"เสี่ยวเจีย ช่วยยกตะกร้ามันฝรั่งนี่ไปที่ห้องครัวหน่อยนะ" น้าเ้าของร้านเอ่ย
หนุ่มหน้าขาวที่กำลังคิดเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นทันที "ครับ" เขาขานรับ รีบสาวเท้าไปยังประตูห้องครัว เตรียมก้มตัวยกตะกร้าผักที่ดูหนักอึ้ง ทว่าเพียงออกแรงที่เอวและขา ความเ็ปแปลบๆ ก็แล่นริ้วเข้ามา ราวกับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ จนเขาต้องขมวดคิ้ว แต่ก็คลายออกในทันที
สายตาของชายหนุ่มเลื่อนลอยไปยังนอกหน้าต่าง เห็นเมฆหนาทึบ บดบังแม้กระทั่งแสงจันทร์ เห็นทีฝนคงจะตกในไม่ช้า
'โชคดีที่ขาไม่พิการ แถมยังได้พลังพิเศษในการทำนายสภาพอากาศมาอีก เฮอะๆ...'
เขาหัวเราะเยาะตัวเองอย่างขื่นขม พลางลูบคลำขาซ้ายที่เพิ่งหายดี แม้จะปวดเมื่อยจนแทบทานทนไม่ไหว เขาก็กัดฟันอดกลั้น ใช้ความมุ่งมั่นทั้งหมดที่มีประคองตะกร้าผักนั้นขึ้นมา เพราะไม่มีใครมาคอยเห็นใจเขา และเขาก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น
เขาแบกตะกร้ามันฝรั่งไปยังห้องครัวอย่างทุลักทุเล แล้ววางมันลงบนเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร ป้าเ้าของร้านกำลังเคี่ยวแกงกะหรี่ กลิ่นหอมฉุนของเครื่องเทศนานาชาติอบอวลไปทั่ว ทำให้ภายในท้องรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
"น้าฟางครับ ลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปแล้ว ผมก็เก็บกวาดหน้าร้านเรียบร้อยแล้วครับ" เว่ยเจียปัดฝุ่นออกจากมือ ฝืนยิ้มบางๆ ดูน่าสงสารจับใจ
หญิงวัยกลางคนเห็นเขามีเหงื่อโทรมกายก็ยิ้มขอบคุณ พลางปิดเตาแก๊ส แล้วคว้าหม้อซุป ตักแกงกะหรี่ร้อนๆ ใส่จนเต็มส่งให้เขา
"เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ เอาไปกินด้วยกันกับเสี่ยวถิงเถอะ"
"เอ๋? จะดีเหรอครับ! ผมเอาของที่ร้านไปบ่อยๆ เกรงใจแย่เลย!" เว่ยเจียรีบโบกมือปฏิเสธ
ป้าสะบัดเสียงจิ๊จ๊ะ แล้วตักเนื้อหมูใส่เพิ่มเข้าไปอีก
"เอาไปเถอะ! เสี่ยวถิงชอบกินแกงกะหรี่หมูที่สุด อย่าให้เขาต้องหิวท้องกิ่วนะ"
เว่ยเจียมองความเอื้ออาทรที่เปี่ยมล้น จมูกเริ่มแสบร้อน พูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้าขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
'น้าฟางเป็เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของแม่ ตอนเด็กๆ เว่ยเจียก็ได้รับการดูแลจากน้าฟางมาไม่น้อย เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและฝีมือทำอาหารที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของน้าฟาง เขาประคองหม้อที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตานั้นไว้ แล้วกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ขอบคุณครับ น้าฟาง"
คำขอบคุณอย่างนอบน้อมของชายหนุ่มทำให้น้าฟางส่งเสียงในลำคออย่างเคืองๆ พลางยกมือขึ้นยีผมนุ่มของเว่ยเจีย
เว่ยเจียรูปร่างสูงโปร่งอยู่แล้ว หลังเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นยิ่งผอมทำให้เขาซูบลงไปอีก น้าฟางเ้าของร้านเห็นชายหนุ่มหน้าซีด ยิ่งรู้สึกรักชายหนุ่มราวกับเป็ลูกชายตัวเอง จากนั้นจึงหยิบแอปเปิลลูกโตๆ จากมุมเก็บวัตถุดิบให้เขาหลายลูก พลางเอียงศีรษะครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วลดเสียงลงถามว่า "...เสี่ยวถิงยังไม่พูดอะไรเลยเหรอ?"
ได้ยินดังนั้น แววตาของเว่ยเจียก็หม่นหมอง แต่เขารู้ว่าน้าไม่ได้มีเจตนาร้าย จึงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วส่ายหน้า
น้าฟางเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าถามต่อ เพราะการได้เห็นแม่ตัวเองตายต่อหน้าต่อตา จิตใจของเด็กอายุห้าขวบคงจะบอบช้ำอย่างแสนสาหัส...แต่ตัวเว่ยเจียเองก็ยังเป็แค่เด็กคนหนึ่ง ยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบก็ต้องออกมาทำงานหาเลี้ยงชีพสารพัดอย่างเพื่อเลี้ยงดูหลานชาย โดยไม่ปริปากบ่นสักคำ เขาเข้มแข็งมากจนน่าเห็นใจ
คิดได้ดังนั้น น้าฟางก็ถอนหายใจออกมา และตบไหล่ของเว่ยเจียเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ที่ร้านไม่มีอะไรแล้ว รีบกลับไปเถอะ อย่าให้เสี่ยวถิงรอนาน"
"เอ๋? แต่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะเลิกงานนะครับ" เว่ยเจียผู้ซื่อตรงถามด้วยความสงสัย
"เด็กโง่ ไม่มีลูกค้าแล้ว! น้าก็อยากจะปิดร้านเร็วๆ เหมือนกัน นานๆ ทีจะได้ดูละครหลังข่าวตรงเวลาสักทีนี่นา~" น้าเ้าของร้านเห็นเขาซื่อๆ ก็หัวเราะในใจว่าเขาเป็ไอ้หนุ่มทึ่ม เธอตีหัวชายหนุ่มเบาๆ แล้วแกล้งทำเป็โกรธ ก่อนจะส่งเขาออกไปจากร้าน
เว่ยเจียรู้ว่านี่เป็ความเอื้อเฟื้อของน้าฟาง จึงยิ้มเล็กน้อย เก็บของใช้ส่วนตัว และหม้อแกงกะหรี่ที่ยังอุ่นอยู่ แล้วรีบเดินกลับบ้านด้วยความดีใจ
ร้านอาหารเล็กๆ ที่เขาทำงานอยู่ ห่างจากบ้านพักเพียงสอง่ถนน เว่ยเจียได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามแว่วๆ จึงฝืนทนอาการปวดเมื่อยที่ขาซ้าย เร่งสาวเท้าก้าวให้เร็วขึ้น จากระยะทางที่ต้องเดินสามก้าวเหลือเพียงสองก้าว กลัวว่าฝนจะเทลงมา แล้วก็กลัวว่าแกงกะหรี่จะเย็นชืดเสียก่อน
เขาหอบหิ้วของพะรุงพะรังขึ้นไปยังชั้นที่หกของอพาร์ตเมนต์เก่าๆ พลันควักกุญแจออกมาไขประตูไม้เก่า คลิก... ยังไม่ทันบิดลูกบิด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบวิ่งตรงมาที่ประตู บานประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร่างเล็กๆ ที่พุ่งเข้ามากอดเขา
"อ๊ะ!" เว่ยเจียเซไปสองก้าว กว่าจะทรงตัวได้ เขายิ้มแล้วลูบศีรษะของเสี่ยวถิง เขาพบว่าเด็กน้อยตัวเปียกปอน ผมเผ้ากระเซิง ที่พื้นห้องนั่งเล่นมีรอยเท้าเปียกเป็ทาง เห็นทีคงกำลังอาบน้ำอยู่
"น้าซื้อแกงกะหรี่หมูที่หนูชอบมาฝากด้วยนะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ลูบศีรษะที่เปียกชื้นของหลานชาย เด็กน้อยในอ้อมกอดพยักหน้าแรงๆ โดยไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่กระชับกอดเขาให้แน่นขึ้น
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากห้องด้านใน ป้าสือ เ้าของบ้านที่มีใบหน้ากลมราวลูกบอลปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
"อ้าว กลับมาแล้วเหรอเสี่ยวเจีย" ป้าสือใช้ผ้าขนหนูห่อหุ้มเด็กน้อยที่เปียกปอนไว้เหมือนนางเงือก แล้วบ่นด้วยรอยยิ้มแห้งๆ "จริงๆ เลย ระวังลื่นด้วยสิลูก~"
ป้าสือยิ้มพลางเช็ดผมให้เด็กน้อยอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะสวมเสื้อผ้าให้เขา
เสี่ยวถิงอยู่นิ่งๆอย่างว่านอนสอนง่าย ยอมให้ป้าสือทำทุกอย่างเหมือนลูกสุนัขแสนเชื่อง แต่ดวงตาที่หลุบต่ำลงและไม่ยอมพูดจา กลับเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่เงียบงัน เว่ยเจียวางของลงเรียบร้อย ก็สังเกตเห็นว่าป้าสือมีท่าทีลังเลเหมือนมีบางอย่างจะพูด หัวใจของเขากระตุกวูบ แล้วเอ่ยถามอย่างประหม่า "ป้าสือมีอะไรหรือเปล่าครับ?"
ป้าสือได้ยินคำถามนั้นก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "เสี่ยวเจีย ป้า...ป้าคงจะช่วยดูแลเสี่ยวถิงให้หนูต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ"
เว่ยเจียก็ชะงักไป หัวใจหล่นวูบราวกับดิ่งลงไปยังเหวลึก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้