ครัวในลานเรือนถูกรื้อทิ้งแล้ว บัดนี้กำลังก่อสร้างเรือนไม้หลังใหม่ แต่สร้างเสร็จไปครึ่งเดียวเท่านั้น
ตอนกลางวันจึงทำอาหารทุกมื้อให้ชาวบ้านที่มาช่วยกันทำงานในเพิงที่แยกออกมาต่างหากด้านนอก
รอจนเรือนไม้ฝั่งครัวสร้างเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะย้ายเข้าไปอยู่ชั่วคราวก่อน จากนั้นพวกชาวบ้านจะรื้อเรือนเก่าที่อาศัยอยู่ในยามนี้ทิ้งแล้วสร้างใหม่
ภายในลานเรือนจึงเต็มไปด้วยกองไม้ ดูคล้ายยิ่งคับแคบและแออัด
ในอากาศอวลกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้ ในลานเรือนมีแสงจันทร์สลัวราง เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นดวงดาวพร่างพราวทั่วนภา งดงามเกินบรรยาย
เมิ่งอู่วางตะเกียงเทียนไว้บนพื้นโล่งๆ ด้านข้าง แสงสีเหลืองสลัวกะพริบ นางนั่งยองอยู่หน้าเก้าอี้เข็นของอินเหิง ก่อนเอื้อมมือไปจับขาข้างหนึ่งของเขา แล้วเริ่มคลำกระดูกอย่างระมัดระวัง
นางรู้ว่าต้องเจ็บมากโข แม้เป็คืนที่มืดมิด ก็ยังเห็นสีหน้าซีดขาวของอินเหิงได้รางๆ
แต่เขากลับไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่คำเดียว สองมือเพียงจับพนักแขนของเก้าอี้เข็นแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
ทว่าเมิ่งอู่ไม่มีเวลาปลอบโยนเขา สีหน้าของนางจริงจัง เนิ่นนานกว่าจะกล่าว “เกรงว่าจะไม่ได้”
อินเหิงเอ่ยถามเสียงแ่เบาด้วยความอดทนอดกลั้น “อันใดไม่ได้?”
เมิ่งอู่ตอบ “ในวันที่เ้าฟื้นตัวจากอาการาเ็ กระดูกขาที่หักได้รับการรักษาและสมานตัวแล้ว แต่ยามนั้นข้าไม่ทันดูแล มันจึงเชื่อมต่อผิดตำแหน่ง”
“เช่นนั้นสมควรทำอย่างไร?”
“หากข้าทุบกระดูกขาของเ้าให้หักอีกครา จากนั้นค่อยจัดเรียงกระดูกกลับเข้าไปใหม่ เ้าจะทนได้หรือไม่?”
อินเหิงกล่าว “หากข้าทนไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องรักษาขาคู่นี้แล้วหรือ?”
“พูดแล้วก็จริง” เมิ่งอู่ไปหาค้อนไม้เล็กๆ ที่ใช้ตอกไม้มาหนึ่งอัน ก่อนเอ่ยถาม “อาเหิง หากเ้ากลัวเจ็บ ข้าจะหาท่อนไม้มาให้เ้ากัด เผื่อเ้าควบคุมตนเองไม่ไหวและเผลอกัดลิ้นตนเอง”
อินเหิงกล่าว “ข้าคิดว่าข้าทนได้”
จู่ๆ เมิ่งอู่ก็กล่าว “อาเหิง เ้าเงยหน้าขึ้นมองสิ คืนนี้มีดาวเยอะมากเลย”
อินเหิงหลุบตากึ่งหนึ่งเพื่อมองวงหน้าของนาง ในั์ตาคู่นั้นดั่งมีแสงดาราระยิบระยับ งดงามเหลือเกิน เขาอดเงยหน้าช้าๆ ตามถ้อยคำนั้นไม่ได้ เหนือนภากว้างไกลไร้ขอบเขต มีดวงดาวประปรายส่องแสงพร่างพราว
ไกลและใกล้ยินเสียงกบร้องแว่วมาจากท้องทุ่ง มีลมเย็นแมลงร้อง
อินเหิงครางรับเบาๆ “อืม”
ทว่าทันทีที่ถ้อยคำของเขาออกมาจากลำคอ เมิ่งอู่ก็ยกค้อนไม้ในมือขึ้นทุบขาที่หักของอินเหิงอย่างรวดเร็วและแม่นยำโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
ความเ็ปเนื่องจากขาหักมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทนไหว ยิ่งกว่านั้นเขายังถูกทุบขาที่เคยหักมาแล้วครั้งหนึ่งให้หักอีกเป็ครั้งที่สอง
หากเขาร้องะโออกมาดังๆ ก็ถือเป็เื่ปกติ แต่เหมือนที่เขากล่าวไว้ ความอดทนของเขาไม่ธรรมดา แม้จะเ็ปแสนสาหัสจากการที่กระดูกหัก เขาก็ทำเพียงครางอู้อี้และเกร็งไปทั้งตัว
แรงมือของเมิ่งอู่กำลังดี นางทุบกระดูกขาที่เชื่อมต่อกันแล้วแต่ยังไม่แข็งแรงนักให้หักอีกครา ทันทีที่โยนค้อนไม้ทิ้ง ก็เอื้อมมือไปจัดกระดูกขาของอินเหิง
อินเหิงหายใจติดขัด กล่าวตะกุกตะกักอยู่บ้างว่า “เ้ามักทำอันใดโดยที่ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ”
เมิ่งอู่ออกแรงที่มือพลางเอ่ย “หากเบี่ยงเบนความสนใจของเ้าได้ บางทีอาจไม่เจ็บขนาดนั้น หากเ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ะโออกมา”
“นั่นจะรบกวนท่านแม่ของเ้าที่กำลังพักผ่อน”
เขาเม้มปากแน่น ขณะที่เมิ่งอู่หาได้ออมแรงไม่ นางจัดเรียงกระดูกที่หักให้เข้าที่ผ่านชั้นิัและเนื้อ การกระทำเช่นนี้เป็เื่ยากลำบากสำหรับนางเช่นกัน เนื่องจากดวงตามิอาจมองทะลุเข้าไป จึงทำได้เพียงรับรู้ผ่านมือที่ััอยู่เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าอินเหิงยากที่จะทนไหว ต่อมาเสียงพูดของเขาก็แหบแห้ง “เมิ่งอู่ เ้าขยับเข้ามาใกล้ข้าหน่อย”
เมิ่งอู่ได้ยินดังนั้น ก็โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
พริบตาต่อมาเมิ่งอู่ก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง
เห็นเพียงอินเหิงโน้มตัวมาข้างหน้าเช่นกัน แล้วกอดนางไว้แน่น
เขากระซิบข้างหู “ในเมื่อเ้าไม่ต้องใช้ตามองก็ขอข้ากอดหน่อยสิ”
เขากอดนางแน่นจนเมิ่งอู่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของเขากระดอนออกมาจากทรวงอกของเขา
ที่แท้บุรุษผู้นี้แข็งแกร่งมาก เพียงมือเดียวก็จับไหล่ของนาง อีกมือก็โอบเอวของนาง
ที่ผ่านมาเมิ่งอู่ไม่เคยใกล้ชิดกับเขาถึงเพียงนี้ แต่บัดนี้ไม่ว่าจะเป็ชายเสื้อหรือปอยผมล้วนอวลไปด้วยกลิ่นอายของความเป็ชายที่แข็งแกร่งทุกหนแห่ง
หน้าผากเขาหลั่งเหงื่อเย็น ส่วนนางเองก็มีเหงื่อหยดเช่นกัน
เมิ่งอู่กล่าว “อาเหิง ให้ข้าไปหยิบหมอนมาให้เ้ากอดเถิด”
ผ่านไปครู่หนึ่งอินเหิงไม่เพียงไม่ยอมปล่อยนาง กลับกอดนางแน่นกว่าเดิมพลางกระซิบข้างหูว่า “หมอนหรือจะสู้กอดเ้า”
เมิ่งอู่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จันทราเคลื่อนตัวเงียบๆ ดาวบางดวงเริ่มดับลง บางดวงกลับส่องสว่างขึ้นอีกครา
สายลมกระโชกแรงจนแสงเทียนดับลงนานแล้ว พัดผ่านแผ่นหลังของเมิ่งอู่จนรู้สึกเย็นสบาย ลำตัวด้านหน้าของนางยังคงอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของอินเหิงอย่างแแ่
มือของนางอ่อนแรงนิดหน่อย แต่ดูคล้ายว่ากระดูกขาที่หักของเขาจะเชื่อมต่อกันทีละนิดๆ ในที่สุด
อินเหิงกอดนางไว้เนิ่นนาน
ต่อมาเขาคล้ายตื่นจากห้วงฝันและผละออกจากนาง เมิ่งอู่ลุกไปหาแผ่นไม้กับผ้าพันแผลมายึดขาของเขาไว้จนแน่น
เรือนผมนุ่มลื่นของนางทิ้งตัวลงมาพาดเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะของเขา พอเงยหน้าก็ทิ้งร่องรอยเลือนรางไว้บางส่วน เขากล่าว “เมิ่งอู่ เ้าเห็นด้านที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของข้าหมดแล้ว”
เมิ่งอู่กล่าวโดยไม่รู้ตัว “ข้าจะรับผิดชอบเอง”
อินเหิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยกปลายนิ้วเย็นเฉียบปัดปอยผมที่ระอยู่รอบหูของนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เ้าต้องรับผิดชอบข้าด้วย”
เมิ่งอู่ทำสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ”
ครั้งก่อนเมิ่งอู่เข้าเมืองไปซื้อเข็มเงินมาหนึ่งชุด ยามนี้ในที่สุดก็ถึงเวลาใช้ประโยชน์แล้ว
คล้ายอินเหิงเ็ปแสนสาหัสลึกเข้าไปถึงกระดูก หากไม่บรรเทาความเ็ปให้เขา เขาคงขยับตัวไม่ได้และทำได้แค่ฝืนบังคับให้ต้องทน ไม่ต้องพูดถึงการนอนไม่หลับตลอดคืนเลย หรือไม่เขาก็อาจเ็ปจนอยากจะเอาหัวโขกกำแพง
เมิ่งอู่จึงฝังเข็มเงินตามตำแหน่งอื่นๆ บนขาข้างที่ไม่ได้พันผ้าพันแผลไว้ เพื่อบรรเทาอาการปวดให้เขา ยามราตรีที่มืดมิดเช่นนี้นางมองเห็นไม่ชัด ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้นิ้วมือคลำสำรวจทีละนิดๆ จากนั้นค่อยๆ บิดเข็มลงไป โดยมีสมาธิกับการทำงาน
ผลของเข็มเงินช่วยบรรเทาความเ็ปได้ค่อนข้างดี อินเหิงจะค่อยๆ ปวดน้อยลง แม้ไม่สามารถขจัดความเ็ปไปได้ทั้งหมด แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
เพราะนอนดึกและต้องใช้พลังงานมาก ยังผลให้เมิ่งอู่ตื่นสายไปบ้างในวันรุ่งขึ้น
นางเซี่ยไม่ได้ปลุกบุตรี เพียงลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าเอง ทว่าพอนางเห็นว่าอินเหิงตื่นแล้ว และขาข้างหนึ่งมีผ้าพันแผลพันไว้โดยยึดกับแผ่นไม้ ในใจนางก็คาดเดาได้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก