั้นเพื่อแสดงถึงความเคารพ
---------------------------------